วันอังคาร, มิถุนายน 24, 2568

หากย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปีก่อน ไม่มีใครคาดคิดว่าอิสราเอลกับอิหร่านจะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตในตะวันออกกลาง เพราะในเวลานั้น ทั้งสองเคยเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันมาก


I’m from Andromeda
12 hours ago
·
หากย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปีก่อน ไม่มีใครคาดคิดว่าอิสราเอลกับอิหร่านจะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตในตะวันออกกลาง เพราะในเวลานั้น ทั้งสองเคยเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันมาก

ความสัมพันธ์นี้ถือกำเนิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี 1945 เมื่อโลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือฝั่งสหรัฐอเมริกาและฝั่งสหภาพโซเวียต ตะวันออกกลางในเวลานั้นกลายเป็นเวทีของการแย่งชิงอิทธิพลอย่างเข้มข้น

ในปี 1948 ชาวยิวซึ่งเคยถูกกดขี่และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุโรป โดยเฉพาะภายใต้ระบอบนาซีของเยอรมนี ได้รับการสนับสนุนจากโลกตะวันตกให้ก่อตั้งรัฐของตนเองขึ้นบนดินแดนปาเลสไตน์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ

แต่การสถาปนาอิสราเอลทำให้ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย และเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งกับโลกอาหรับที่ยังไม่จบสิ้นจนทุกวันนี้

ขณะเดียวกัน อิหร่านในช่วงทศวรรษ 1950 ถึง 1970 อยู่ภายใต้การนำของชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ฝักใฝ่ตะวันตก และมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหรัฐอเมริกา

อิหร่านในยุคนั้นไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูกับอิสราเอล กลับกัน ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางการทูต มีเที่ยวบินตรงระหว่างเตหะรานกับเทลอาวีฟ แลกเปลี่ยนข่าวกรองและเทคโนโลยีกันอย่างลับๆ อิหร่านขายน้ำมันให้อิสราเอล ส่วนอิสราเอลส่งความรู้ด้านเกษตรกรรมและอาวุธตอบแทน

หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ดูแลสายสัมพันธ์ลับนี้คือ รูเวน เมอร์ฮาฟ หัวหน้าสถานีมอสสาดประจำกรุงเตหะราน เขาเดินทางร่วมกับเอกอัครราชทูตอิสราเอลไปยังเกาะคิชในอ่าวเปอร์เซียในเดือนมีนาคม 1978

เกาะคิชแห่งนี้เคยเป็นสวรรค์ของชนชั้นสูงอิหร่าน เต็มไปด้วยคาซิโน โรงแรมหรู สนามกอล์ฟ และงานเลี้ยงที่หรูหราสุดโต่ง

แต่สิ่งที่พวกเขาพบในครั้งนั้นไม่ใช่ความเจริญรุ่งเรือง หากแต่เป็นความฟอนเฟะ ความเหินห่างจากประชาชน และร่องรอยของความฟุ่มเฟือยที่ตรงกันข้ามกับชีวิตจริงของประชาชน พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงสะท้อนของความไม่พอใจ เสมือนหม้อความดันที่พร้อมระเบิด

เมอร์ฮาฟ ส่งคำเตือนกลับไปยังอิสราเอล บอกว่าเขาไม่มั่นใจว่า “เพื่อนคนนี้จะยังเป็นมิตรต่อไปได้นาน” เขาเรียกอิหร่านว่าเป็น “ประเทศที่มีระเบิดเวลาซ่อนอยู่” คำพูดนี้ฟังดูน่ากลัวในตอนนั้น และยิ่งดูแม่นยำขึ้นทุกวันเมื่อมองย้อนกลับจากวันนี้

ไม่นานนัก คำเตือนของเขาก็กลายเป็นจริง

ในต้นปี 1979 อิหร่านเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ ประชาชนลุกฮือโค่นล้มราชวงศ์ปาห์ลาวี ชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางความโกรธแค้นที่ปะทุจากความเหลื่อมล้ำและอิทธิพลของตะวันตก

อายาตอลเลาะห์ รูฮอลลอฮ์ โคไมนี ผู้นำศาสนาแบบอนุรักษนิยมสุดโต่ง เดินทางกลับจากฝรั่งเศส เข้ายึดอำนาจ และสถาปนาอิหร่านขึ้นใหม่เป็น “สาธารณรัฐอิสลาม” อย่างเต็มรูปแบบ

สิ่งแรกที่โคไมนีทำคือประกาศตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอลโดยสิ้นเชิง เขาประณามอิสราเอลว่าเป็น “เนื้องอกของตะวันออกกลางที่ต้องถูกกำจัด” และวางรากฐานของอุดมการณ์ต่อต้านไซออนิสต์อย่างชัดเจน โดยกล่าวหาว่าไซออนิสม์ไม่ใช่เพียงการครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ แต่เป็นการแทรกแซงอธิปไตยและวัฒนธรรมของมุสลิมทั่วโลก

ความเชื่อนี้กลายเป็นหัวใจของรัฐใหม่ที่โคไมนีสร้างขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของ “การปฏิวัติอิสลาม” ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายแค่เปลี่ยนแปลงอิหร่านเท่านั้น แต่ต้องการจุดชนวนให้โลกมุสลิมทั้งภูมิภาคลุกขึ้นมาต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตกและอิสราเอลไปพร้อมกัน

จากนั้น เขาสั่งขับไล่เจ้าหน้าที่ทูตอิสราเอลทั้งหมด และยึดสถานทูตในกรุงเตหะราน ความตกใจแผ่ซ่านไปทั่วสายข่าวกรองต่างชาติ หลายคนต้องหลบหนีออกจากอิหร่านแทบจะในชั่วข้ามคืนเพื่อรักษาชีวิต

และเพียงไม่กี่เดือนต่อมา รัฐบาลใหม่ของโคไมนีได้แสดงท่าทีอย่างไม่ไว้หน้าสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุการณ์ที่สะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างถาวร นั่นคือการที่กลุ่มนักศึกษาแนวร่วมการปฏิวัติ บุกยึดสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเตหะรานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1979 และจับเจ้าหน้าที่สถานทูตไว้เป็นตัวประกันนานถึง 444 วัน

ภาพชาวอเมริกันถูกปิดตาและล่ามมือกลายเป็นสัญลักษณ์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคแห่งความไม่แน่นอน ซึ่งไม่ใช่แค่ความขัดแย้งเชิงการเมือง แต่ลึกลงไปถึงรากอุดมการณ์และศาสนา

เพราะแม้โลกอาหรับโดยรวมจะไม่ยอมรับอิสราเอล แต่ก็ใช่ว่าทุกประเทศจะยืนอยู่เคียงข้างอิหร่านโดยไร้ข้อแม้ ความแตกแยกระหว่างนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอิหร่าน กับนิกายซุนนีซึ่งเป็นเสียงหลักของโลกอาหรับ ยังคงเป็นรอยร้าวที่ซ่อนอยู่

ความแตกต่างนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเทววิทยา หากยังหมายถึงรูปแบบการปกครอง การตีความกฎหมายอิสลาม และบทบาทของศาสนาในชีวิตประจำวัน ความตึงเครียดระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านจึงไม่ใช่แค่เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังเป็นการช่วงชิงความชอบธรรมในการเป็นผู้นำโลกมุสลิม

จากมิตรภาพที่เคยแนบแน่น ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นศัตรูที่ร้าวลึก และความขัดแย้งก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ นับแต่นั้น อิหร่านภายใต้การนำของโคไมนีได้ให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านอิสราเอลอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นฮิซบุลลอห์ในเลบานอน หรือฮามาสในฉนวนกาซา พร้อมปลูกฝังความเกลียดชังต่ออิสราเอลในทุกระดับ ตั้งแต่สื่อรัฐไปจนถึงหลักสูตรการศึกษา

ในกรุงเตหะรานเต็มไปด้วยเสียงตะโกน “มรณะแด่อิสราเอล” และ “มรณะแด่อเมริกา” ดังก้องจากค่ายฝึกเยาวชนของกลุ่มบาซิจ ซึ่งอยู่ในเครือของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม สโลแกนเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ในปากของนักเคลื่อนไหว แต่ยังปรากฏบนกำแพงตามถนน ตามมัสยิด และถูกสอนในโรงเรียนจนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ

อิหร่านเริ่มสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธอย่างฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน มีส่วนพัวพันกับเหตุระเบิดในอาร์เจนตินา และคอยท้าทายอิสราเอลในทุกเวที

ระหว่างนั้น อิสราเอลก็จับตาดูพฤติกรรมของผู้นำอิหร่านคนใหม่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจาดขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2005 และประกาศต่อหน้าชาวโลกว่า “อิสราเอลควรถูกลบออกจากแผนที่” พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สองเป็น “เรื่องหลอกลวง” ซึ่งทำให้ชาวอิสราเอลและชาวยิวทั่วโลกเจ็บปวดอย่างลึกที่สุด

ความไม่ไว้วางใจทวีคูณขึ้นอีกเมื่ออิหร่านกลับมาเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง อิสราเอลเริ่มหวาดระแวงว่าอิหร่านไม่ได้แค่ต้องการเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อพลังงาน แต่เพื่ออาวุธด้วย

เมอร์ฮาฟ เคยกล่าวไว้ว่าเขา “มอบอิหร่านให้กับผู้สืบทอดพร้อมกับฟิวส์ระเบิด” และในวันนี้ ฟิวส์นั้นอาจไม่ใช่แค่กำลังจะระเบิด แต่ได้ปะทุขึ้นแล้วจริง ๆ

หนึ่งปีหลังการปฏิวัติ อิหร่านต้องเผชิญกับสงครามครั้งใหญ่เมื่ออิรักภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซน เปิดฉากโจมตีอิหร่านในปี 1980 ด้วยเหตุผลที่ผสมผสานระหว่างความกลัวทางการเมืองและความทะเยอทะยานทางภูมิรัฐศาสตร์

เพราะว่าหลังการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ซัดดัมมองว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของอยาตอลเลาะห์ โคไมนี เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของตน เนื่องจากโคไมนีประกาศจะส่งออกการปฏิวัติอิสลามไปยังประเทศมุสลิมอื่นๆ โดยเฉพาะในหมู่ชนกลุ่มชีอะห์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของระบอบซุนนีอย่างอิรัก

นอกจากนี้ ซัดดัมยังเล็งเห็นโอกาสทองในการโจมตีอิหร่านที่เพิ่งผ่านความปั่นป่วนทางการเมืองและยังไม่มีความพร้อมทางทหาร เพื่อยึดพื้นที่ชายแดนที่เป็นข้อพิพาทมานาน โดยเฉพาะแถบชัตต์อัลอาหรับ ซึ่งเป็นทางออกสู่อ่าวเปอร์เซียที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและการส่งออกน้ำมันของทั้งสองประเทศ

สงครามครั้งนั้นกินเวลายาวนานถึงแปดปี และคร่าชีวิตประชาชนอิหร่านไปกว่าหนึ่งล้านคน

ในขณะที่อิหร่านอยู่ในสถานะศัตรูของสหรัฐและอิสราเอล กลับเกิดเหตุการณ์ย้อนแย้งอย่างน่าตกใจขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เมื่อมีการเปิดโปงว่าอเมริกาและอิสราเอลลักลอบขายอาวุธให้อิหร่านอย่างลับๆ เพื่อนำเงินไปสนับสนุนกลุ่มกบฏฝ่ายขวาในนิการากัว เรื่องนี้ถูกเรียกว่าคดี Iran–Contra ซึ่งกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับโลกในรัฐบาลเรแกน

ในทางหนึ่ง มันสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ประเทศที่ประกาศเป็นศัตรูกันในที่แจ้ง ก็ยังมีข้อตกลงลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความขัดแย้ง ความจริงคือในโลกการทูต ไม่มีคำว่าเพื่อนแท้หรือศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

เมื่อสงครามอิหร่าน–อิรักสิ้นสุดในปี 1988 อิหร่านตระหนักว่าตนไม่สามารถยืนอยู่ลำพังได้อีก จึงหันไปสร้างเครือข่ายพันธมิตรทั่วตะวันออกกลาง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าอย่างโดดเดี่ยวในอนาคต

นับแต่นั้น อิหร่านจึงใช้ยุทธศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า “สงครามตัวแทน” แทนการเผชิญหน้าตรง ๆ โดยเลือกสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่สามารถทำหน้าที่โจมตีอิสราเอลแทนตนเอง

ฮิซบุลลอห์ในเลบานอนได้รับเงิน อาวุธ และการฝึกจากอิหร่าน และกลายเป็นกลุ่มชีอะห์ติดอาวุธที่ทรงอิทธิพลที่สุดในภูมิภาค ส่วนฮามาส แม้จะเป็นกลุ่มซุนนี แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านอย่างต่อเนื่อง อิหร่านยังส่งกองกำลังไปซีเรีย เพื่อช่วยรัฐบาลบาชาร์ อัล–อัสซาดและสร้างแนวรบเชื่อมโยงจากเตหะรานถึงชายแดนอิสราเอลโดยตรง

อิสราเอลตอบโต้ด้วยการใช้กองทัพอากาศโจมตีเป้าหมายของอิหร่านในซีเรียหลายพันครั้งตั้งแต่ปี 2012 ถึงปัจจุบัน

แม้ไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ภาพถ่ายดาวเทียมและรายงานจากฝ่ายซีเรียยืนยันได้ว่าอิสราเอลไม่เคยปล่อยให้เครือข่ายอิหร่านเติบโตได้โดยไม่มีการขัดขวาง

นอกจากสงครามทางอาวุธ ยังมีสงครามที่มองไม่เห็นเกิดขึ้นพร้อมกัน ในปี 2010 มัลแวร์ชื่อ Stuxnet ถูกปล่อยเข้าไปโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านจนเครื่องหมุนเหวี่ยงเสียหายหลายพันเครื่อง ถือเป็นการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งแรกของโลกที่ส่งผลกระทบทางกายภาพจริง

และในช่วงปี 2010–2020 นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกลอบสังหารหลายราย โดยเฉพาะโมห์เซน ฟัครีซาเดห์ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งโครงการนิวเคลียร์เชิงทหาร” และแม้ไม่มีหลักฐานเปิดเผยตรงว่าเป็นฝีมือใคร แต่อิหร่านระบุชัดว่าอิสราเอลอยู่เบื้องหลัง

สหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรของอิสราเอลมาโดยตลอด เพราะอิสราเอลเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในตะวันออกกลาง มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีชุมชนชาวยิวและกลุ่มศาสนาในสหรัฐสนับสนุนอย่างแข็งขัน รวมถึงทั้งสองประเทศมีศัตรูร่วมกัน และอิสราเอลยังมีเทคโนโลยีทหารและข่าวกรองที่ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับสหรัฐ

สหรัฐอเมริกากลายเป็นศัตรูของอิหร่านอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่การปฏิวัติปี 1979 เมื่อสถานทูตอเมริกันในเตหะรานถูกยึด และเจ้าหน้าที่ถูกจับเป็นตัวประกันนานถึง 444 วัน หลังเหตุการณ์นั้น สหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักของอิสราเอลทั้งในด้านการเงิน อาวุธ และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เช่นระบบ Iron Dome

แม้ในปี 2015 อิหร่านจะลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์ JCPOA กับชาติมหาอำนาจ โดยยอมลดระดับการผลิตยูเรเนียม แลกกับการลดคว่ำบาตร แต่ในปี 2018 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลง ภายใต้แรงกดดันจากผู้นำอิสราเอล และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐยิ่งเลวร้ายลงในทุกด้าน

จนถึงวันนี้ ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลไม่เคยมีแววยุติ มันไม่ใช่สงครามเพื่อแย่งดินแดนหรือทรัพยากร แต่คือสงครามของอุดมการณ์ ความเชื่อ และการไม่ยอมรับการมีอยู่ของกันและกัน ฝ่ายหนึ่งมองว่าอีกฝ่ายคือผู้รุกราน ฝ่ายหนึ่งมองว่าอีกฝ่ายคือภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของชาติ

ไม่มีใครรู้ว่าสันติภาพจะมาเมื่อไร แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานที่สุดในสงครามนี้ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ผู้นำ แต่คือคนธรรมดา เด็กๆ ในกาซา เด็กๆ ในเตหะราน และเด็กๆ ในเทลอาวีฟที่ฝันอยากเรียน อยากเติบโต และอยากมีชีวิตที่ปลอดภัย พวกเขาสมควรได้รับโอกาสนั้น ไม่ใช่แค่เสียงระเบิดที่บังคับให้พวกเขาเติบโตภายใต้คำสั่งของสงคราม

ทุกวันนี้เสียงระเบิดดังขึ้นแทนคำโต้แย้ง ความเกลียดชังขยายวงกว้างแทนความเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ใครชนะ แต่ทำให้ทุกอย่างพังทลายลงอย่างช้าๆ

สงครามไม่เคยสร้างความสงบ แต่ทำลายอนาคตของคนรุ่นหลัง “ความรุนแรงขจัดความรุนแรงไม่ได้ มันเพียงแต่เพิ่มความรุนแรงขึ้นอีกเท่านั้น” มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

References
https://www.britannica.com/event/Israel-Iran-conflict
https://www.britannica.com/.../Iranian-Revolution/Aftermath
https://www.britannica.com/event/Iranian-Revolution
https://www.britannica.com/event/Iran-hostage-crisis
https://www.britannica.com/event/Iran-Iraq-War
https://www.britannica.com/.../overview-Iranian.../-274639
https://www.history.com/.../middle-east/iran-hostage-crisis
https://foreignpolicy.com
https://www.britannica.com/place/Iran/Iran-Iraq-War
https://www.reuters.com/.../us-iran-nuclear-israel-cyber...
https://www.nytimes.com/.../iran-nuclear-scientist-killed...
https://carnegieendowment.org/.../iran-s-proxy-war...


https://www.facebook.com/photo?fbid=1303263731158004&set=a.212594176891637