วันพฤหัสบดี, มกราคม 23, 2563

จากเหตุควันพิษลอนดอนในอดีตที่เกือบทำให้ ‘นายกโดนเด้ง’ แล้วทำไมไทยกลับนิ่งเฉย?




จากเหตุควันพิษลอนดอนในอดีตที่เกือบทำให้ ‘นายกโดนเด้ง’ แล้วทำไมไทยกลับนิ่งเฉย?


โดย ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์
GQ Thailand


ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมปี 1952 เกิดเหตุการณ์ The Great Smog of London ที่ต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์อังกฤษ เนื่องจากมีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์หมอกควันพิษครั้งนี้มากถึง 12,000 คน ขณะที่อีกราว 100,000 คนมีอาการป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ นี่คือหนึ่งในเหตุการณ์ทางมลพิษที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปมากที่สุด ที่สำคัญคือเป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์ล้วนๆ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่าง 5-9 ธันวาคม 1952 ในช่วงเวลานั้นชาวลอนดอนต้องใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก เมื่อจู่ๆ ก็เกิดหมอกควันหนาทึบปกคลุมไปทั่วกรุงลอนดอน แค่เดินก็ยังมองไม่เห็นถนนหนทาง ยังไม่ต้องพูดถึงการจราจรที่ไม่สามารถทำได้และเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนับไม่ถ้วน ต้นเหตุของควันพิษนี้มาจากโรงงานถ่านหินในลอนดอนและละแวกใกล้เคียงอย่างแบตเตอร์ซี ฟูแลม แบงค์ไซด์ และคิลส์ตันอัพพอนเทมส์ ที่ปล่อยมลพิษทางอากาศมากถึงวันละกว่า 1,000 ตัน ซึ่งในหมอกควันเหล่านั้นเต็มไปด้วยก๊าซที่อันตรายอย่างกรดไฮโดรคลอริกและซับเฟอร์ไดออกไซด์ หมอกควันที่ออกมาจึงมีสีดำปนเหลืองเขียว นั่นทำให้เหตุการณ์นี้มีอีกชื่อเรียกว่า pea-soupers หรือหมอกซุปถั่ว เนื่องจากสีของหมอกควัน

แม้จะเป็นช่วงเวลาแค่ 5 วัน แต่เมื่อเริ่มมีผู้คนเจ็บป่วยและล้มตาย จึงกลายเป็นเรื่องระดับประเทศ ความน่ากลัวคือประชาชนไม่รู้เลยว่าหมอกที่ลอยอยู่ในอากาศตอนนั้นคือหมอกควันพิษ ประกอบกับในช่วงเวลานั้นเป็นฤดูหนาว ผู้คนจึงคิดว่าเป็นหมอกธรรมชาติ ไม่มีใครตื่นตระหนก ซึ่งบ่งบอกถึงความล้มเหลวของการบริหารประเทศ เพราะไม่มีการสื่อสารชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงและเตรียมการป้องกันอย่างถูกต้อง



ในวันแรก วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคิดว่า “มันเป็นแค่หมอก” แต่หลังจากนั้นก็มีผู้เสียชีวิตถึง 4,000 คนภายในเวลาเพียง 3 วัน (และอีก 6,000 คนในเดือนต่อๆ มา) ในตอนนั้นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ถึงขั้นรับสั่งให้เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจัดการกับเรื่องนี้โดยด่วน (เหตุการณ์นี้อยู่ในซีรีส์เรื่อง The Crown ของเน็ตฟลิกซ์ ซีซั่น 1 เอพิโซด 4 ชื่อ Act of God) ไม่เช่นนั้นมีโอกาสสูงที่เชอร์ชิลจะถูกปลดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากเหตุการณ์นี้

เชอร์ชิลจัดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เขาสนับสนุนเงินทุน เจ้าหน้าที่ และเครื่องมือให้แก่โรงพยาบาล พร้อมตั้งคณะกรรมการจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน หมอกควันพิษค่อยๆ หายไปและลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในเช้าวันที่ 10 ธันวาคม การแก้ปัญหาของเชอร์ชิลอาจจะช้าก็จริง แต่สุดท้ายเขาก็ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง และไม่ว่าหมอกควันพิษจะหายไปจากฝีมือการจัดการของเขาหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้คะแนนนิยมจากคนอังกฤษกลับมาจากการเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผลของเหตุการณ์นี้ยังทำให้รัฐบาลอังกฤษออกกฏหมายจัดการมลพิษทางอากาศ (Clean Air Act 1956) ฉบับแรกขึ้นในวันที่ 5 กรกฎาคม 1956 อีกด้วย



ตัดภาพกลับมาที่ประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร ในปีค.ศ.2020

เหตุการณ์ฝุ่น PM2.5 อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยในปี 2019 แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่มันหวนกลับมาอีกครั้งและดูจะหนักหนาสาหัสกว่าที่เคย ตลอดระยะเวลานานนับปีหลังจากที่กรุงเทพฯ และประเทศไทยเริ่มเกิดปัญหานี้และมีบทเรียนให้ได้ศึกษา เหตุใดรัฐบาลจึงไม่หาทางป้องกันและรับมือ แต่ในทางตรงกันข้าม ‘พวกเขาเพิกเฉย’ กับเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชนทุกคน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ระหว่างพบประชาชนที่จังหวัดนราธิวาสเมื่อวานนี้ (20 มกราคม 2563) ว่า “เรื่อง PM2.5 ที่มีปัญหาอยู่ในเมืองใหญ่ เรื่องไฟป่า ไฟไหม้ เยอะแยะไปหมด แล้วเราก็มาคลี่ดูหมดว่าใครทำบ้าง และปัญหาแต่ละปัญหามันมีคนทำทั้งสิ้น มันเกิดจากประชาชน ผมก็โทษประชาชนไม่ได้เหมือนกัน แต่ต้องร่วมมือไง กฏหมายก็มีอยู่ ถ้าให้ผมไปดำเนินคดีทั้งหมด พวกท่านก็เดือดร้อน ท่านก็ช่วยผมสิครับ”

คำถามคือเราจะมีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล (ที่กินภาษีของประชาชน) ไปเพื่ออะไร หากเราทุกคนต้อง “ช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือรัฐบาล”

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวต่อว่า “ฝุ่นที่มีปัญหา PM2.5 มันขนาดเล็ก มันมีปัญหากับผู้อายุน้อยๆ เด็ก ทารก คนมีครรภ์ คนชรา คนที่มีโรคประจำตัว นอกนั้นแข็งแรงพอสู้ไหว อย่างผมเนี่ยพอไหว ถ้าใครรู้ว่าเสี่ยงก็ ปะจมูกเอา (ทำท่ามือปะจมูก) ใส่หน้ากาก ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ปลอดภัย”

ไม่น่าเชื่อว่านี่จะมาเป็นคำกล่าวของผู้นำประเทศ

นอกจากไม่แสดงความรับผิดชอบแล้ว นายกฯยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 เลยแม้แต่น้อย มันไม่ได้อันตรายเพียงแค่คนเฉพาะกลุ่ม แต่ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนมีอันตรายต่อทุกๆ คนครับ (รวมทั้งตัวท่าน) อีกทั้งยังตกใจที่ท่าน ผู้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแสดงการป้องกันฝุ่น PM2.5 ด้วยการทำท่าใช้มือปิดจมูก เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ขนาดหน้ากากธรรมดาก็ไม่ช่วยครับ ต้องเป็นหน้ากากแบบ N95 เท่านั้น

(กูเกิลช่วยท่านได้ครับ ลองค้นหาดู)



นี่ยังไม่ต้องพูดถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทุกคนต่างออกมาแถลงข่าวแบบไม่ได้มีแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่มีการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นข้อเท็จจริง มิหนำซ้ำยังพยายามปิดบังข้อมูลด้วยซ้ำ กระทั่งกระทรวงที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยตรงอย่างกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่มีแนวทางหรือคำแนะนำแก่ประชาชนที่ชัดเจน

เหตุใดรัฐบาลจึงเพิกเฉยและไม่ยอมรับว่าปัญหาฝุ่น PM2.5 คือปัญหาที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อประชาชน แนวทางแก้ปัญหาก็เหมือนเด็กเล่นขายของ ฉีดละอองน้ำบ้าง ซื้อหน้ากากแจกบ้าง มันคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น ผมไม่เคยเห็นการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย ทั้งที่เหตุการณ์ฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว และมีท่าทีว่าจะกลับมาเรื่อยๆ

นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวในทำนองว่า “กฏหมายมีอยู่ ถ้าให้ผมไปดำเนินคดีทั้งหมด พวกท่านก็เดือดร้อน ท่านก็ช่วยผมสิครับ” แสดงให้เห็นถึงการปัดภาระหน้าที่ให้ประชาชน ทั้งยังไม่กล้าบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง ทั้งที่ตนเองเป็นรัฐบาล?

และที่ผมหยิบยกเหตุการณ์ The Great Smog of London และเชอร์ชิลมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า หากนายกฯและรัฐบาลมองเรื่องนี้เป็นโอกาสในการเรียกคะแนนนิยม (ที่ร่อยหรอลงทุกวัน) ลุกขึ้นมาจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง อาจเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสก็ได้ครับ แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้กลับสวนทางกัน

ทิ้งท้ายด้วยคำกล่าวของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ตอบข้อซักถามของนักข่าวในเรื่องฝุ่นว่า

“ตอนนี้ก็ยังดีอยู่นะ เขาอยู่ได้หรือเปล่า ถ้าอากาศไม่ดีก็กลับบ้านไปนอน”