
ไม้ขีดไฟ
March 31
·
คุณผู้อ่านเคยสงสัยบ้างหรือไม่ครับว่า ศาสนาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร? พระเล่นการเมืองได้หรือไม่? ทำไม่ศาสนาพุทธจึงเป็นเหมือนศาสนาสำคัญประจำชาติไทย? และเหตุใดคนไทยเราถึงนิยมเอาเรื่องศีลธรรรมมาใช้โจมตีกันในแวดวงการเมืองมากกว่าจะพูดดีลเรื่องผลประโยชน์กันแบบแฟร์ๆ ตรงไปตรงมา? วันนี้ทางเพจเราจะมาสรุปบทความที่ช่วยให้ได้คำตอบของปัญหาเหล่านี้ บทความนั้นเป็นบทถอดความของปาฐกถาเรื่อง “BUDDHISM FRAGMENTED THAI BUDDHISM AND POLITICAL ODER SINCE THE 1970s” ที่นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมืองไทยอย่าง Charles F. Keyes แสดงไว้ในงานประชุมวิชาการไทยศึกษาระดับนานาชาติ ครั้งที่ 7 ณ กรุงอัมสเตอร์ดาม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 4-8 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 ปาฐกถานั้นมีข้อเสนอหลักว่า
(1) ศาสนาพุทธถูกกำกับควบคุมโดยรัฐแบบเป็นทางการเมื่อราชอาณาจักรสยามได้รับการปฏิรูปให้เป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่ (2) ศาสนาพุทธที่ถูกกำกับควบคุมวางมาตรฐานให้เป็นแบบเดียวกันนั้นเริ่มแตกตัวออกเป็น “ศาสนาพลเมือง” (civil religion) หลายแบบหลังวิกฤตการณ์เมืองเดือนตุลาในทศวรรษ 1970s และ (3) คณะสงฆ์ไทยที่เป็นตัวแทนสถาบันศาสนาอันเป็นเหมือน “เสาหลัก” ของชาติไทยเรานั้น กำลังถูกท้าทายสถานภาพและสิทธิอำนาจความชอบธรรมในทางการเมือง เพราะศาสนาพลเมืองหลายแบบที่แตกตัวเกิดมาใหม่ได้เข้ามามีส่วนช่วยวางรากฐานการทบทวนเรื่องศีลธรรมและวิพากษ์การกระทำการเมือง (the basis for moral reflection and moral critique of political action) ของชาวพุทธในบ้านเราชนิดที่ต่างออกไปจากของคณะสงฆ์ไทยหรือศาสนาพุทธแบบทางการ
อนึ่ง ปาฐกถานี้แบ่งออกเป็นสองภาคใหญ่ๆ ด้วยกัน ภาคแรกเล่าถึงระบบการเมืองและศาสนาพลเมืองเพื่อปูพื้นฐานแนวคิดในข้อเสนอหลัก รวมถึงแนวคิดเรื่องบารมีแบบพุทธและอำนาจทางโลกในทางการเมืองที่เป็นจุดตั้งต้นสำคัญของระบอบการเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนกำเนิดของคณะสงฆ์ไทยตัวแทนศาสนาพุทธแบบทางการและวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ศาสนาพุทธแบบทางการนี้ได้เผชิญก่อนจะเกิดวิกฤตสำคัญในยุคเดือนตุลาอันนำไปสู่การเสื่อมพลังอำนาจและความชอบธรรมทางการเมืองของศาสนาพุทธแบบนี้ ภาคสองของปาฐกถาค่อยเจาะลึกเรื่องราวแห่งความเสื่อมนั้นและพูดถึงการก่อตัวของบรรดาศาสนาพลเมืองที่ขึ้นมาท้าทายความชอบธรรมของศาสนาพุทธแบบทางการ เนื้อหาแต่ละส่วนมีประเด็นสำคัญ ควรค่าแก่การประมวลมาแบ่งปันกันอ่านดังนี้

1. ภาคหนึ่ง: รากฐานของการเมืองแบบพุทธ (Foundations of a Buddhist Political Order)

• ปัจจุบันศาสนาไม่ได้หายไปหรือถูกเบียดขับ ไล่ไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวแบบที่นักปราชญ์ปลายศตวรรษที่ 19 อย่างมาร์กกับฟรอยด์และนักคิดท่านอื่นๆ เขียนทำนายไว้ ตรงกันข้าม การสร้างรัฐชาติแบบสมัยใหม่ (the creation of the modern state) ทั่วโลก กระตุ้นให้เกิดการประกอบสร้างนวัตกรรมและการปฏิรูปศาสนา หรือความขัดแย้งทางศาสนาแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
• ศาสนายังคงมีบทบาทเชื่อมโยงกับการเมืองต่อไปในรัฐสมัยใหม่แทบทุกรัฐ “Religion indeed continues to be relevant to political process in all modern states.” (Keyes, 1999: 2)
• ลัทธิชาตินิยมก็มีแก่นสารแบบศาสนาไม่ต่างกันนักเพราะเรียกร้องให้คนในชาติมีศรัทธาต่อความเชื่อที่ว่า พวกเขาเป็นสมาชิกของชุมชนที่แบ่งปันมรดกความทรงจำ เชื้อชาติ และวัฒนธรรมร่วมกัน เหมือนคนนับถือศาสนาที่มีศรัทธาในความเชื่อแบบเดียวกัน
• ลัทธิชาตินิยมทำให้เกิดมีการเมืองเรื่องศาสนาและวาง “ชาติ” ไว้เหนือการเมือง “Nationalism make the political religious and places the nation above politics” (Keyes, 1999: 2)
• การสร้างรัฐชาติแบบสมัยใหม่ขึ้นมาในดินแดนที่คนมีความเชื่อหลากหลายแบบจำต้องกระทำพร้อมกันกับการสร้างนโยบายกำกับควบคุมศาสนาและความเชื่อที่หลากหลายเหล่านั้นให้ไม่เป็นภัยแก่รัฐหรือเป็นประโยชน์แก่รัฐโดยตรง
• นโยบายกำกับควบคุมศาสนาของแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน บางที่พยายามวางนโยบายกำจัดความเชื่อศาสนาออกไปหมด (เช่นประเทศคอมมูนิสต์อย่างจีนและสหภาพโซเวียตในอดีต) บางที่พยายามสร้างศาสนาให้มีแบบเดียว บังคับให้พลเมืองนับถือเหมือนกันหมด (เช่น ประเทศอิหร่าน) บางที่ก็โปรโมทนโยบายที่เชื่อมระบอบการเมืองกับพลังอำนาจเหนือธรรมชาติเหมือนพระเจ้าเหมือนในศาสนาคริสต์ ทว่า กลับเปิดเสรีให้ประชาชนมีการนับถือศาสนาคริสต์ได้ทุกนิกาย รวมถึงลัทธิ ศาสนา และความเชื่ออื่นๆ หลากหลายรูปแบบได้อย่างอิสระเสรี (เช่น สหรัฐอเมริกา)
• นอกจากการวางนโยบายเกี่ยวกับศาสนาแล้ว การก่อตัวของรัฐแบบสมัยใหม่ยังก่อให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนาพลเมือง” (civil religion)
• ศาสนาพลเมืองในที่นี้หมายถึง ศาสนาใดศาสนาหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับบทบาทของมนุษย์คนหนึ่งในฐานะพลเมือง สถานที่ในประวัติศาสตร์ เวลา และพื้นที่อาศัยในสังคมของเขา เข้ากับเงื่อนไขแห่งความหมายและการดำรงอยู่ของมัน “… a religion that “relates a man’s role as citizen and his society’s place in space, time and history to the conditions of existence and meaning” …” (Coleman, 1970) ทว่า ศาสนาพลเมืองนี้ไม่ได้หมายถึงศาสนาแบบองค์กรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ใช้เป็นความหมายกว้างเรียกศาสนาที่มีบทบาทตามคำนิยาม อีกทั้งศาสนาแบบนี้ก็ไม่ใช่ของที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตายตัว เพราะการจัดเรียงตัวของพลเมืองในโลกมนุษย์เรานั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม
• ศาสนาพลเมืองในแต่ละสังคมมีประวัติศาสตร์หรือสาแหรกความเป็นมา (genealogy) ไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะมีนิยามกว้างขวางดังที่ว่ามา
• ศาสนาพลเมืองเป็นสิ่งที่ได้รับการชื่นชมเฉลิมฉลองมองเห็นเป็นของดีในที่ที่ภาคประชาสังคม (civil society) หรือในสังคมที่มีกลุ่มพลเมืองเข้มแข็ง
• การก่อตัวขึ้นของศาสนาพลเมืองและภาคประชาสังคมเป็นผลพ่วงที่เกิดจากการกระบวนการแห่งความเป็นสมัยใหม่ (consequence of the process of modernity)
• ที่ใดมีศาสนาพลเมืองที่นั่นย่อมมีศาสนาที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางการเมืองเป็นคู่แข่งตามกันมาเรียกว่า “a politicized religion” แม้กระทั่งรัฐที่ไม่เชื่อมโยงกับศาสนาใดๆ (secular state) อย่างประเทศอินเดียซึ่งเปิดเสรีให้มีพรรคการเมืองที่รวมตัวกันด้วยอุดมการณ์ศาสนา พรรคเหล่านี้ยุคอุตสาหะลงเลือกตั้งจนชนะแล้วโปรโมทอุดมการณ์ทางศาสนาที่เขานับถือให้กลายเป็นวาระสำคัญหลักของประเทศชาติ หรือในสหรัฐอเมริกาก็มีกลุ่มอนุรักษนิยมชาวคริสต์ที่เรียกว่า “Chirstian Right” พยายามเข้าไปมีบทบาทในการวางนโยบายทางการเมืองด้วยความเชื่อแบบคริสตศาสนาของกลุ่มพวกเขา
• ในปาฐกถานี้ Charles F. Keyes (1999: 3) ต้องการเสนอว่า ในกรณีของประเทศไทยนั้น ศาสนาพุทธถูกทำให้กลายเป็นสถาบันทางศาสนาที่ถูกใช้ประโยชน์ทางการเมืองในกระบวนการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่
• ศาสนาพุทธแบบทางการนั้นเองก็ถูกใช้สร้างความชอบธรรมในทางการเมืองให้แก่ชนชั้นนำมาหลายยุคหลายสมัย รอดพ้นภัยวิกฤตการณ์ทางการเมืองหลายครั้งหลายคราวมาได้ กระทั่งทศวรรษที่ 1970s ที่เกิดวิกฤตการเมืองเดือนตุลาฯ ขึ้นในประเทศไทย
• วิกฤตการเมืองเดือนตุลาฯ ส่งผลให้ศาสนาพุทธที่ถูกใช้ประโยชน์ทางการเมืองในประเทศไทยแตกตัวจากที่มีแบบทางการแบบเดียวกลายเป็นหลายแบบ แต่ละแบบก็มอบสิทธิอำนาจความชอบธรรมให้กับพลเมืองใช้เคลื่อนไหวชนิดที่ต่างไปจากพุทธศาสนาแบบทางการ
• Keyes (1999: 3) เห็นว่า การทะเลาะเบาะแว้งกันของบรรดากลุ่มศาสนาพลเมืองแบบใหม่กับคณะสงฆ์ที่เป็นตัวแทนศาสนาพุทธแบบทางการเมืองของรัฐนั้น ไม่ได้เป็นผลลัพธ์ของชัยชนะทางการเมืองของภาคประชาชนเพียงอย่างเดียว ทว่า ยังเป็นการก่อตัวของความเข้าใจต่อศาสนาแบบใหม่ที่เอื้ออำนวยให้เกิดความหลากหลายของกลุ่มชาวพุทธไทย และความเข้าใจแบบใหม่นี้เองที่เป็นตัวสร้างศาสนาพลเมืองหรือศาสนาพุทธในภาคประชาสังคม “civil Buddhism”
• อย่างไรก็ตาม การจะเข้าใจข้อเสนอที่ว่ามาได้ Keyes (1999: 3) บอกว่า เราจำเป็นต้องกลับไปทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิอำนาจความชอบธรรมที่เกิดแต่ศีลธรรมแบบชาวพุทธ (Buddhist moral authority) และระบอบการเมืองการปกครองที่มีมายาวนานในความเข้าใจเรื่องพุทธศาสนาของคนยุคก่อนสมัยใหม่

• คำว่า “มีบุญ” หรือ “บุญบารมี” เป็นคีย์เวิร์ดคำสัญอันอุปมาเสมือนหนึ่งกุญแจที่ใช้ไขความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาพุทธกับระบอบการเมืองในประเทศไทย Keyes (1999) เรียกคุณลักษณะการมีบุญนี้เป็น “Buddhist Charisma”
• คำว่า “charisma” ในภาษาอังกฤษหมายถึงพรสวรรค์ “a gift of grace” คุณสมบัติพิเศษของปัจเจกบุคคลที่ได้รับมาแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในกรอบทฤษฎีสังคมวิทยาของ Max Weber เจ้าสิ่งนี้นำมาซึ่งสิทธิอำนาจความชอบธรรมทางการเมือง เหนือสิทธิอำนาจที่มาจากระบอบหรือโครงสร้างทางการเมืองใดๆ เสียอีก อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพท้าทายโครงสร้างได้ด้วย
• คนที่มี charisma มีความสามารถดึงดูดคน เพราะเขาเคลมว่า เขาสามารถทำให้คุณค่าที่คนนิยมนั้นปรากฏในการกระทำของเขาได้อย่างเป็นรูปธรรม
• ในราชอาณาจักรสยามก่อนยุคสมัยใหม่ (และสังคมพุทธแบบเดียวกันในแถบประเทศเพื่อนบ้าน) มีพิธีกรรมเยอะแยะสื่อสารเรื่องราวมากมาย แต่ส่วนใหญ่พิธีเหล่านั้นมีสารสำคัญเป็นศูนย์กลางของพิธี คือ เรื่อง “กรรม”
• โลกทัศน์เรื่องกรรมมีใจความสำคัญว่า มนุษย์เราทุกคนนั้นเกิดมาพร้อมกับแก่นสารสำคัญของชีวิตที่เรียกว่า “ขวัญ” ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ผูกพันกับกรรมหรือผลของการกระทำในชาติปางก่อน กรรมที่ผูกพันกับแก่นสารแห่งชีวิตนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในวิญญาณหรือสำนึกรู้ที่เชื่อมโยงชีวิตชาตินี้เข้ากับชาติที่แล้ว ผลกรรมที่ทำไว้เป็นตกทอดมาเป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดบางประการของมนุษย์แต่ละคน ทว่า กรรมเก่านี้ไม่ได้เป็นตัวกำหนดการกระทำในชาติภพปัจจุบัน มนุษย์เรายังมีอิสระในการตัดสินใจสร้างกรรมใหม่หรือการกระทำที่เกิดจากเจตน์จำนงค์ของเราอย่างอิสระได้ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี
• กรรมดีส่งผลให้บางคนมีคุณลักษณะพิเศษกว่าคนทั่วไปหรือถือครองคุณลักษณะที่สังคมยกย่องเรียกเป็น “คนมีบุญ” หรือ “มีบารมี”
• ในสมัยโบราณ เครื่องหมายโบราณเบื้องต้นที่จะใช้จำแนกว่าใครมีบุญไม่มีบุญนั้นเกี่ยวข้องกับสถาบันสองแห่งในสังคมไทย คือ
(1) สถาบันสงฆ์
(2) สถาบันกษัตริย์
• ขณะที่พวกชนชั้นนำมีบารมีเพราะการเกิด พระสงฆ์กลับสั่งสมบารมีมาจากการกระทำของตนโดยตรง
• แม้ว่าชายทุกคนจะมีสิทธิบวชเป็นพระ แต่ไม่ใช่ว่าพระทุกรูปจะได้รับการนับถือเป็นพระที่มีบารมี
• พระที่มีบารมีจะต้องเป็น (1) พระที่บวชได้นาน และ (2) สามารถแสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นประจักษ์ชัดผ่านการกระทำและความรู้
• พระที่มีบารมีในสมัยโบราณไม่ใช้บารมีของท่านแสวงหาอำนาจทางการเมือง ละเมิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าวางไว้ แต่เป็นผู้มีสถานะเป็น “เนื้อนาบุญ” หรือแหล่งสร้างสมบารมีของคนอื่น โดยเฉพาะพวกสมาชิกราชวงศ์หรือชนชั้นปกครอง ซึ่งมักนิยมให้การอุปถัมภ์คณะสงฆ์ด้วยจตุปัจจัยไทยทาน ตลอดจนเป็นเจ้าภาพสนับสนุนการบรรพชาอุปสมบทของกุลบุตรชาวไทย
• เครื่องหมายแห่งความเป็นผู้มีบารมีอย่างหนึ่งของผู้นำชาวสยามในสมัยโบราณ คือ การอุปถัมภ์พระอย่างหนัก
• บุญบารมีแบบพุทธที่ว่าซึ่งมีในผู้นำสามารถเปลี่ยนเป็นอำนาจชอบธรรมในทางการเมืองได้โดยตรง และความชอบธรรมที่ว่าก็เสื่อมลงได้ หากผู้นำทำผิดศีลธรรม คนไทยมองว่ากรุงล่มเพราะผู้นำหมดบุญบารมี เช่น กรณีการเสียกรุงแก่พม่าของราชอาณาจักรอยุธยา หรือสามัญชนหรือขุนนางที่ไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์ได้ก็เพราะมีบารมี ดีงกรณีของพระเจ้าตากและต้นรัชกาลของแผ่นดินเรา
• ผู้นำไทยแต่ก่อนจึงนิยมให้การสนับสนุนพระ บำรุงอุปถัมภ์คณะสงฆ์อย่างเห็นได้ชัดและถวายการอุปัฏฐากพระที่มีบารมี
• ความสัมพันธ์ของคณะสงฆ์และสถาบันพระมหากษัตริย์เปลี่ยนรูปไปเป็นแบบใหม่ในช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 19 เมื่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏผู้เป็นสมาชิกราชวงศ์และรัชทายาทที่ออกผนวชได้ทำการปฏิรูปศาสนาพุทธเถรวาท
• การปฏิรูปของพระองค์เน้นที่การสนับสนุนให้พระสงฆ์เล่าเรียนคันถธุระจากพระไตรปิฎกบาลีและอรรถกถามากกว่าแสวงหาการปฏิบัติตามวิถีครูบาอาจารย์ที่ทำสืบๆ กันมาอย่างไร้มาตรฐาน เน้นสอนให้คนประพฤติธรรมดีกว่าประกอบพิธีกรรม และพระที่เข้าร่วมขบวนการนี้ก็มองว่า ตัวเองถือวินัยเคร่งครัดครบถ้วนถูกต้องกว่าพระพื้นเมืองโดยเฉลี่ย
• Keyes มองว่าการปฏิรูปของพระภิกษุเจ้าฟ้าฯ มีความสำคัญเชื่อมโยงกับข้อเสนอเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของศาสนากับการเมืองในปาฐกถาของเขา คือ (1) การปฏิรูปครั้งนี้ทำให้ชาวพุทธไทยหรืออย่างน้อยก็บรรดาผู้นำชาวพุทธ หันมาตระหนักรู้ว่าคำสอนแท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นประกอบด้วยอะไรบ้างเพื่อที่จะได้แก้ต่างให้ศาสนาของตนที่ถูกชนชาติตะวันตกท้าทาย ทั้งกลุ่มที่เป็นพวกชาวคริสต์และพวกที่ไม่นับถือศาสนา (2) นับแต่การปฏิรูปในคราวนั้นเป็นต้นมา บารมีของพระไทยก็เพิ่มขึ้นอีกแบบ ได้แก่ ความสามารถในการแสดงหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
• คณะสงฆ์ที่ได้รับการปฏิรูปนี้แยกตัวออกมาเป็นพระอีกคณะหนึ่งต่างหากจากพระไทยทั่วไปเรียกว่าคณะ “ธรรมยุติกนิกาย” ส่วนพระทั่วไปกลายเป็นคณะ “มหานิกาย”
• คณธรรมยุตได้รับความนิยมและการอุปถัมภ์จากสมาชิกราชวงศ์ในแผ่นดินต่อๆ มา จนกระทั่งมีคนมองว่าได้รับสิทธิพิเศษเพราะเป็นนิกายที่ก่อตั้งโดยพระเจ้าแผ่นดินเอง
• Keyes (1999: 6) เห็นว่า คณะธรรมยุตนี้เป็นเหมือนหนึ่งรากฐานที่วางไว้สำหรับการปฏิรูปคณะสงฆ์แห่งรัฐที่เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ในช่วงที่มีกระบวนการเปลี่ยนราชอาณาจักรสยามให้กลายเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่

• กระบวนการเปลี่ยนสยามเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่มีการเปิดฟื้นที่ให้คนอื่น (ที่ไม่ได้เป็นชนชั้นปกครองในราชสำนัก) ได้มีโอกาสเข้ามาเล่นการเมืองด้วยโดยไม่ได้เจตนา
• การเล่นการเมืองของพวกเราพี่น้องชาวไทยต่างจากพวกฝรั่งเป็นอย่างมาก กล่าวคือ ขณะที่การเมืองของพวกฝรั่งเป็นกิจกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจในทางปฏิบัติหวังผลลัพธ์เป้าหมายโดยตรง “impelled by pragmatic means-end motivations” การเมืองของคนไทยเล่นกันด้วยแรงจูงใจทางศีลธรรม (กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนเล่นการเมืองในมุมมองของฝรั่งคือคนที่ลงมาคุยเรื่องผลประโยชน์กันแบบตรงไปตรงมา ไม่ใช่คนที่เสียสละตนมาช่วยเหลือคนอื่นแบบในบ้านเรา)
• กล่าวคือ Keyes (1999: 6) เห็นว่า ในเมืองไทยยุคสมัยใหม่แนวคิดเรื่องบารมียังคงมีพลังอำนาจอยู่พื่นที่การเมืองไม่ต่างจากสมัยโบราณ
• วิกฤตการณ์ของระบอบการเมืองไทย (a crisis of order) ของ Keyes (1999: 6) หมายถึงช่วงเวลาที่บุญบารมี (ของผู้นำ) ถูกท้าทาย
• วิกฤตการณ์ของระบอบครั้งแรกของสยามเกิดในสมัย ร.๕ เมื่อการสร้างรัฐราชการแบบสมัยใหม่ทำให้เจ้าผู้ปกครองท้องถิ่นเสียอำนาจ เพราะการควบรวมอำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ราชสำนักกรุงเทพฯ เอาข้าหลวงไปปกครองเมืองแทนพวกเจ้าท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจมีกบฏผู้มีบุญหรือพวก “ผีบุญ” ท้าทายบารมีของพระเจ้าแผ่นดินสยาม ทว่า วิกฤตก็สงบไปเพราะแสนยานุภาพอาวุธที่เหนือกว่าของราชสำนักและการรู้จักใช้ผู้นำที่เป็นพระมีบารมีในท้องถิ่นประสานประโยชน์กับชาวบ้าน
• การปฏิรูปสยามส่วนหนึ่งสำเร็จได้เพราะความร่วมมือของพระสงฆ์ในท้องถิ่น
• ในสมัยนั้นยังมีการจัดการปกครองคณะสงฆ์แบบราชการขึ้นมา เพื่อผนวกรวมพระทั้งประเทศให้อยู่ภายใต้กฎหมายและการปกครองแบบเดียวกัน เกิดองค์กรปกครองคณะสงฆ์ที่เรียกว่า “มหาเถรสมาคม” และการจัดลำดับสมณศักดิ์ของราชสำนักทดแทนการแต่งตั้งพระกันเองของคนท้องถิ่น มีกฎหมายพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ที่ประกาศใช้กับพระทั้งประเทศไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑
• พระเจ้าอยู่หัว ร.๖ มีพระมติกำหนดให้ศาสนาเป็นเสาหลักของชาติและคณะสงฆ์เป็นตัวแทนของพระศาสนา เสาหลักอีกสองอย่างคือสถาบันกษัตริย์และสถาบันชาติ ความคิดนี้ยังสืบทอดเรื่อยมาในรุ่นเรา
• การปฏิรูปและบังคับใช้กฎหมายประสบความสำเร็จในภาคอีสานและภาคใต้ ผิดกับทางภาคเหนือที่มีการต่อต้านขัดขืนจากพระท้องถิ่นอย่างครูบาศรีวิชัย ในช่วงทศวรรษ 1930s
• ช่วงเวลาเดียวกันนี้ ก็เกิดวิกฤตกับระบอบการเมืองขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อพระเจ้าอยู่หัว ร.๗ ถูกคณะราษฎร (ที่ประกอบด้วยข้าราชการทหารและพลเรือนที่เป็นสามัญชน) บังคับให้สละพระราชอำนาจตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กลายเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในการปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ หรือ ค.ศ. 1932
• การปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ ทำลายความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยกันของพระมหากษัตริย์กับคณะสงฆ์ไทยที่มีมาแต่โบราณ (the ancient symbiotic relationship between sangha and monarchy) และยังก่อให้เกิดปัญหาแก่รากฐานของสิทธิอำนาจความชอบธรรมในทางการเมืองไทยอีกด้วย
• การปฏิวัติในคราวนั้นกระตุ้นให้พระสงฆ์ไทยหันมาสนใจการเมืองและเกิดมีพระที่ลงเล่นการเมืองแบบสมัยใหม่ “political monks” เป็นครั้งในแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย
• พระกลุ่มนั้นวิตกกังวลว่า การปฏิรูปให้บ้านเมืองปกครองแบบประชาธิปไตยจะทำให้พระต้องไปมีบทบาทยุ่งกับสังคมมากขึ้นกว่าที่แล้วมา ความวิตกนี้นำไปสู่การอภิปรายในสภาจนเกิดกฎหมายพระฉบับใหม่ คือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้มอบอำนาจให้รัฐกำกับควบคุมพระอย่างชัดเจน รัฐบาลมีอำนาจในการรับรองวัดและควบคุมสมบัติของพวกพระ พระไม่ได้รับอนุญาตให้ลงเล่นการเมืองเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรหรือใช้สิทธิเลือกตั้ง (แม้จะมีนักวิชาการบางคนลงความเห็นว่า พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับนี้มีการบริหารกิจการพระแบบที่ดูเป็นประชาธิปไตยมากกว่ายุคไหนๆ-ผู้แปล)
• การมีอยู่ของกฎหมายฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สถาบันสงฆ์แห่งรัฐที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ถูกกำกับควบคุมโดยรัฐบาลไปเรียบร้อยแล้ว พุทธศาสนาแบบทางการที่เป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติอยู่ใต้อำนาจของรัฐแบบสมัยใหม่ (state) โดยสมบูรณ์
• จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในผู้ร่วมก่อการคณะปฏิวัติ ๒๔๗๕ และนายกรัฐมนตรีไทยช่วง ค.ศ. 1983-1944 กับ ค.ศ. 1948-1957 ก็พยายามแสดงตนเป็น “ผู้นำ” ด้วยการเข้าหาพระแบบกษัตริย์ไทยสมัยก่อนให้ได้ชัดจากการเป็นผู้อุปถัมภ์หลักของงานเฉลิมฉลองพุทธชยันตีครบ 2500 ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานและการก่อสร้างพุทธมณฑล
• วิกฤตการณ์ครั้งที่สามเกิดขึ้นในช่วงที่จอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองนี้เอง พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๙ เสด็จนิวัติกลับมาประทับภายในประเทศและเดินทางเยี่ยมพสกนิกร ความนิยมที่ประชาชนมอบให้พระองค์ท่านแสดงให้เห็นว่าแนวคิดเรื่อง “บุญบารมี” ของผู้นำไม่ได้หายไปในยุคสมัยใหม่
• Keyes (1999:

• จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้นำทหารที่ไม่เหมือนจอมพล ป. เขาให้ความสำคัญกับพระเจ้าอยู่หัวและรู้จักสร้างความชอบธรรมทางการเมืองของตนด้วยการอุปถัมภ์สถาบันพระมหากษัตริย์
• อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจอมพลสฤษฎิ์จะไม่ได้แสดงบทบาทเป็นผู้อุปถัมภ์คณะสงฆ์แทนกษัตริย์อย่างท้าทายบารมีพระเจ้าอยู่หัวแบบจอมพล ป. ถึงกระนั้น เขาก็ออกกฎหมายสงฆ์ฉบับใหม่ขึ้นมากำกับควบคุมพระ คือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕
• ในสมัยของเขายังเกิดอธิกรณ์กับพระสมณศักดิ์มีตำแหน่งสูงในการปกครองอย่างพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ท่านถูกบังคับให้ลาสิกขาและนำตัวไปกักขังเนื่องด้วยข้อหาว่าเป็นพวกฝักใฝ่คอมมูนิสต์
• Keyes (1999:

• บารมีของพระพิมลธรรมไม่ได้มาจากการที่ท่านมีสมณศักดิ์สูงเท่านั้น แต่มาจากการโปรโมทการปฏิบัติธรรมฝึก “วิปัสสนา” ชนิดที่มาจากประเทศพม่า ชาวไทยไม่คุ้นเคยมาก่อน ความไม่คุ้นเคยนี้เองอาจเป็นเหตุให้พระพิมลธรรมต้องโดนภัยการเมืองเล่นงาน เนื่องด้วยท่านสั่งสมบารมีจากแหล่งที่มาสร้างความชอบธรรมนอกวัฒนธรรมไทย
• หลังจากเกิดกรณีพระพิมลธรรม คณะสงฆ์ทางการก็แสดงบทบาทนอบน้อมต่อรัฐด้วยดีมาโดยตลอดให้ความร่วมกับรัฐบาลที่ขึ้นมามีอำนาจในสมัยหลังที่เป็นผู้นำทหารแบบจอมพลสฤษฎิ์ ไม่ว่าจะเป็นจอมพลถนอม กิตติขจร หรือจอมพลประภาส จารุเสถียร
• คณะสงห์แห่งรัฐในสมัยจอมพลทั้งสามดูจะเป็นแหล่งที่มาแห่งความชอบธรรมหรือใช้สร้างบารมีได้น้อยกว่าเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ Keyes (1999: 9) ยกตัวอย่าง การที่รัฐบาลสมัยนั้นจัดตั้งโครงการเกณฑ์พระเป็น "พระธรรมทูต-พระธรรมจาริก" โปรโมทอุดมการณ์รัฐหรือประกาศแนวคิดต่อต้านภัยรุกรานจากลัทธิคอมมูนิสต์
• การกำกับควบคุมพระแบบเปิดเผยของรัฐบาลสมัยนั้น พร้อมกับการแผยแพร่ความคิดว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ กระตุ้นให้ชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตอยู่ในขณะนั้น หันมาตั้งคำถามกับบุญบารมีและความชอบธรรมของผู้นำ (รวมทั้งคณะสงฆ์แห่งรัฐ) การตั้งคำถามนี้ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในทศวรรษ 1970s ที่เกิดวิกฤตการเมืองครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จาก FB https://www.facebook.com/profile.php?id=61555883050758
#สรุปความและเรียบเรียงจาก
.
Keyes, C. F. (1999, July). Buddhism fragmented: Thai Buddhism and political order since the 1970s. In Keynote address presented at Seventh International Thai Studies Conference, Amsterdam, July.
https://www.facebook.com/photo/?fbid=122234280176196101&set=a.122202021338196101


.

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122234280176196101&set=a.122202021338196101