วันอังคาร, ธันวาคม 31, 2562

คืนความสุขอีท่าไหน.. คนไทยหนี้ท่วมหัว...




วิกฤติเศรษฐกิจลุกลาม รายได้คนไทยหดหาย หนี้ครัวเรือนพุ่งแตะ3.4แสนบาท/ครัวเรือน

Nov 30, 2019

Spotlight24
32.8K subscribers


หลังจากได้ฟังเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย มากว่า5ปีด้วยความหวังว่าชีวิตคนไทยจะได้พานพบความสุขตามที่มีคนสัญญาเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นว่าวันนี้คนไทยตกทุกข์ได้ยากยิ่งกว่าเดิม อันเป็นผลพวงมาจากเศรษฐกิจแย่ลง คนตกงาน ค้าขายไม่ดี แต่ค่าใช้จ่ายจำเป็นยังมากมายเหมือนเดิมและอาจจะเยอะกว่าเดิม เมื่อศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยไปสำรวจคนไทยทั่วประเทศก็พบว่า ครัวเริอนไทยเป็นหนี้บานเบอะมากที่สุดในรอบ10ปี เฉลี่ยครัวเรือนละ 3.4แสนบาท คนที่สัญญาว่าจะคืนความสุขให้คนไทยก็ทำให้ไม่ได้เสียที จนวันนี้คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวกันทั่วหน้า....ติดตามได้ในคลิปนี้(ขอบคุณศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯม.หอการค้าไทย/ ไทยรัฐออนไลน์/สภาพัฒน์)
..


..

Thakoon Boonparn
7 hrs ·

ไม่ต้องให้ถึง 2563
ลางหายนะทางเศรษฐกิจก็ปรากฎแล้วครับ
เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน-ค่าเงินบาทปิดตลาดวันทำการสุดท้ายของปี(30 ธันวาคม)เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
อยู่ที่ 29.92 บาท/ดอลลาร์
แข็งที่สุดในรอบ 6 ปี
แข็งที่สุดในทวีปเอเชีย
ในขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเกือบจะต่ำที่สุดในทวีป
ไม่เจ๊งวันนี้จะไปเจ๊งวันไหน
...
เหมือนที่บ่นบ้าโวยวายมาตลอดเป็นปีนี่ละครับ
ว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นนั้น กระทบโดยตรงกับการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตร
ถามว่าสามภาคเศรษฐกิจนี้เกี่ยวพันกับค่าเงินบาทขนาดไหน
จากผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ 2562
จำนวนประชากรที่มีงานทำของไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 37 ล้านคน
ในจำนวนนี้อยู่ในภาคการเกษตร 11.15 ล้านคน
รองลงมาคือภาคการขายส่ง 6.47 ล้านคน
ภาคการผลิต 6.17 ล้านคน
และภาคการท่องเที่ยว 3.03 ล้านคน
ถ้าภาคการผลิต(คืออุตสาหกรรม)กว่าครึ่งของไทยยึดโยงกับการส่งออก
แปลว่ามีคนไทยในวัยทำงานอย่างน้อย 20 ล้านคน ได้รับผลกระทบโดยตรงจากค่าเงินบาท
นี่คือ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
หรือมากกว่าครึ่งของประชากรในวัยทำงาน
ถ้ารายได้ของคนกลุ่มนี้ลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น
จะไปหวังอะไรให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว
...
ไม่ได้พูดเองลอยๆนะครับ
แต่สภาการผู้ส่งออกทางเรือ(ที่เป็นคนบรรทุกสินค้าออกไปต่างประเทศ)ฟาดเปรี้ยงเข้าให้ตรงๆว่า
ตัวเลขการส่งออก 11 เดือนของปีที่ติดลบ(คาดว่าทั้งปีก็จะลบ)
เป็นเพราะค่าเงินบาท”แข็งเกินจริง”
ในภาคการท่องเที่ยว แทนที่จะเป็นตัวปั๊มเงินให้กับประเทศ
ค่าเงินบาทก็กระแทกจนท่องเที่ยวกระเทือน
ปีที่แล้วทั้งปี มียักท่องเที่ยวเข้าเมืองไทย 38.1 ล้านคน
ปีนี้แทนที่จะโตได้ตามเป้าร้อยละ 6-7
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเมืองไทยมาถึงสิ้นปีคือ 39 ล้านคน
คนในธุรกิจการบิน การโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอื่นๆ
ชี้นิ้วไปที่ค่าเงินบาทแข็งตรงกันหมด
โดยเฉพาะกับตลาดจีน ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของไทย
บาทแข็ง แต่หยวนอ่อน
คิดแล้วต้นทุนมาเที่ยวเมืองไทยแพงขึ้นร้อยละ 20
นักท่องเที่ยวจีนก็เบนหัวไปฟิลิปปินส์กับเวียดนามแทน
ถ้าขนาดมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1-2 ของโลกอย่างจีน ยังปล่อยค่าเงินหยวนให้อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ประเทศปลายอ้อปลายแขม ขนาดเศรษฐกิจก็กระจิ๋ว อัตราการขยายตัวก็ต่ำเตี้ยติดดิน ในประเทศก็อุดมไปด้วยสารพัดปัญหา
ผ่าให้ค่าเงินแข็งโป๊กมาเป็นปี
ไม่เป็นลมตายไปก่อนหน้านี้ก็บุญโขแล้ว
แล้วถามว่าใครต้องรับผิดชอบเรื่องค่าเงินบาทแข็งและผลกระทบที่จะตามมา
เบอร์หนึ่งเลยก็คือแบงก์ชาติ
อันดับต่อมาก็คือรัฐบาล
...
เอาที่แบงก์ชาติก่อน
จะด้วยบทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 (ที่ต้นตอปัญหาเกิดจากนโยบายและการจัดการที่ผิดพลาดของแบงก์ชาติเป็นหลัก)ยังตามหลอกหลอนอยู่หรือไรไม่รู้ได้
คนแบงก์ชาติตั้งแต่หัวยันหาง ท่องคาถาออกมาเป็นคำเดียวกันว่า
จะต้องรักษาเสถียรภาพ จะต้องดูแลเป้าหมายเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
จนกระทั่งจะผอมแห้งแรงน้อยตายกันหมดทั้งประเทศ
ก็ยังกอดคาถานี้อยู่ไม่ปล่อย
ถามหน่อยเถอะว่า ถ้าตาย-หรือเศรษฐกิจวินาศสันตะโรไปแล้ว
จะไปมีเสถียรภาพหมูแมวอะไรที่ไหน
ไม่เท่านั้น ในขณะที่ผู้ประกอบการแทบทุกภาคธุรกิจร้องประสานเสียงกันว่า ค่าเงินบาทแข็งทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
แบงก์ชาติก็ยืนกรานกระต่ายสามขาว่า
ไม่จริ๊ง-ไม่จริง
ถามว่าคนฟังควรจะเชื่อใคร
คนที่ได้เสียโดยตรง
หรือกลุ่มที่เหมือนมาจากดาวอังคาร พูดกันคนละภาษา สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง
...
ถามว่าแล้วรัฐบาลหรือชาวบ้านทำอะไรกับแบงก์ชาติได้บ้าง
นอกจากกราบไหว้อ้อนวอนให้ท่านกรุณา
คำตอบคือ ไม่มี
เพราะในยุคหนึ่ง(หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง น่าจะเป็นปี 2543 หรือ 2544) ก็รัฐบาลนี่แหละที่ไปแก้กฎหมายให้แบงก์ชาติเป็นอิสระ
อิสระประเภทลอยคว้างอยู่กลางอยู่กลางอวกาศ
ไม่ต้องรับผิดชอบและไม่ขึ้นกับใครเลย
ไม่ว่าจะรัฐบาล รัฐสภา หรือประชาชน
แต่งตั้งเข้ามาได้ แต่ถอดถอนไม่ได้(กฎหมายเขียนไว้ว่าเว้นแต่สร้างความพินาศให้แก่ระบบเศรษฐกิจ แล้วถามว่าเวลาเศรษฐกิจพินาศ รัฐบาลที่ไหนจะกล้าปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่เป็นเหมือนสัญญลักษณ์และตัวแทนของคนดีย์ ให้ตัวเองถูกด่าหนือประณามมากยิ่งขึ้น)
จะด้วยเหตุนี้หรือไม่ก็ไม่รู้ได้
แบงก์ชาติก็เลยไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องฟังใคร
และแทบจะไม่ตอบสนองอะไรต่อทุกข์สุขของชาวบ้าน
...
และอย่างที่เคยเรียนแล้วว่า รัฐบาลเองก็บ้อท่า
ถามว่ารู้ไหมว่าค่าเงินบาทแข็งผิดความจริงอย่างนี้ ทำร้ายเศรษฐดิจโดยรวมและปากท้องของประชาชนขนาดไหน
ตอบว่ารู้
แต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไร
นอกจากจัดการกับแบงก์ชาติเพื่อให้นโยบายสอดคล้องประสานกันไม่ได้ยังไม่พอ
ในรัฐบาลเองก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
นโยบายไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากแจกเงินในนามของการกระตุ้นเศรษฐกิจ(ที่ไม่ค่อยจะได้ผล เพราะถ้าได้ผลจริงคงไม่ต้องทำซ้ำซากไม่รู้ว่ากี่รอบอย่างนี้)
ที่ประกาศปาวๆไม่กี่วันก่อน ว่าจะตั้งกรรมการมาดูแลค่าเงินบาทอะไรนั่น
เอาเข้าจริงก็แค่น้ำยาบ้วนปาก
ถ้าทำจริง-ทำได้
ผลจะออกมาอย่างที่เห็นนี้หรือ
...
ถามว่าแล้วบาทแข็งไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรือ
เท่าที่คิดเร็วๆนั่นเห็นอยู่สองอย่าง
อย่างแรกคือสินค้านำเข้าทั้งหลายก็จะถูกลง
ทีนี้ถ้าเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพ เช่น น้ำมันหรือเชื้อเพลิงอื่นๆ
หรือสินค้านำเข้าเพื่อผลิตส่งออกก็แล้วไป
แต่หมายเหตุไว้ด้วยว่า ราคาน้ำมัน-ราคาพลังงานในไทยก็ไม่ได้ลดลงเป็นสัดส่วนกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นสักเท่าไหร่
และต้องไม่ลืมด้วยว่า ที่ราคาถูกลงไปด้วยก็คือสินค้านำเข้าฟุ่มเฟือย-สินค้าแบรนด์เนมอื่นๆด้วย
ลองสำรวจดูกันอีกทีก็ได้ ว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่
อย่างต่อมาก็คือ ทำให้ต้นทุนการไปเที่ยวหรือซื้อของในต่างประเทศถูกลง
ยิ่งแบงก์ชาติท่านผ่อนคลายระเบียบการนำเงินออก
ยิ่งไปซื้อทรัพย์สินหรือเที่ยวต่างประเทศสบายขึ้น
หมายเหตุไว้ด้วยว่า ทั้งหมดนี้เป็นการอำนวยความสะดวก-เป็นประโยชน์แก่เศรษฐี ผู้มีทรัพย์ทั้งสิ้น
เกษตรกร ลูกจ้างแรงงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ
ไม่ได้อะไรด้วยเลย
...
แล้วถามว่าจะแก้อย่างไร
ตอบแบบกำปั้นทุบดินในฐานะ(อดีต)นักข่าวสายการเงินไปก่อนว่า
ปัญหาอยู่ตรงไหน
ก็แก้ตรงนั้น(สิวะ)
เงินบาทแข็งเพราะมีเงินต่างประเทศไหลเข้ามาเก็งกำไร(จากดอกเบี้ย จากหุ้น จากนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนพิลึกๆ)มากไป
ก็ต้องผลักเงินที่ไหลเข้าให้กลับออกไปมากที่สุด
แต่จะผลักอย่างไร ขออนุญาตไปสอบถามผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมาก่อน
ไม่อยากขยายขี้เท่อ
กระนั้น ขนาดเป็นไอ้ขี้เท่อ ยังรู้(และรู้สึก)ได้ว่า ค่าเงินบาทแข็งทำร้ายเศรษฐกิจส่วนรวมและปากท้องของชาวบ้านแต่ไหน
จึงแปลกใจ(แกมโกรธมากๆ)ว่า
ทำไมท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่รู้
หรือรู้แล้วไม่ทำอะไร(วะ)
...
มาถึงวันนี้ คำคมที่ว่า”นรก อิส คัมมิ่ง ซูน.”นั้นใช้ไม่ได้แล้ว
เพราะ”นรก อิส นาว(แอนด์ เฮียร์) ออลเรดดี้.”ไปเรียบร้อย
จะพึ่งรัฐบาลก็บ้อท่า
จะพึ่งแบงก์ชาติก็พูดคนละภาษา มาจากดาวคนละดวงกัน
“อัตตาหิ อัตโน นาโถ”-ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เถอะครับท่าน
ขอให้โชคดี
...