สถานการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเหมียนหม่าบอกอะไรกับเราได้บ้าง
‘โน’ ไม่ใช่ออง ซาน ซูจีเปลี่ยนไป กลืนน้ำลายตนเอง
หรือทรยศต่ออุดมการณ์ ดังที่วิจารณ์กันอยู่ขณะนี้
แน่นอนว่าการอมพะนำของนางซูจีชี้บ่งถึงการยอมสยบให้กับนโยบายผลักดัน
ไม่ยอมรับชนเชื้อสายโรฮิงญาเป็นชาวพม่า แม้นว่าชนเชื้อชาตินี้อยู่อาศัยในพื้นที่มาเป็นร้อยๆ
ปี เพียงเพราะพวกเขานับถือมุสลิม ผิดแผกแตกต่างกับศาสนาประจำชาติพม่า
ในเบื้องลึกหัวใจของดอว์ ซูจี จะเป็นอย่างไรแน่
คนทั่วไปยังไม่ได้รู้เพราะเธอไม่ยอมเปิดปากพูดให้หมดเปลือก เท่าที่พูดออกมาก็เป็นไปตามแนวนโยบายร่วมของรัฐบาลพม่า
รวมทั้งการใช้กำลังทหารเข้าจัดการเพราะการก่อการร้ายของกองโจรมุสลิม เมื่อวันที่
๒๕ สิงหาคม
แม้กระทั่งการที่ซูจีงดการเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติเดือนนี้
ทั้งที่ประชาคมโลกตั้งตารอฟังความรู้สึกจากปากของเธอเต็มๆ สักครั้ง
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้เรียกคืนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากเธอ
ในกรณีกำลังทหารพม่าโจมตีหมู่บ้านชาวมุสลิมในรัฐยะไข่
ทั้งเข่นฆ่าและเผาบ้านเรือนจนชนชาวโรฮิงญาต้องพากันอพยพหนีภัยเข้าสู่บังคลาเทศไม่ขาดสาย
ตัวเลขอาทิตย์ที่แล้ว ๔ แสนคน เชื่อว่ายังจะมีอีกไม่น้อยกว่าแสน ประชาคมโลกต่างประณามว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
มีรายงานว่าทหารพม่าสังหารชาวโรฮิงญาอย่างโหดเหี้ยม “ตัดหัว
เผาทั้งเป็นในบ้าน แม้แต่เด็กเล็กก็ไม่เว้นตกเป็นเป้า ไม่น่าแปลกใจเลยว่า
ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ นายซี้ด ราอัด อัล อัสเซน
กล่าวถึงการโจมตีของกำลังทหารพม่าต่อชาวโรฮิงญาว่าเป็น
ตัวอย่างตำราของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
ม้าร์ค ฟาร์แมเนอร์ ผู้อำนวยการรณรงค์เพื่อพม่าในสหราชอาณาจักร
เขียนเล่าในบทความของเขา ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักข่าวฮัฟฟิงตันโพสต์เมื่อวันก่อน
เขาชี้ว่าหลายคนอาจจะผิดหวัง หรือกระทั่งช็อคและแปลกใจกับท่าทีของออง
ซาน ซูจี ต่อกรณีความรุนแรงในยะไข่ “ไม่...เธอไม่น่าปฏิเสธว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น
‘เยส’...เธอควรที่จะแสดงความเห็นใจปกป้องชาวโรฮิงญา”
แต่ถ้าจะเรียกคืนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากเธอละก็
ผอ.องค์กร ‘Burma Campaign UK’ บอกว่า “ไม่ควร”
หนึ่งเพราะไม่มีกระบวนการอะไรให้ทำได้
ฉะนั้นหันมาพูดถึงต้นสายปลายเหตุแท้จริงดีกว่า
“กำลังทหารในเหมียนหม่า นำโดยผู้บัญชาการทหาร มิน อ่อง เหลี่ยง
ต่างหากที่ปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา โดยอ้างการตามล่าปราบปรามกองกำลังก่อการร้ายบังหน้า...ป่านนี้มีคนตายไปแล้วสัก
๕ พันได้ละมัง”
นายฟาร์แมเนอร์ให้รายละเอียดว่า ‘มินอ่องเหลี่ยง’ ผู้นี้ควรที่จะได้รับการปฏิบัติต่อเหมือนดั่งจัณฑาลตั้งนานมาแล้ว
กำลังทหารที่เขาบัญชาการมีประวัติละเมิดสิทธิมนุษยชนเลวร้ายที่สุดในโลก
แม้ก่อนหน้าที่จะมีการไล่ล่าฆ่าทิ้งมุสลิมในยะไข่ครั้งนี้
สหประชาชาติก็กำลังสอบสวนเรื่องอาชญากรสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ที่กระทำต่อชาวโรฮิงญาและชนพื้นเมืองอื่นๆ ในพม่าอยู่แล้ว
แต่มินอ่องเหลี่ยงกลับเล็ดลอดจากการเพ่งเล็งของนานาชาติไปได้เพราะอะไร
เพราะโลกมัวแต่จับจ้องวิจารณ์อองซานซูจีกันยกใหญ่ คุณม้าร์คบอกว่านี่แหละคือเป้าหมายที่มินอ่องเหลี่ยงต้องการ
ขณะทั่วโลกชี้หน้าดอว์ซูจี ทหารพม่าก็จัดการกวาดล้างโรฮิงญาอย่างสบายใจ
“ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมียนหม่าที่ทหารเป็นผู้ร่าง
ซูจีไม่มีอำนาจอะไรเลยในการกำกับควบคุมทหาร ซึ่งเป็นอิสระปลอดจากเงื้อมมือของรัฐบาลพลเรือนอย่างสิ้นเชิง”
อืม ฟังดูคลับคล้ายคลับคลา เหมือนที่ไหนสักแห่งนะนี่
“กองทัพบกพม่ากำกับทั้งตำรวจ หน่วยงานความมั่นคง การป้องกันชายแดน
และระบบราชการพลเรือนส่วนใหญ่ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกสภาจำนวน ๒๕
เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด
การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียงข้างมาก ๗๕
เปอร์เซ็นต์เป็นหลัก ดังนั้นมินอ่องเหลี่ยงจึงมีสิทธิวีโต้เต็มที่
เขาเป็นหัวหน้ารัฐบาลซ้อนรัฐบาลในเหมียนหม่า ที่มีปืนเป็นอาวุธ”
ต่อการที่จะยุติกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในพม่าให้ได้ผล ผอ.องค์กรรณรงค์เพื่อพม่าเรียกร้องให้นานาชาติหันไปกดดันคณะทหารพม่ากันได้แล้ว
“ถึงเวลาที่การอยู่เหนือความรับผิดของคณะทหารจะต้องสิ้นสุดเสียที”
“ทุกๆ กรรมวิธีที่ทำได้ การทูต หลักกฎหมาย เศรษฐกิจ
จะต้องนำมาใช้อย่างเต็มพิกัดในการกดดันมินอ่องเหลี่ยง” ถึงเวลาที่การซ้อมรบของกองทัพพม่าร่วมกับอังกฤษควรจะต้องยับยั้ง
ข้อสำคัญ “สมัชชาความมั่นคงสหประชาชาติจะต้องรายงานสถานการณ์ในเหมียนหม่าต่อศาลอาญาระหว่างประเทศทันที”
ฟาร์แมเนอร์เน้นว่าวิธีการมีให้เลือกเยอะแยะ ขาดแต่ความกล้าหาญทางการเมืองเท่านั้น
ฟังแล้วหวนโหยถึงบ้านเรา ถ้าเดินตามรอยเหมียนหม่าเดี๊ยะ ลองนึกดูหากยิ่งลักษณ์ไม่ต้องหนี
สามารถต๊ะอ้วยกับ คสช.ได้ ศาลการเมืองยกฟ้อง เสร็จงานใหญ่แล้วมีเลือกตั้งทันทีทันใด
เพื่อไทยชนะใส ใครเป็นนายกฯ ก็ได้ แต่ยิ่งลักษณ์เป็นประธานที่ปรึกษารัฐบาล
แล้วเกิดการ ‘ethnic cleansing’ พวกลาวๆ ขึ้นมาล่ะ โอ๊ย
สยอง ไม่อยากคิด