ที่มา FB
Banyong Pongpanich
การลงทุนในไทย ....เพิ่ม หรือ หด กันแน่? ...10 พค.60
ตื่นเช้าวันหยุด ทุกสื่อพาดหัวรายงานการแถลงของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ที่ออกมาประกาศผลงานสามปีของรัฐบาลนี้ เนื้อความทำนองว่า "นโยบายรัฐบาลประยุทธเห็นผล การลงทุนสามปีโต 1.7ลัานๆบาท" ซึ่งช่างสอดคล้องกับคำสั่งให้ทุกหน่วยงานแถลงผลงานในช่วงสามปีที่คสช.บริหารประเทศ ว่าทำคุณประโยชน์ให้ประเทศอเนกอนันต์ขนาดไหน ...อ่านแต่พาดหัวนี่ดูน่าปลื้มอกปลื้มใจมากเลยครับ
แต่พอไปดูรายละเอียดที่เขาแถลง การณ์กลับกลายเป็นว่า ตัวเลขการลงทุนจริงที่เกิดจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ในปี2557มีการลงทุน 600,000 ล้านบาท ปี2558ลดเหลือ 500,000 ล้านบาท พอปี2559หดลงอีกมีแค่ 490,000 ล้านบาท และสามเดือนแรกปีนี้มีอีก 80,000 ล้านบาท(ซึ่งถ้าอีกสามไตรมาสยังลงน้อยเท่าๆนี้จะมีแค่ 320,000 ล้านบาทเท่านั้น) ...เห็นแล้วใจแป้วมากๆเลยครับ
อย่างนี้เขาเรียกว่าหดตัวครับ ไม่ใช่ขยายตัว มันเท่ากับว่า ปี2558 หดตัว -17% ปี2559หดอีก -2% แถมปีนี้ ทำท่าจะหดได้มากถึง -35%เลยทีเดียว แถมถ้าไปฟังท่านเลขาธิการฯแถลงยืนยันว่า ในสามปีนี้จะมีลงทุนอีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านๆบาท ยิ่งน่ากลุ้มใจจนอยากเอาตีนก่ายหน้าผาก เพราะนั่นมันลดลงจากสามปีก่อนถึงกว่าหนึ่งในสามเลยทีเดียว (อีกอย่างหนึ่ง ...ที่แถลงนั่นมันสามปีสามเดือนนะครับ ไปเอาผลงานสมัยยิ่งลักษณ์เค้ามาเกือบห้าเดือน)
ทั้งหมดนั่นเป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้เทียบกับรายได้ประชาชาติเลยนะครับ ถ้าเทียบกับGDPยิ่งต้องกุมขมับเข้าไปใหญ่ เพราะมันต้องลดมากกว่านี้อีก เนื่องจากขนาดปีแย่ๆGDPก็ยังขยายตัวปีละประมาณ5%ทุกปี(Nominal Rate)
นี่เรียกว่าแถลงปัญหาแล้วครับ ไม่ใช่แถลงผลงาน มันควรจะพาดหัวว่า "BOIยอมรับ ว่าการลงทุนไม่กระเตื้อง ยังหดตัวต่อเนื่องตลอดสามปี ถึงแม้ว่ารัฐบาลประยุทธจะใช้ความพยายามและทำงานอย่างหนัก แถมยังมีแนวโน้มลดลงอีกในสามปีข้างหน้า"
ผมไม่มีตัวเลขลงทุนจริงผ่านBOI ในปี 2556 เลยไม่รู้ว่าปี2557นั้นหดหรือเปล่า เพราะปกติBOIท่านแถลงแต่ตัวเลขคนขอส่งเสริม กับตัวเลขที่อนุมัติ เพิ่งมาแถลงตัวเลขลงทุนจริงในครั้งนี้ ซึ่งผมก็หวังว่าท่านไม่คุ้น เลยบวกตัวเลขผิดหรือรับรายงานผิด ไม่งั้นมันแปลว่าเรากำลังเจอปัญหาหนัก และเศรษฐกิจยากที่จะฟื้นไปอีกหลายปี
ที่พอปลอบใจได้หน่อยก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า การลงทุนผ่านBOIไม่ใช่การลงทุนภาคเอกชนทั้งหมด ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ที่20% ก็เลยยังพอมีหวัง(ที่ไม่รู้ว่าลมๆแล้งๆหรือเปล่า) ว่าการลงทุนที่ไม่ขอส่งเสริมจะยังขยายตัว ไม่หดตาม
ยิ่งไปอ่านงานวิจัยเรื่อง"สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับการดึงดูดนักลงทุน"ของสถาบันวิจัยป๋วย(PIER)http://thaipublica.org/2017/05/pier-20/ แล้วยิ่งเพิ่มกังวล เพราะว่าประเทศไทยอัดฉีดส่งเสริมมากสุดในอาเชี่ยนแล้ว เรามีอัตราภาษีEffective Rateแค่ 7.6%เท่านั้นเอง ขณะที่ฟิลิปปินส์มี17.9% อินโดนีเซีย13.9% มาเลเซีย10.2% และเวียตนาม9.9% ซึ่งงานวิจัยก็แนะนำว่าการส่งเสริมโดยลดภาษีจะไม่ช่วยอะไรอีก แต่เป็นเรื่องอื่นๆ เช่น คุณภาพของสถาบัน คุณภาพของกฎระเบียบ ของรัฐบาลมากกว่า (ผมขอแถมเรื่องคุณภาพสาธารณูปโภคพื้นฐาน คุณภาพรัฐวิสาหกิจ และคุณภาพคน บวกด้วยระดับการคอร์รัปชั่นเข้าไปด้วยนะครับ) เพราะฉะนั้นการจะไปโรดโชว์กี่ร้อยเที่ยวก็อาจจะไม่เกิดผล
การลงทุนภาคเอกชน....เป็นปัจจัย เป็นเครื่องจักร ที่สำคัญที่สุด ในการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเศรษฐกิจในระบบปัจจุบัน การส่งออกในระยะยาวจะเพิ่มไม่ได้เลยถ้าไม่มีการลงทุน การบริโภคในประเทศก็เพิ่มยากเพราะถ้าไม่มีการลงทุนคนรายได้น้อยและรายได้ปานกลางก็จะไม่มีรายได้เพิ่มแถมหนี้ครัวเรือนก็ถึงคอหอยแล้ว (คนรวยก็ไปบริโภคของนอกหรือไม่ก็นอกประเทศกันหมด) รัฐลงทุนได้อย่างมากก็6-7%ของGDP แถมถ้าทำต่อเนื่องสักสิบปี หนี้สาธารณะก็คงระเบิด
"ทำไมเอกชนไม่ยอมลงทุน"....นี่เป็นคำถามที่ต้องวิเคราะห์ต้องประเมินให้เข้าใจถ่องแท้ ถ้าไปคิดเอาแค่ง่ายๆว่า เพราะไม่มั่นใจ หรือไปคิดว่าจะกระตุ้นได้โดยแค่ลดภาษี หรือแค่ให้รัฐลงทุนนำ หรือจะแค่ทำEEC ผมว่ามันจะเสี่ยงเกินไปนะครับ ....ไว้จะร่ายยาวเรื่องนี้อีกทีนะครับ