(นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ภาพประกอบจาก ไทยรัฐออนไลน์) |
ฉันอ่านรายงานข่าวเกี่ยวกับ “เห็บสยามโมเดล” ที่นำเสนอโดยปลัดกระทรวงการคลังแล้วคิดว่าวาทกรรมนี้ย้อนแย้งอย่างน่าอัศจรรย์
[1] [2] เขาเสนอว่า
“เห็บสยามโมเดลจะช่วยทำให้เราเติบโตไปกับประเทศที่กำลังขยายตัวได้
เราไม่จำเป็นต้องโตคนเดียว แต่สามารถพึ่งพาพันธมิตรได้ เช่น ถ้าจีนโต
เราก็จะอ้วนด้วย ถ้าจีนเลิกโต เราก็จะไปอยู่กับอินเดีย หรือแอฟริกาใต้ต่อ
นี่คือกลยุทธ์การโตของเรา คือถ้าใครโตเราก็จะเกาะไปกับเขาด้วย”
แต่ในขณะเดียวกันก็อ้างอิงดัชนีต่างๆ
เพื่อชี้นำว่าเศรษฐกิจไทยโดยภายรวมไม่มีปัญหา
ถ้าสาธารณชนเข้าใจ “ความหมาย” ของดัชนีต่างๆที่ปลัดกระทรวงการคลังอ้างอิงก็จะเข้าใจว่าอัศจรรย์อย่างไร
ก)
ปลัดคลังอ้างอิงว่า “ตัวเลขการว่างงานต่ำ”
ที่จริงแล้วสถิติอัตราว่างงานของไทยเป็นสถิติที่ไม่มีประโยชน์ต่อการศึกษาตลาดแรงงาน สมมุติว่าชายคนหนึ่งเป็นพนักงานบริษัทที่โดนไล่ออกจากงานแล้วหันไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา
สถิติไทยก็นับว่าชายคนนี้ไม่ตกงาน ประเด็นนี้สำคัญเพราะแรงงานในภาคเกษตรมากถึง 40% ของแรงงานทั้งหมด ฤดูที่ยังไม่เก็บเกียวไม่มีรายได้แล้วไปรับจ้างตัดหญ้า 1 ชั่วโมงหรือไปซื้อผลไม้ที่ตลาดมาจัดใส่ถุงเร่ขายก็นับว่าไม่ตกงาน
ปีที่แล้วสำนักงานข่าวบลูมเบิร์กก็เผยแพร่บทความที่เล่าความน่าขำขันของสถิติอัตราการว่างงานของไทย
[3]
ข) ปลัดคลังอ้างอิง “กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์”
กำไรดังกล่าวไม่นับบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ภาครัฐไม่สนใจผลกำไรของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์หรือ? แม้บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์มีขนาดเล็กกว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์
แต่บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ก็อาจมีศักยภาพในการสร้างสินค้าใหม่ที่สร้างความเติบโตให้เศรษฐกิจได้
ผลกำไรของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ดูได้ไม่ยากจากข้อมูลการเสียภาษี ถ้าภาคเอกชนกำไรดีรัฐบาลก็ควรเก็บรายได้ภาษีได้ตามเป้า
แต่มีรายงานข่าวว่ารายได้ภาษีเดือนพฤษภาคมต่ำกว่าเป้าถึง
20% [4]
ค) ปลัดคลังอ้างอิง “ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงกว่า
1.7 ล้านดอลลาร์”
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในบัญชีแบงค์ชาติ มีระดับสูงเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยและการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้และตลาดหลักทรัพย์ทำให้เงินทุนไหลเข้าในระยะสั้น
จึงเกิดความต้องการซื้อเงินบาท มีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เงินทุนเหล่านี้ไม่ช่วยสร้างงานโดยตรงนอกภาคการเงิน ส่วนต่างดอกเบี้ยปรับลดลงเมื่อไรทุนระยะสั้นก็จะไหลออก ทุนต่างชาติที่สำคัญต่อการผลิตและสร้างงานนอกภาคการเงินเรียกว่า
“การลงทุนตรง” (Direct investment) ซึ่งปลัดคลังไม่อ้างอิง
ที่จริงแล้ว การลงทุนตรงจากต่างชาติในครึ่งปีนี้ตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และการลงทุนตรงโดยทุนไทยในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น [5] กล่าวได้ว่า
“ทุนตรงไทยไหลออก และทุนตรงจากนอกทรุดตัว”
ทุนญี่ปุ่นที่มาลงทุนตรงในไทยจ้างคนญี่ปุ่นให้มาทำงานที่ไทยทั้งในระดับบริหารและวิชาชีพ
แล้วทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศจ้างงานคนไทยกลุ่มไหน? ถ้าลงทุนในภาคที่เน้นใช้แรงงานท้องถิ่นราคาถูกก็ไม่จำเป็นต้องจ้างแรงงานมีทักษะจากไทยมาก
ถ้าลงทุนในภาคเทคโนโลยีจะจ้างวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์คนไทยไหม?
ง)
ปลัดคลังอ้างอิง “ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล”
ดุลบัญชีเดินสะพัดวัดความแตกต่างระหว่างเงินออมและการลงทุนในประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพราะเงินออมสูงขึ้นและการลงทุนหดตัวซึ่งสอดคล้องกับการหดตัวของภาคส่งออก
ถ้าเศรษฐกิจขยายตัวการส่งออกจะไม่หดตัว ถ้าดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลควบคู่ไปกับการขยายตัวของภาคส่งออกถึงสมควรยินดีปรีดา
แต่สัปดาห์นี้มีรายงานข่าวว่า การส่งออกของไทยหดตัวติดต่อกันมา 6 ไตรมาสแล้ว [6]
ที่จริงแล้วงานวิจัยพบว่าเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดุลบัญชีเงินสะพัดจะลดลงและอาจติดลบ
เพราะการนำเข้าขยายตัวพร้อมๆ กับการส่งออก มีทั้งการนำเข้าสินค้าทุน (เช่น เครื่องจักร)
และวัตถุดิบเพื่อลงทุน และการนำเข้าสินค้าและบริการเพื่อบริโภค ยิ่งขยายตัวนานๆ ดุลบัญชีเดินสะพัดยิ่งลดลง ถ้าลดลงจนดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบนิดหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล
แต่ถ้าติดลบเกิน 5% ของผลผลิตประชาชาติติดต่อกันหลายไตรมาส ก็อาจเป็นสัญญาณว่าการลงทุนมากเพราะสถาบันการเงินปล่อยกู้ง่ายเกินไป
และอาจทำให้มีวิกฤตการเงินในอนาคต
จ) ปลัดคลังอ้างอิง “สถาบันจัดอันดับระดับโลกคือ ฟิชท์ เรตติ้ง
และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส”
สถาบันเหล่านี้จัดอันดับการลงทุนในตราสารหนี้
เป็นอันดับความน่าเชื่อถือของ “ผู้กู้เงิน” กล่าวคือ สถาบันการเงินต่างๆ ที่กู้เงิน
บริษัทต่างๆ ที่กู้เงิน และรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่กู้เงิน [7] [8] ไม่ใช่การจัดอันดับความน่าลงทุนแบบ “ลงทุนตรง”
อย่าสับสนระหว่างความน่าลงทุนด้วยการปล่อยกู้ด้วยการซื้อตราสารหนี้ไทย และความน่าลงทุนด้วยการร่วมทุนผลิตสินค้าและบริการในประเทศไทย
ความน่าลงทุน 2 แบบนี้แตกต่างกัน แบบหลังมีความเสี่ยงสูงกว่าแบบแรกมาก
อันดับเรตติ้งพันธบัตรรัฐบาลไทยอยู่ในขั้นดีเพราะรัฐบาลยังมีความสามารถในการใช้หนี้สูง
เนื่องจากหนี้สาธารณะยังไม่สูงมากและกระทรวงการคลังมีทรัพย์สินที่นำมาขายใช้หนี้ได้
ถ้าเก็บภาษีไม่พอใช้หนี้ เช่น หุ้นการบินไทย หุ้นธนาคารทหารไทย หุ้นปตท. ฯลฯ
ส่วนอันดับเรตติ้งสถาบันการเงินไทยและบริษัทไทยหลายแห่งอยู่ในขั้นดีด้วยเหตุผลคล้ายกัน
คือมีความสามารถในการใช้หนี้สูง เนื่องจากมีทรัพย์สินมาก (เช่น ปริมาณเงินฝากในสถาบันการเงิน กรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ)
ไทยน่าลงทุนระยะยาวเพื่อ “การผลิต” แค่ไหน ก็วัดกันได้จากตัวเลขการ “ลงทุนตรง”
อย่างที่เสนอไปแล้วข้างต้น เพราะการลงทุนตรงไม่ใช่การลงทุนระยะสั้นที่ถอนทุนกันรวดเร็วแบบการลงทุนในตลาดตราสารหนี้หรือตลาดหลักทรัพย์
ภาวะ “ทุนตรงไทยไหลออก และทุนตรงจากนอกทรุดตัว” ก็บ่งบอกแล้วว่าภาคการผลิตในไทยไม่น่าลงทุนในสายตาบริษัทข้ามชาติทั้งไทยและเทศ
ก็ย่อมมีผลเชิงลบต่อตลาดแรงงาน
ปลัดคลังสรุปว่า
“เศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมไม่มีปัญหา” พร้อมกับเสนอ “เห็บสยามโมเดล”
เห็บเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยสิ่งมีชิวิตอื่นเพื่อการอยู่รอด เช่น สุนัข ดังนั้นวาทกรรม
“เห็บสยาม” สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านศักยภาพการผลิตเพื่อเติบโต
ที่จริงความหมายนี้ก็สอดคล้องกับบทความนี้ที่ต้องการชี้ให้เห็นปัญหาของเศรษฐกิจไทย
เมื่อ 25 ปีที่แล้วคนไทยภาคภูมิใจว่าไทยเป็น “เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย” แต่ตอนนี้โดนปลัดคลังดาวน์เกรดฮวบฮาบเป็นเห็บเกาะเพื่อนกินซะแล้ว
!!!
เชิงอรรถ :
[1] คลังชู"เห็บสยามโมเดล" จับมือพันธมิตร ตปท.หนุน ศก. เผยข้อมูลคนไทยยังมีเงินฝากสูง-บริษัทเอกชนกำไรดี http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1470134631
[2] ปลัดคลังผุดโมเดลเศรษฐกิจ ‘เห็บสยามโมเดล’ เกาะไปกับประเทศที่เติบโต
http://www.matichon.co.th/news/234139
[3] Thailand's Unemployment Rate
is a Ridiculously Low 0.6%. Here's Why
[4] สรรพากรกระอักรายได้ทรุด เดือนพ.ค.ต่ำกว่าเป้า 20.8%
[5] Foreign Direct
Investment Collapses.
[6] ธปท.เผยส่งออกครึ่งปี’59 ติดลบ 2.2% คาดทั้งปีติดลบ 2.5%
[7] คำจำกัดความอันดับเครดิต
โดย ฟิชท์ เรตติ้ง
https://www.fitchratings.co.th/th/regulatory/ratings-definitions.html
[8] Moody’s rating system in brief https://www.moodys.com/sites/products/ProductAttachments/Moody's%20Rating%20System.pdf
หมายเหตุ :
อจ. กานดา นาคน้อย แห่งมหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัต กรุณาแนะนำบทความชิ้นนี้ที่เธอตีพิมพ์แบบอีเล็คโทรนิคครั้งแรกบนเพจมายด์ https://www.minds.com/kandainthai เมื่อ 3 สิงหาคม 2559 และยังแจ้งด้วยว่าสัปดาห์หน้าจะมีบทความพิเศษมาให้ไทยอีนิวส์เผยแพร่อีก เราขอขอบคุณอย่างยิ่งไว้ ณ ที่นี้