วันเสาร์, มีนาคม 01, 2568

บีบีซีได้แฟ้มข้อมูลที่เรียกกันว่า "แฟ้มตำรวจซินเจียง" (Xinjiang Police Files) มาตั้งแต่ปี 2022 แฟ้มนี้ได้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการกักขังชาวอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเติร์ก



อุยกูร์ : แฟ้มลับตำรวจซินเจียงเผยตัวตนและเรื่องราวชาวอุยกูร์ที่ถูกคุมขังในซินเจียง

โดย จอห์น ซัดเวิร์ธ
บีบีซีนิวส์
25 พฤษภาคม 2022

จากข้อมูลมหาศาลที่ถูกแฮ็กออกมาจากเซิร์ฟเวอร์ตำรวจในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน มีทั้งรูปหลายพันรูปจากระบบค่ายกักขังขนาดใหญ่ที่ถูกปกปิดเป็นความลับ และเอกสารที่ระบุนโยบายสั่งยิงใครก็ตามที่พยายามหนีออกมาไม่ให้มีชีวิตรอด

บีบีซีได้แฟ้มข้อมูลที่ขณะนี้เรียกกันว่า "แฟ้มตำรวจซินเจียง" (Xinjiang Police Files) มาในปีนี้ และหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการสืบค้นและยืนยันข้อมูล แฟ้มนี้ได้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการกักขังชาวอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเติร์ก

การเผยแพร่รายงานนี้มีขึ้นในจังหวะเดียวกับที่มิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เดินทางไปถึงจีนเมื่อไม่นานมานี้ โดยผู้วิพากษ์วิจารณ์หลายคนกังวลว่าแผนการเดินทางของเธอจะถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดโดยรัฐบาลจีน

แฟ้มข้อมูลนี้เปิดเผยสิ่งต่าง ๆ ในเชิงลึกมากกว่าที่เคยมีมา "ค่ายปรับทัศนคติ" และเรือนจำของจีนถูกใช้แยกกันแต่ก็เป็นระบบที่เชื่อมโยงกันในการกักขังชาวอุยกูร์ ซึ่งนำไปสู่ความเคลือบแคลงสงสัยอย่างยิ่งต่อสิ่งที่รัฐบาลจีนเปิดเผยต่อสาธารณะ

รัฐบาลอ้างว่า "ค่ายอบรมให้การศึกษาใหม่" (re-education camps) ที่สร้างขึ้นทั่วซินเจียง ตั้งแต่ปี 2017 ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า "โรงเรียน" แต่นี่เป็นเรื่องตรงกันข้ามจากที่เห็นในคำสั่งตำรวจ เวรรักษาความปลอดภัย และรูปถ่ายของผู้ถูกคุมขังที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน

นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้อหาก่อการร้ายอย่างแพร่หลายทำให้คนหลายพันคนถูกส่งเข้าเรือนจำ แฟ้มข้อมูลนี้เผยให้เห็นว่ามันถูกใช้เป็นวิธีการคู่ขนานไปกับค่ายกักกันผู้คน โดยตำรวจตั้งข้อหารุนแรงและใช้อำนาจตามอำเภอใจ

ข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาชุดหนึ่งเกี่ยวกับนโยบายที่มุ่งเป้าไปที่การแสดงออกถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ หรือการนับถือศาสนาอิสลาม และมีการบัญชาการไล่ลงมาเป็นทอด ๆ จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน


ในแฟ้มข้อมูลที่ถูกแฮ็กออกมามีรูปชาวอุยกูร์มากกว่า 5,000 รูป ที่ถ่ายช่วงเดือน ม.ค. ถึง ก.ค. ปี 2018

หลังจากใช้ข้อมูลอื่นประกอบ เราพบว่ามีอย่างน้อย 2,884 คนที่ถูกกักขัง

และสำหรับคนที่ถูกระบุว่าอยู่ในค่ายอบรมเพื่อให้การศึกษาใหม่ มีสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้เป็น "นักเรียน" ที่เต็มใจเข้ารับการอบรมในค่ายอย่างที่ทางการจีนอ้างมานาน

รูปจากค่ายอบรมให้การศึกษาใหม่บางรูป มีภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนถือกระบองอยู่ข้าง ๆ ติดมาด้วย อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ทางการระดับสูงของจีนปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด

"ความจริงคือศูนย์การศึกษาและการฝึกในซินเจียงเป็นโรงเรียนที่ช่วยให้ผู้คนเป็นอิสระจากแนวคิดที่สุดโต่ง" หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน ระบุเมื่อปี 2019

หลายคนถูกกักขังเพียงเพราะแสดงออกว่านับถือศาสนาอิสลาม หรือเพราะเดินทางไปประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม


ทาจิกุล ทาฮีร์ อายุ 60 ปี ถูกกักขังเพื่อเข้ารับการศึกษาใหม่ เมื่อเดือน ต.ค. ปี 2017 หลังถูกกล่าวหาว่า "สอนศาสนาโดยผิดกฎหมาย"

นอกจากมีการข่มขู่ใช้กำลังให้เห็นในเบื้องหลัง รูปของผู้หญิงคนนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีการตีตราว่าคนคนหนึ่งมีความผิดเพียงเพราะมีความเชื่อมโยงกับคนอื่น (guilt by association) อย่างแพร่หลาย

เอกสารในแฟ้มข้อมูลนี้ระบุว่าลูกชายของ ทาจิกุล ทาฮีร์ (Tajigul Tahir) "มีความเชื่อทางศาสนาอย่างรุนแรง" เพียงเพราะเขาไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ นี่เป็นผลทำให้เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 10 ปีด้วยข้อหาก่อการร้าย

ตัวเธออยู่ในรายชื่อ "ญาติของผู้ถูกคุมขัง" โดยถือเป็นหนึ่งในคนหลายพันคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเพราะ "อาชญากรรม" ของสมาชิกในครอบครัว


รูปนี้ประกอบไปด้วยรูปผู้ถูกคุมขัง 2,884 คน

รูปเหล่านี้เป็นภาพบันทึกเกี่ยวกับสมาชิกในสังคมชาวอุยกูร์ที่ถูกรวบตัวส่งไปอยู่ในค่ายกักกันและเรือนจำ

ราไฟล์ โอเมอร์ (Raphile Omer) อายุแค่ 15 ปี ขณะที่ถูกคุมขัง


ผู้ที่มีอายุมากที่สุดคือ แอนิฮาน ฮามิต (Anihan Hamit) ซึ่งในขณะที่ถูกคุมขัง มีอายุ 73 ปี


ใน "แฟ้มตำรวจซินเจียง" (Xinjiang Police Files) - ชื่อที่สมาคมผู้สื่อข่าวนานาชาติซึ่งบีบีซีเป็นสมาชิกกำหนดขึ้น - มีทั้งรูปและเอกสารนับหมื่นชิ้น

ในจำนวนนั้น มีคำพูดของเจ้าหน้าที่ทางการอาวุโสที่ถูกเก็บเป็นความลับ คู่มือภายในองค์กรตำรวจ ข้อมูลเรื่องบุคลากร รายละเอียดการกักขังชาวอุยกูร์มากกว่า 20,000 คน และรูปภาพจากสถานที่ที่มีความอ่อนไหวมาก


ภาพจากภายใน "ค่ายปรับทัศนคติ"

ผู้ที่นำของแฟ้มข้อมูลนี้มาเผยแพร่อ้างว่าได้ทำการแฮ็ก ดาวน์โหลด และถอดรหัส จากเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ตำรวจหลายแห่งในเขตปกครองตนเองซินเจียง ก่อนที่จะส่งต่อข้อมูลมาให้ ดร.เอเดรียน เซนซ์ นักวิชาการจากมูลนิธิรำลึกเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากลัทธิคอมมิวนิสต์ (Victims of Communism Memorial Foundation) เขาเป็นบุคคลต้องห้ามของรัฐบาลจีนเพราะทำงานวิจัยเรื่องเขตปกครองตนเองซินเจียง

ดร.เซนซ์ ได้ส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับบีบีซี แม้ว่าบีบีซีสามารถติดต่อผู้ที่นำแฟ้มข้อมูลนี้มาเผยแพร่ได้โดยตรง แต่เขาไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนและที่อยู่

ไม่มีเอกสารที่ถูกแฮ็กออกมาชิ้นไหนที่ลงวันที่หลังปี 2018 โดยเป็นไปได้ว่าเป็นผลจากคำสั่งที่ออกมาในช่วงต้นปี 2019 กำหนดให้ปรับมาตรฐานการเข้ารหัสข้อมูลเกี่ยวกับเขตปกครองซินเจียงให้รัดกุมขึ้น นั่นอาจทำให้แฮ็กเกอร์รายนี้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ใหม่กว่านั้นได้

ดร.เซนซ์ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ "แฟ้มตำรวจซินเจียง" ซึ่งผ่านการตรวจทานโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่นแล้ว ตีพิมพ์ในวารสารแห่งสมาคมยุโรปเพื่อจีนศึกษา (Journal of the European Association for Chinese Studies) และได้เผยแพร่ภาพผู้ถูกคุมขังทั้งหมดรวมถึงหลักฐานบางส่วนทางโลกออนไลน์

"เนื้อหาไม่ได้ถูกตัดออก มันทั้งดิบ ไม่มีการลดทอน และประกอบไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง เรามีทุกอย่าง" นักวิชาการคนนี้บอกกับบีบีซี

"เรามีเอกสารลับ คำพูดของผู้นำคนต่าง ๆ ที่พูดอย่างเปิดเผยว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาคิดยังไง เรามีตารางต่าง ๆ เรามีรูปภาพ ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน และมันได้ทำลายความพยายามโฆษณาชวนเชื่อของจีน"

นอกจากรูปภาพของผู้ถูกคุมขังแล้ว แฟ้มตำรวจซินเจียงยังมีเอกสารอีกชุดหนึ่งที่เผยให้เห็นว่าค่ายที่จีนพยายามบอกว่าเป็นโรงเรียนฝึกอาชีพเหล่านี้เป็นเหมือนเรือนจำ

คู่มือปฏิบัติของตำรวจระบุถึงการให้เจ้าหน้าที่พกอาวุธในทุกพื้นที่ในค่าย การวางตำแหน่งปืนกลและปืนไรเฟิลบนหอตรวจการ และมีนโยบายสั่งยิงใครก็ตามที่พยายามหนีออกมาไม่ให้รอดชีวิต

ผ้าปิดตา, กุญแจมือ และโซ่ตรวน เป็นข้อบังคับสำหรับ "นักเรียน" ทุกคนที่ถูกย้ายไปศูนย์อื่น หรือแม้กระทั่งไปโรงพยาบาล



หลายทศวรรษมาแล้ว ซินเจียงได้ผ่านวงจรของการเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งแยกดินแดนที่คุกรุ่น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ และความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอย่างเข้มงวดขึ้น

แต่รัฐบาลได้เปลี่ยนนโยบายเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากปี 2013 และ 2014 ที่เกิดเหตุโจมตีสองครั้งซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ที่สัญจรไปมาในกรุงปักกิ่งและเมืองคุนหมิง ซึ่งรัฐบาลโทษว่าเป็นฝีมือของชาวอุยกูร์ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนและชาวมุสลิมหัวรุนแรง

รัฐเริ่มเห็นว่าวัฒนธรรมอุยกูร์เป็นปัญหา และภายในไม่กี่ปี "ค่ายปรับทัศนคติ" ขนาดใหญ่หลายร้อยแห่งเริ่มปรากฏบนภาพถ่ายดาวเทียม โดยชาวอุยกูร์ถูกส่งไปยังสถานที่เหล่านี้โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาคดี



ระบบเรือนจำในซินเจียงเองก็ถูกขยับขยายอย่างกว้างขวาง และถูกใช้เป็นอีกหนทางหนึ่งในการควบคุมอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์ หลังจากถูกนานาชาติวิจารณ์การไร้ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายในค่ายกักกันต่าง ๆ

จากไฟล์ตาราง 452 ชุด เราได้เห็นการใช้แนวทางสองอย่างนี้ร่วมกันอย่างชัดเจน โดยมีการระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัว ของชาวอุยกูร์มากกว่า 2.5 แสนคน โดยบอกว่ามีใครบ้างที่ถูกคุมขัง ในสถานที่ประเภทไหน และด้วยเหตุผลอะไร

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นว่ามีการจับคนเข้าไปคุมขังในค่ายและเรือนจำอย่างไม่หยุดหย่อน มีรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ทางการจีนได้สอดส่องสังคมชาวอุยกูร์อย่างอคติ -โดยใช้ข้อมูลจากเครื่องมือสอดส่องของรัฐเป็นตัวช่วย - และจับกุมและควบคุมตัวผู้คนโดยพลการ

มีตัวอย่างนับไม่ถ้วนของการที่คนถูกลงโทษย้อนหลังจาก "อาชญากรรม" ที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว หรือแม้กระทั่งหลายทศวรรษก่อน อาทิ ชายคนหนึ่งถูกจำคุก 10 ปี ในปี 2017 จากการ "เรียนคัมภีร์ศาสนาอิสลามกับย่าของเขา" เพียงไม่กี่วันเมื่อปี 2010

คนหลายร้อยตกเป็นเป้าจากการใช้มือถือ - ส่วนใหญ่แล้วจากการฟัง "การสอนศาสนาที่ผิดกฎหมาย" หรือการติดตั้งแอปพลิเคชันที่ต้องเข้ารหัสในมือถือ

มีคนอื่น ๆ ที่ถูกตัดสินจำคุกนับ 10 ปี โทษฐานที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือสื่อสารมากพอ โดยมีมากกว่าร้อยกรณีที่โดนลงโทษเพราะ "เงินในมือถือหมด" ซึ่งทางการบอกว่าเป็นสัญญาณว่าผู้ใช้พยายามหลบหลีกการสอดส่องของรัฐ

ไฟล์ตารางระบุข้อมูลว่ามีการสืบค้นเรื่องราวชีวิตของผู้คนเหล่านี้อย่างละเอียดเพื่อหาข้ออ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งถูกนำไปเปลี่ยนเป็นข้อหาที่นิยามไว้อย่างกว้างที่สุด อาทิ "หาเรื่องทะเลาะวิวาท" หรือ "รบกวนความสงบสุขในสังคม" และจากนั้นก็ถูกลงโทษด้วยข้อหาร้ายแรงอย่างการก่อการร้าย ต้องถูกคุมขัง 7 ปี 10 ปี 25 ปี ฯลฯ

ในไฟล์ตาราง มีการระบุว่า เทอร์ซัน คาดีร์ (Tursun Kadir) สอนและศึกษาคัมภีร์ศาสนาอิสลามในช่วงทศวรรษ 80 และไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขามีความผิดฐาน "ไว้เคราโดยได้อิทธิพลมาความคิดสุดโต่งทางศาสนา"

ชายวัย 58 ปี ผู้นี้ถูกสั่งจำคุก 16 ปี 11 เดือน รูปจากแฟ้มเอกสารเป็นภาพเขาช่วงก่อนและหลังที่รัฐจีนจะพิจารณาว่าการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ความเป็นอุยกูร์เป็นเรื่องผิดกฎหมาย


เทอร์ซัน คาดีร์ มีความผิดฐาน "ไว้เคราโดยได้อิทธิพลมาความคิดสุดโต่งทางศาสนา"

ชายวัย 58 ปี ผู้นี้ถูกสั่งจำคุก 16 ปี 11 เดือน

รูปจากแฟ้มเอกสารเป็นภาพเขาช่วงก่อนและหลังที่รัฐจีนจะพิจารณาว่าการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ความเป็นอุยกูร์เป็นเรื่องผิดกฎหมาย


แฟ้มตำรวจซินเจียงแสดงให้เห็นว่าการสอดส่องตรวจตราไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนที่อยู่ในค่ายกักกันและเรือนจำเท่านั้น

แต่รูปถ่ายแสดงให้เห็นว่าชาวอุยกูร์ที่ยังอาศัยอยู่ที่บ้านอีกจำนวนมากถูกเรียกตัวมาถ่ายรูป โดยมีทั้งคนสูงอายุไล่ไปจนถึงเด็ก ๆ

พวกเขาถูกเรียกมาที่สถานีตำรวจอย่างไม่เป็นเวลา บางรายถูกเรียกมากลางดึก

ระบบการตั้งชื่อไฟล์ที่ใช้เหมือนกับรูปที่ถ่ายในค่ายกักกันและเรือนจำ ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ว่าข้อมูลถูกนำไปใช้สำหรับเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่ทางการจีนกำลังติดตั้งอยู่ในขณะนั้น

เราไม่อาจทราบได้จากหน้าตาของพวกเขาว่าพวกเขารู้ว่ามีค่ายกักกันที่เขาหลายพันคนหายเข้าไปหรือไม่ แต่ไฟล์ตารางที่มีทำให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเสี่ยงต้องเผชิญกับอันตรายเช่นกัน

5 เดือนหลังจากตำรวจถ่ายรูปพวกเขาในปี 2018 คู่สามี-ภรรยา เทอร์ซัน เมเม็ตทิมิน (Tursun Memetimin) และ อาชิกุล เทอร์กัน (Ashigul Turghun) ถูกส่งไปศูนย์กักตัวหลังถูกกล่าวหาว่า "ฟังเทปบันทึกการสอนที่ผิดกฎหมาย" จากโทรศัพท์มือถือของคนคนหนึ่งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว


คู่สามี-ภรรยา เทอร์ซัน เมเม็ตทิมิน และ อาชิกุล เทอร์กัน ถูกควบคุมตัวในปี 2018


ลูกสาวสองคนของพวกเขา รูซิกุล (Ruzigul) อายุ 10 ขวบ และ ไอเช็ม (Ayshem) ซึ่งตอนนั้นอายุ 6 ขวบ

รูปของลูกสาวสองคนจากทั้งหมดสามคนของพวกเขาก็อยู่ในแฟ้มที่ถูกแฮ็กออกมาด้วย ตอนที่พ่อแม่หายตัวไปรูซิกุล (Ruzigul) อายุ 10 ขวบ ขณะที่ อายเช็ม (Ayshem) อายุ 6 ขวบ

ไฟล์ตารางนี้ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนักเกี่ยวกับตัวลูก ๆ ของผู้ที่ถูกนำตัวไปคุมขัง

มีความเป็นไปได้ว่ามีเด็กจำนวนมากที่ถูกนำตัวไปอยู่ในระบบโรงเรียนประจำของรัฐเป็นการถาวร โดยดังกล่าวสร้างขึ้นทั่วซินเจียงในช่วงเดียวกับที่มีการสร้างค่ายกักกัน

ชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศบอกกับบีบีซีว่า ผมที่ตัดสั้นของเด็กในรูปเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหลายคนถูกบังคับให้เข้าเรียน ในโรงเรียนเหล่านั้นอย่างน้อย ๆ ก็ในช่วงวันธรรมดาแม้ว่าเด็ก ๆ จะยังอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ หรือแค่พ่อหรือแม่คนเดียวก็ตาม

รูปภาพเหล่านี้เผยให้เห็นนโยบายที่ตั้งใจมุ่งเป้าไปยังครอบครัวชาวอุยกูร์ในฐานะที่เป็นแหล่งสะสมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมชาวอุยกูร์ และ "ทำลายรากฐาน วงศ์ตระกูล ความสัมพันธ์ และที่มา ของพวกเขา"


นอกจากจะเผยให้เห็นระบบการหน่วงเหนี่ยวกักขังของจีนอย่างชัดเจนมากกว่าที่เคยมีมาก่อนแล้ว แฟ้มตำรวจซินเจียง ยังบ่งชี้ถึงขอบเขตของการกระทำดังกล่าว

เอกสารส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตปกครองทางตอนใต้ของซินเจียง ซึ่งรู้จักในชื่อ Konasheher ในภาษาอุยกูร์ หรือชู่ฟู ในภาษาจีน



การวิเคราะห์ข้อมูลของ ดร.เซ็นซ์ ชี้ว่าในช่วงปี 2017-2018 เฉพาะในเขตปกครองนี้แห่งเดียว ชาวบ้าน จำนวนรวมทั้งสิ้น 22,762 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 12% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ หากไม่อยู่ในค่ายก็อยู่ในคุก

และหากนำไปคำนวณเพื่อดูสถานการณ์ที่เกิดกับเขตปกครองซินเจียงโดยรวม ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการคุมขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาวเติร์กในวัยผู้ใหญ่ มากกว่า 1.2 ล้านคน ตัวเลขนี้อยู่ในข่ายเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องของชาวอุยกูร์ประเมินไว้ และเป็นตัวเลขที่ทางการจีนมักไม่ยอมรับ

จากการทำงานร่วมกับองค์กรข่าว 14 แห่ง จาก 11 ประเทศ บีบีซีพิสูจน์ได้ว่าแฟ้มตำรวจซินเจียงนี้มีความสลักสำคัญเพียงใด

ชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในยุโรปและสหรัฐฯ ถูกขอให้ส่งรายชื่อและหมายเลขประจำตัวของญาติที่หายตัวไปในภูมิภาคซินเจียง ซึ่งหลายรายมีชื่อตรงกับในเอกสารข้อมูลที่พบ สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง

บีบีซียังขอให้ ศ.ฮานี ฟาริด ผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์หลักฐานจากภาพ แห่งมหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ แคลิฟอร์เนีย ตรวจพิสูจน์ภาพของชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งที่ถูกคุมขัง ซึ่งเขาไม่พบว่ามีการปลอมแปลง หรือตกแต่งใด ๆ เกิดขึ้น อย่างที่พบในการใช้เทคโนโลยีตัดต่อภาพปลอม


ขอบภาพบางภาพอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ๋

อย่างไรก็ดี มีบางภาพที่ขอบอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดจากการทำสำเนาและขยับไปมาเล็กน้อย สิ่งนี้สามารถอธิบายโดยให้น้ำหนักไปที่ความคิดที่ว่าภาพเหล่านั้นได้มาจากเครือข่ายเฝ้าระวังอันมีขอบข่ายมหาศาลชองจีนในซินเจียง

ศ.ฟาริด เชื่อว่าภาพที่ไม่สมบูรณ์ น่าจะเกิดจากกระบวนการปกติของการใช้ฐานข้อมูลระบบจดจำใบหน้า ซึ่งในกรณีภาพบุคคล มักจะมีการเลื่อนส่วนของดวงตาให้ตรงกับแนวนอน

นอกจากนี้ยังมีการตรวจพิสูจน์เพิ่มเติมด้วยการจัดเรียงภาพให้ตรงกับเวลาที่ประทับบนภาพ รวมทั้งตรวจสอบรายละเอียดอื่น ๆ ในภาพ ซึ่งก็พบว่าเป็นภาพที่ถ่ายตามเวลาที่เกิดขึ้นจริงและในสถานที่จริง

หลังจากสอบถามไปยังรัฐบาลจีนเกี่ยวกับแฟ้มที่ถูกแฮคนี้ สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดีซี ตอบกลับว่า

"ประเด็นใด ๆ เกี่ยวกับซินเจียงล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการก่อการร้าย ความคิดสุดโต่งรุนแรงและคตินิยมของการแยกตัวออกไป ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหรือศาสนา"

แถลงการณ์จากสถานทูตยังกล่าวอีกว่า ทางการจีนได้ "ใช้มาตรการที่ช่วยลดทอนความคิดสุดโต่งอย่างมีประสิทธิภาพ เด็ดเดี่ยว และเอาจริงเอาจัง"

"ขณะนี้ภูมิภาคดังกล่าวมีความมั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งยังเกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ" แถลงการณ์ยังกล่าวอีกว่าสิ่งเหล่านี้ "คือการตอบโต้อย่างทรงพลังที่สุดต่อคำโกหกและการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับซินเจียง"

แต่สถานทูตไม่ได้ตอบคำถามอื่นใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานที่พบในแฟ้มข้อมูล

แฟ้มตำรวจซินเจียง ยังมีภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงการจัดการกับชาวอุยกูร์เพื่อบังคับให้พวกเขาปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตัวเอง ทำให้ต้องเชื่อฟัง โดยใช้วิธีการเดียวกับที่เอกสารของตำรวจระบุว่าเป็นวิธีที่ใช้ในค่าย แต่ในครั้งนี้เกิดขึ้นในศูนย์กักกัน

นั่นรวมถึงการที่ผู้ถูกคุมขังต้องนั่งยอง ๆ ก้มศีรษะ โดยมีตำรวจหลายนายพร้อมกระบองยืนล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีการกระทำที่ดูคล้ายการอบรม ซึ่งก็มีลักษณะคาบเกี่ยวกันระหว่างคุกกับค่ายอบรม

ผู้ถูกคุมขังนั่งยอง ๆ ก้มศีรษะ มีตำรวจพร้อมกระบองยืนล้อมรอบ

ตัวอักษรที่อยู่ด้านหลังชุดที่ผู้ถูกคุมขังสวมใส่เขียนว่า ศูนย์กักกันเทเกส (Tekes) ทางเหนือของซินเจียง ซึ่งตรงกับภาพถ่ายดาวเทียมที่แสดงให้เห็นบริเวณด้านนอกศูนย์กักกันนี้ในเมืองเทเกส


ผู้ถูกคุมขังถูกนำตัวไปอบรม





แฟ้มข้อมูลที่ถูกแฮคนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลายคน ซึ่งชี้ให้เห็นแนวคิดเบื้องหลังการดำเนินการกับชาวซินเจียง อย่างคำกล่าวซึ่งมีตราประทับว่า "เป็นความลับ" ของนายเฉา เกฉี รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของจีนที่เดินทางไปยังเขตซินเจียงเมื่อเดือน มิ.ย.2018 ที่ว่า เฉพาะในพื้นที่ทางใต้ของซินเจียง มีคนอย่างน้อย 2 ล้านคน ที่ได้รับ "แนวคิดสุดโต่งรุนแรง"

นอกจากนี้รัฐมนตรีคนนี้ยังชื่นชมนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่สนับสนุนเงินทุนก่อสร้างสถานที่คุมขังใหม่ ๆ หลายแห่งเพื่อรองรับผู้คุมขังได้มากถึง 2 ล้านคน

ในแฟ้มข้อมูลยังมีคำกล่าวของายเฉิน ฉวนกั๋ว ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่กล่าวเมื่อปี 2017 ว่า "สำหรับบางคนแล้ว การเข้ารับการศึกษาห้าปีอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ"

"เมื่อไหร่ที่คนเหล่านี้ถูกปล่อยออกไป ปัญหาก็จะกลับมา นี่คือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในซินเจียง" เขากล่าว

รายงานชิ้นนี้จัดทำและรวบรวมข้อมูลในกรุงบรัสเซลส์ กรุงลอนดอน นิวยอร์ก และสวีเดน โดยพนักงานของบีบีซีในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร



อ่านบทความเดิมและชมคลิปที่
https://www.bbc.com/thai/international-61570553