
Pipob Udomittipong
11 hours ago
·
เป็นไปตามคาด การสั่งไม่ฟ้องคดี #มาตรา112 ต่อ ดร. Paul Chambers เป็นเพราะแรงกดดันของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ต่อรัฐบาลไทยที่ “ต้องการต่อคิวเพื่อเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรที่กำหนดโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ตามคำให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia
พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน ซึ่งถูกดำเนินคดีตามกม. #หมิ่นประมาทกษัตริย์ กล่าวว่า เขาหลบหนีออกจากราชอาณาจักรไทยตามคำแนะนำของสถานทูตสหรัฐฯ เมื่อมีความเสี่ยงว่าอาจมีจะมีการดำเนินคดีกับเขาเพิ่มเติม แม้ว่าอัยการสูงสุดจะสั่งไม่ฟ้องข้อกล่าวหาแรกแล้วก็ตาม
“ทนายความของผมและเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ รู้ดีว่า มีกลุ่มคนบางกลุ่ม พวกฝ่ายขวา ต้องการเปลี่ยนการตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องผม หรือต้องการดำเนินคดีใหม่กับผม” แชมเบอร์สกล่าวกับ @NikkeiAsia
แชมเบอร์สอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หนังสือของเขาเรื่อง 'Praetorian Kingdom: A History of Military Ascendancy in Thailand' ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ISEAS ในปี 2017 เขาและภรรยาได้แก้ไขเนื้อหาหนังสือเรื่อง 'Khaki Capital: The Political Economy of the Military in Southeast Asia'
“คุณต้องรีบออกไปจากที่นี่ด่วนจี๋ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” แชมเบอร์สกล่าวว่า นักการทูตอเมริกันเตือนเขาแบบเงียบ ๆ กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ได้กดดันรัฐบาลไทยให้หาข้อยุติกรณีของแชมเบอร์ส หากต้องการที่นั่งในคิวเพื่อเจรจาเรื่องภาษีศุลกากร "ต่างตอบแทน" ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดขึ้นมา
“เจ้าหน้าที่ความมั่นยังคงต้องการให้ดำเนินคดีกับผมต่อไป แต่เจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นต้องการให้ยุติคดีของผม เหมือนการชักกะเย่อที่น่าสนใจ” แชมเบอร์สกล่าว “ในขณะเดียวกัน พวเขาอยู่ระหว่างเจรจาการค้า ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับผม ผมไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ แต่ดูเหมือนว่านโยบายของเขาจะช่วยผมได้”
สำนักงานอัยการสูงสุดของไทยยืนยันในสัปดาห์ที่แชมเบอร์สถูกเนรเทศว่า มีการคำสั่งไม่ฟ้องคดีต่อเขาโดยเด็ดขาดแล้ว
แม้ว่ากองทัพภาคที่ 3 จะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเขา ด้วยความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง แต่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในพิษณุโลกเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่า แชมเบอร์สควรถูกเนรเทศหรือไม่ หลังจากวีซ่าเดิมของเขาถูกยกเลิก ไปแล้ว การถูกไล่ออกโดยมหาวิทยาลัยทำให้ใบอนุญาตทำงานของเขาถูกยกเลิกด้วย
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นทนายความของแชมเบอร์ส กำลังพิจารณาดำเนินคดีกับมหาวิทยาลัยนเรศวรในข้อหาไล่ออกโดยไม่เป็นธรรม เนื่องจากไม่จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณากรณีของเขาก่อน
แชมเบอร์สกล่าวว่า “รองอธิการบดี [ของมหาวิทยาลัย] ไม่ให้โอกาสผมเลย จู่ ๆ ก็ไล่ผมออก” เขายังเชื่อว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ระหว่างที่เขาถูกจับกุม
“ตำรวจออกหมายจับผม ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะทุกครั้งที่ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 คุณควรได้รับหมายเรียกก่อน แต่ผมไม่เคยได้รับหมายเรียก ผมได้รับแค่หมายจับเท่านั้น จากนั้นกระบวนการก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผมไปหาตำรวจ และพวกเขาก็แจ้งข้อกล่าวหา แต่ผมปฏิเสธเพื่อสู้คดี”
“ผมจำเป็นต้องออกเดินทาง (ออกจากประเทศไทย) วันที่ 29 เพราะวันที่ 30 จะมีการประชุม [ของเจ้าหน้าที่รวมทั้งตำรวจ] อีกครั้ง เกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของผม รวมทั้งวีซ่าของผม”
นักการทูตอเมริกัน และตำรวจตม.เดินทางพร้อมกับเขาไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ “ผมไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่ก็ยังถูกตำรวจตม.ประกบตลอดทาง และผมเพิ่งได้รับหนังสือเดินทางคืนกลับมา ตรงที่ประตูขึ้นเครื่องเท่านั้น ก่อนหน้านั้น ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะได้รับการปล่อยตัว จนกระทั่งพวกเขาคืนหนังสือเดินทางมาให้”
“ยังคงไม่ปลอดภัยสำหรับผมที่จะกลับไป” แชมเบอร์สกล่าวกับ Nikkei Asia “ผมมีศัตรูในกองทัพมากมาย และพวกเขาอาจดำเนินคดีตาม #มาตรา112 กับผมอีกเนื่องจากสิ่งที่ผมเขียน หรือไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมเขียน แต่รวมถึงสิ่งที่ผมพูดด้วย”
“ผมคิดว่ากองทัพไม่ชอบขี้หน้าผมมาหลายปีแล้ว” เขากล่าว “พวกเขาไม่ชอบวิธีการที่ผมเขียนเกี่ยวกับพวกเขา การวิจารณ์สถาบันของพวกเขา อาณาจักรทางเศรษฐกิจของพวกเขา และผู้นำบางคนของพวกเขา ผมคิดว่าเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมปีที่แล้ว มีการแต่งตั้งขั้วอำนาจใหม่ในกองทัพ... ซึ่งมีท่าทีค่อนข้างอนุรักษ์นิยม”
“ท้ายที่สุดแล้ว คดีที่ฟ้องผมจะทำให้กองทัพเสื่อมเสียชื่อเสียงมากขึ้นอีก เพราะผมจะยิ่งวิเคราะห์ได้อย่างไม่เกรงใจใครมากขึ้น” แชมเบอร์สกล่าว “ผมคิดว่าจำเป็นต้องมีคนเขียนบทวิเคราะห์กองทัพไทย และกองทัพต่าง ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพวกเขาจะควรทำเช่นนั้นได้ โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”
https://asia.nikkei.com/.../Deported-US-academic-Paul...
เป็นไปตามคาด การสั่งไม่ฟ้องคดี #มาตรา112 ต่อ ดร. Paul Chambers เป็นเพราะแรงกดดันของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ต่อรัฐบาลไทยที่ “ต้องการต่อคิวเพื่อเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรที่กำหนดโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ตามคำให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia
พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน ซึ่งถูกดำเนินคดีตามกม. #หมิ่นประมาทกษัตริย์ กล่าวว่า เขาหลบหนีออกจากราชอาณาจักรไทยตามคำแนะนำของสถานทูตสหรัฐฯ เมื่อมีความเสี่ยงว่าอาจมีจะมีการดำเนินคดีกับเขาเพิ่มเติม แม้ว่าอัยการสูงสุดจะสั่งไม่ฟ้องข้อกล่าวหาแรกแล้วก็ตาม
“ทนายความของผมและเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ รู้ดีว่า มีกลุ่มคนบางกลุ่ม พวกฝ่ายขวา ต้องการเปลี่ยนการตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องผม หรือต้องการดำเนินคดีใหม่กับผม” แชมเบอร์สกล่าวกับ @NikkeiAsia
แชมเบอร์สอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หนังสือของเขาเรื่อง 'Praetorian Kingdom: A History of Military Ascendancy in Thailand' ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ISEAS ในปี 2017 เขาและภรรยาได้แก้ไขเนื้อหาหนังสือเรื่อง 'Khaki Capital: The Political Economy of the Military in Southeast Asia'
“คุณต้องรีบออกไปจากที่นี่ด่วนจี๋ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” แชมเบอร์สกล่าวว่า นักการทูตอเมริกันเตือนเขาแบบเงียบ ๆ กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ได้กดดันรัฐบาลไทยให้หาข้อยุติกรณีของแชมเบอร์ส หากต้องการที่นั่งในคิวเพื่อเจรจาเรื่องภาษีศุลกากร "ต่างตอบแทน" ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดขึ้นมา
“เจ้าหน้าที่ความมั่นยังคงต้องการให้ดำเนินคดีกับผมต่อไป แต่เจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นต้องการให้ยุติคดีของผม เหมือนการชักกะเย่อที่น่าสนใจ” แชมเบอร์สกล่าว “ในขณะเดียวกัน พวเขาอยู่ระหว่างเจรจาการค้า ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับผม ผมไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ แต่ดูเหมือนว่านโยบายของเขาจะช่วยผมได้”
สำนักงานอัยการสูงสุดของไทยยืนยันในสัปดาห์ที่แชมเบอร์สถูกเนรเทศว่า มีการคำสั่งไม่ฟ้องคดีต่อเขาโดยเด็ดขาดแล้ว
แม้ว่ากองทัพภาคที่ 3 จะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเขา ด้วยความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง แต่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในพิษณุโลกเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่า แชมเบอร์สควรถูกเนรเทศหรือไม่ หลังจากวีซ่าเดิมของเขาถูกยกเลิก ไปแล้ว การถูกไล่ออกโดยมหาวิทยาลัยทำให้ใบอนุญาตทำงานของเขาถูกยกเลิกด้วย
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นทนายความของแชมเบอร์ส กำลังพิจารณาดำเนินคดีกับมหาวิทยาลัยนเรศวรในข้อหาไล่ออกโดยไม่เป็นธรรม เนื่องจากไม่จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณากรณีของเขาก่อน
แชมเบอร์สกล่าวว่า “รองอธิการบดี [ของมหาวิทยาลัย] ไม่ให้โอกาสผมเลย จู่ ๆ ก็ไล่ผมออก” เขายังเชื่อว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ระหว่างที่เขาถูกจับกุม
“ตำรวจออกหมายจับผม ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะทุกครั้งที่ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 คุณควรได้รับหมายเรียกก่อน แต่ผมไม่เคยได้รับหมายเรียก ผมได้รับแค่หมายจับเท่านั้น จากนั้นกระบวนการก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผมไปหาตำรวจ และพวกเขาก็แจ้งข้อกล่าวหา แต่ผมปฏิเสธเพื่อสู้คดี”
“ผมจำเป็นต้องออกเดินทาง (ออกจากประเทศไทย) วันที่ 29 เพราะวันที่ 30 จะมีการประชุม [ของเจ้าหน้าที่รวมทั้งตำรวจ] อีกครั้ง เกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของผม รวมทั้งวีซ่าของผม”
นักการทูตอเมริกัน และตำรวจตม.เดินทางพร้อมกับเขาไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ “ผมไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่ก็ยังถูกตำรวจตม.ประกบตลอดทาง และผมเพิ่งได้รับหนังสือเดินทางคืนกลับมา ตรงที่ประตูขึ้นเครื่องเท่านั้น ก่อนหน้านั้น ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะได้รับการปล่อยตัว จนกระทั่งพวกเขาคืนหนังสือเดินทางมาให้”
“ยังคงไม่ปลอดภัยสำหรับผมที่จะกลับไป” แชมเบอร์สกล่าวกับ Nikkei Asia “ผมมีศัตรูในกองทัพมากมาย และพวกเขาอาจดำเนินคดีตาม #มาตรา112 กับผมอีกเนื่องจากสิ่งที่ผมเขียน หรือไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมเขียน แต่รวมถึงสิ่งที่ผมพูดด้วย”
“ผมคิดว่ากองทัพไม่ชอบขี้หน้าผมมาหลายปีแล้ว” เขากล่าว “พวกเขาไม่ชอบวิธีการที่ผมเขียนเกี่ยวกับพวกเขา การวิจารณ์สถาบันของพวกเขา อาณาจักรทางเศรษฐกิจของพวกเขา และผู้นำบางคนของพวกเขา ผมคิดว่าเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมปีที่แล้ว มีการแต่งตั้งขั้วอำนาจใหม่ในกองทัพ... ซึ่งมีท่าทีค่อนข้างอนุรักษ์นิยม”
“ท้ายที่สุดแล้ว คดีที่ฟ้องผมจะทำให้กองทัพเสื่อมเสียชื่อเสียงมากขึ้นอีก เพราะผมจะยิ่งวิเคราะห์ได้อย่างไม่เกรงใจใครมากขึ้น” แชมเบอร์สกล่าว “ผมคิดว่าจำเป็นต้องมีคนเขียนบทวิเคราะห์กองทัพไทย และกองทัพต่าง ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพวกเขาจะควรทำเช่นนั้นได้ โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”
https://asia.nikkei.com/.../Deported-US-academic-Paul...
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162611807386649&set=a.10150096728651649