คนกลุ่มไหนเป็นผู้ทำการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรบนลานบริเวณหน้าอาคารรัฐสภาใกล้พระรูปทรงม้า
ไม่สำคัญนัก เพราะหมุดใหม่แสดงแจ่มแจ้งแล้วว่าเป็นเจตนาของคนพวกไหน
หากจะถือตามคำประกาศของพระยาพหลพลพยุหเสนาในพิธีฝังหมุดเมื่อ
๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๙ ว่า
“หมุดที่จะวางลง ณ
ที่นี้จึ่งเรียกว่า ‘หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ’ ในมงคลสมัยซึ่งเปนปีที่ ๕ แห่งการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉะบับถาวรนี้”
‘ณ ที่นี้’ ดังกล่าวก็คือ “ณ ที่ใดซึ่งเปนที่ ๆ พวกเราได้เคยร่วมกำลังกาย
กำลังใจและกำลังความคิด กระทำการเพื่อขอความอิสสระเสรีให้แก่ปวงชนชาวสยาม...
เพราะเปนที่ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรสยาม
ซึ่งถือกันว่าเปนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเปนมิ่งขวัญของประชาชาติไทย...
ความประสงค์อย่างบริสุทธิ์จริงใจของเรานี้
ได้รับความนิยมเลื่อมใสของอาณาประชาราษฎร
ตลอดทั้งได้รับพระบรมราชานุมัติของพระมหากษัตริย์ด้วย”
(หมายเหตุ เก็บความมาจากโพสต์ของ Sarunyou
Thep ที่นี่ https://www.facebook.com/sarunyouku/posts/1300120886747903)
เจตนานั้นก็คือต้องการลบล้างความสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยอันเป็นผลงานของคณะราษฎร
ด้วยการทำหมุดใหม่มาใส่แทนที่ มีข้อความเชิดชูพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ว่า “ประชาชนสุขสันต์
หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน”
รวมทั้งข้อความวงในรอบหมุดใหม่ตอนหนึ่งว่า “มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี
ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง”
ทำให้หลายคนทั้งในแวดวงวิชาการและผู้สันทัดกรณีตีความว่า
พวกที่จัดการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรต้องการให้ประเทศกลับไปสู่ระบอบราชาธิปไตย เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ
เพราะว่าคณะราษฎรนั้นเชิดชูรัฐธรรมนูญ
โดยที่มี “พระบรมราชานุมัติของพระมหากษัตริย์” (รัชกาลที่ ๗) เนื่องหนุน
ทว่าพระมหากษัตริย์รัชกาลที่
๙ (อันปรากฏสัญญลักษณ์แทนพระองค์ หมายเลข ๙ อยู่บนหมุดใหม่) จะทรงเห็นชอบกับความมุ่งมาดปรารถนาของคนที่จัดการเปลี่ยนหมุดหรือไม่
มิอาจทราบได้ เนื่องจากทรงประทับอยู่ ณ สวรรคาลัย
ไม่ปรากฏหลักฐานการสื่อสารประราชทานมาเพื่อการนี้
ดังนั้นคำของ
อจ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่เอ่ยถึงคนทำว่า “ทำแต่เรื่องโง่ๆ
เรื่องจัญไร” น่าจะแฝงไว้ด้วยความจริงเบื้องลึก
มิเพียงแค่ถ้อยบริภาษณ์ธรรมดา
ในเมื่อนี่คือการทำให้พระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์รัชกาลที่ ๙
เสื่อมทรามลงไปโดยมิควร
คงไม่มีใครอธิบายประเด็นนี้ได้ดีเท่า
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
“เอาคำของราชวงศ์ที่คิดว่าตัวเองเคารพไปเขียน
เอาคำที่รู้กันทั่วไปว่าหมายถึงพระนามของในหลวงภูมิพลไปติดแทน (พลังแผ่นดิน)
แล้วอย่างนี้ อีกหน่อยไม่ต้องบ้าคอยห้ามไม่ให้รถราหรือผู้คนแล่นเหยียบ
เดินเหยียบทับด้วยหรือ?
(พูดเป็นเล่นไป ในยุคสมัยที่มีคนบอกว่า
ห้ามเอาแบ๊งค์หรือเหรียญใส่ในกางเกงเพราะแบ๊งค์มีรูปในหลวงภูมิพลอยู่
อาจจะมีคนมาเสนอให้ไปตั้งรั้วห้ามรถหรือคนเดินทับหมุดใหม่ที่ว่าก็ได้นะเอ้า)
ที่ชวนตลกแบบสมเพชคือ
คนรักเจ้ารุ่นหลังพวกนี้ไม่รู้แม้แต่ธรรมเนียมประเพณีนิยมของเจ้า
ว่าเขาไม่เอาคำพวกนี้ที่เขาถือเป็นของ ‘สูง’ ไปไว้บนดินกลางถนนที่รถแล่นผ่าน คนเดินผ่านแบบนั้น”
ยังมีอีกที่โพสต์ของ
Somsak Jeamteerasakul ว่าไว้น่าฟัง “ถ้านึกอยากจะเลิกทุกอย่างที่คณะราษฎรทำนะ
นี่เลย รณรงค์ให้เลิกเรียกชื่อ ‘ประเทศไทย’ และ Thailand...ให้เลิกเพลงชาติไทยตอนนี้...การยืนตรงเคารพธงชาติ...
รู้หรือเปล่าว่าพวกนี้เป็นผลงานของคณะราษฎรทั้งนั้น
ซึ่งมีผลสะเทือนและความหมาย-ความสำคัญมาจนทุกวันนี้ ยิ่งกว่าหมุดที่ว่าไม่รู้กี่เท่า”
จึงสันนิษฐานว่าการเปลี่ยนหมุดครั้งนี้กระทำโดย
พวกรอยัลลิสต์ที่คลั่งไคล้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยิ่งกว่า the royals เป็นแบบเดียวกับพวก ‘โหนเจ้า’ ที่แสดงความรักเจ้าเสียจนเจ้าเองขนลุกขนพอง
ทำให้คดี ม.๑๑๒ (หรือแค่เข้าข่าย) เพิ่มขึ้นมากมายโดยมิควร
พวกรักเจ้าเสียยิ่งกว่าเจ้าเองเหล่านี้
ไม่รู้ไม่เห็นกับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทยที่ราชวงศ์เองก็มีส่วนร่วม
ทำให้วลีที่แสดงถึงการเป็นเสาหลักทางการปกครองไทยยุคใหม่ บิดเบี้ยวไป
เมื่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ขัดแย้งกันเองในตัว ฐานที่ทำให้หมุดหลักแสดงความสำคัญแห่งรัฐธรรมนูญอันตรธานไป
แล้วเอา ‘หน้าใส’ มาใส่แทน
โดยที่ ผศ.พิพัฒน์
กระแจะจันทน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ชัดถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์หมุดของคณะราษฎร
ว่า
“ถือเป็นโบราณวัตถุของชาติประเภทหนึ่งได้
เนื่องจากมีอายุเก่าเกิน ๕๐ ปี อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญของประเทศ
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษาก็ตาม
แต่ในความจริงแล้วเมื่อปี
๒๕๕๖ อดีตอธิบดีกรมศิลปากรก็เคยมีแนวคิดที่จะประกาศให้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นโบราณสถาน
ดังนั้นหมุดคณะราษฎรจึงเป็นส่วนหนึ่ง และสำคัญต่อความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของคนทั้งประเทศ”
แม้กระทั่ง ศรีสุวรรณ
จรรยา นักกิจกรรมที่แสดงตนเป็นรอยัลลิสต์แก่กล้าคนหนึ่ง ยังออกมาประท้วงและเรียกร้อง
“ขอทวงคืนหมุดคณะราษฎร” ในนามสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย
โดยกล่าวโทษผู้กระทำการเปลี่ยนหมุดว่า
“เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาญา
และขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ มาตรา ๕๗ (๑)
ประกอบมาตรา ๗๘
ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คือ กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒนธรรม
จะต้องเร่งดำเนินการนำหมุดคณะราษฎรดังกล่าวกลับมาประดิษฐานยังที่เดิม”