วันจันทร์, มกราคม 01, 2561

เป็นตัวปัญหาเองไม่รู้เรอ... “บิ๊กตู่” หวังปี 61 ลดยากจน ขู่พวกจ่อป่วนถ้าขัดแย้งเลือกตั้งได้หรือเปล่าไม่รู้ ยังไม่มีใครทาบเข้าพรรค



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (แฟ้มภาพ)


“บิ๊กตู่” หวังปี 61 ลดยากจน ขู่พวกจ่อป่วนถ้าขัดแย้งเลือกตั้งได้หรือเปล่าไม่รู้ ยังไม่มีใครทาบเข้าพรรค


31 ธ.ค. 2560
โดย: MGR Online


นายกรัฐมนตรี ไม่รับอวยพรของขวัญปีใหม่ ให้กลับไปดูแลลูกน้อง แย้มตีกอล์ฟใกล้ๆ ไม่ไปต่างจังหวัด หวังลดความยากจน เดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่ไร้ความขัดแย้ง ขู่ถ้ายังมีความขัดแย้งสูงเลือกตั้งได้หรือเปล่าไม่รู้ ไม่ได้เลื่อนแค่ปรามพวกจ่อป่วน แจงคำสั่ง ม.44 แค่ให้มีสมาชิกพรรค 500 คนใน 30 วัน ถามกลัวย้ายพรรคเพราะอุดมการณ์สู้เขาไม่ได้หรือเปล่า ยันไม่ได้รีเซต ถามตั้งพรรคทหารได้หรือ งงทำไมต้องมาคอยระวัง ยันพูดกับทุกพรรคให้ไปหาคนใหม่ที่สังคมยอมรับ ยันยังไม่มีใครมาทาบทาม นายกฯ คนนอกอาจไม่ใช่ตนก็ได้


วันนี้ (31 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า ปีใหม่ปีนี้ได้บอกกับทุกคนว่าไม่ต้องมาอวยพร และมอบของขวัญให้ตน ขอให้ทุกคนกลับไปดูแลและอวยพรลูกน้องและคนที่รักดีกว่า อีกทั้งตนมีพรให้กับเขาเสมอ ส่งการ์ดส่งความปรารถนาดีไปให้ ซึ่งเขาก็ส่งการ์ดอวยพรกลับมาก็พอใจแล้วถือว่าเป็นการระลึกถึงกัน และขอร้องว่าอย่าไปคิดว่าตนไม่ให้ความสำคัญกับเทศกาลสำคัญเช่นนี้ สำหรับตนเทศกาลปีใหม่ถือเป็นประเพณีที่สำคัญ เราก็ส่งใจถึงกันตลอดเวลา มีการส่งการ์ดถึงกัน ตนไม่ต้องการเป็นภาระในช่วงปีนี้เพราะต้องการใช้เวลาเพื่อคิดเรื่องต่างๆ มากมาย

“หลายคนก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมผมไม่รับการอวยพร ผมก็บอกว่าขอเถอะสำหรับปีนี้ ขอให้ท่านไปดูแลคนอื่นๆ ดูแลครอบครัว และผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีที่สุด ของขวัญผมไม่ได้ต้องการ พอแล้ว ของขวัญก็มีดอกไม้ ผลไม้ ขอให้เอาไปให้ผู้ใหญ่ที่ตัวเองนับถือ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ก็ต้องมายืนรออวยพรเป็นแถวผมก็กลายเป็นภาระของพวกท่าน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามปีใหม่ปีนี้มีสิ่งใดที่ไม่อยากได้บ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมไม่อยากได้ความไม่สงบสุข ผมไม่อยากได้ความขัดแย้ง ในวันข้างหน้าเมื่อผมไม่เป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง อย่าไปคิดว่าผมจะเป็นอย่างอื่น ผมหมดหน้าที่ก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง ผมก็อยากได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ผมอยากได้นักการเมืองที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ เดินหน้าวางแผนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้กว้างๆ ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติรายละเอียดไม่ได้มีการบังคับอะไรกับใคร มีแต่หัวข้อว่าทำอะไรก็เพียงขอให้อยู่ในกรอบและขอให้ทำให้คนไทยทุกคนมีความสุข พ้นจากความยากจนในทุกๆด้าน ทั้งจนความรู้ จนที่ดิน ในปีหน้ามีเรื่องต้องทำอีกมาก เพราะถ้าเรายังทำแบบเดิมเราก็จะเป็นแบบเดิมคือการเอาเงินลงไปให้ลงไป เป็นมาตรการบรรเทาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ยั่งยืน ถ้าจะให้ยั่งยืนต้องทำแบบที่ผมทำ ต้องมีการกำหนดเป้าหมาย ทิศทางในแต่ละกลุ่ม เพราะความต้องการของแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน และต้องไม่เป็นการผูกขาดประชาชนต้องได้รับประโยชน์ที่ดีขึ้น ก็เป็นการคาดหวังของผม”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งที่ตนคาดหวัง คือ 1. การลดความยากจน ลดความเดือดร้อน 2. การเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่ไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไป

“ทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้ ผมประกาศไว้เลยสถานการณ์ถ้ายังมีความขัดแย้งสูง การเลือกตั้งได้หรือเปล่า ผมไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้มันเกิดขึ้น ผมไม่ได้เป็นคนทำ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้มีการเลือกตั้งก็ขอให้มีความสงบสุขเรียบร้อย ถ้าไม่สงบเลือกแล้วถ้าเลือกตั้งไปแล้วยังมีการตีกันอยู่ ผมก็รับผิดชอบไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เพียงแต่พูดปรามไว้สำหรับคนที่จะสร้างความวุ่นวาย ประชาชนเองก็ต้องดู ถ้าใครทำตัวแบบนี้ก็อย่าไปยุ่งหรือสนับสนุน ไม่เช่นนั้นก็จะผิดกันไปหมด ขอร้องอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน มีเส้นทางไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยก็ไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ทุกฝ่ายชื่นชมประเทศไทยว่ามีเสถียรภาพดี มีความสงบเรียบร้อยไม่มีความขัดแย้ง เรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องของการเมือง ขอร้องว่าอย่าเอาการเมืองมาเป็นทุกอย่างของประเทศไทย เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ไม่มีเลิก เพราะทุกคนก็คาดหวังว่าจะเข้าสู่การเมือง ส่วนจะตีกันต่อไปอย่างไรตนก็ไม่สามารถตอบได้ วันข้างหน้าอีกพรรคหนึ่งได้อีกพรรคจะยอมรับได้หรือไม่ตนก็ไม่รู้ ตอบไม่ได้ เพราะปัญหาเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

“จำได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาเคยเกิดเรื่องมาแล้วจาก 2 พรรคใหญ่ แล้วอนาคตข้างหน้าจะแก้ปัญหาอย่างไร ยังไม่มีใครบอกผมเลย แต่ทุกวันนี้กลับมาตีผม ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ วันนี้ท่านต้องแสดงออกว่าท่านจะไม่ทำหรือสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นมาอีก ขอร้องว่าอย่าพูดอย่างเดียวขอให้ทำด้วยแล้วประชาชนก็ต้องไปดู ไม่ใช่ว่ากลายมารุมตีผม ผมยังไม่รู้ว่ามาตีผมเรื่องอะไร ผมก็พูดกับทุกคน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า อาจเป็นเพราะคำสั่งในมาตรา 44 เกี่ยวกับเรื่องระยะเวลา 30 วันในการรับรองการเป็นสมาชิกพรรค พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ยืนยันว่าผมไม่ได้สลายความเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง คนที่เป็นสมาชิกพรรคอยู่ก็สามารถมาลงใหม่ก็ได้ หากบอกว่ามีข้อแม้เรื่องระยะเวลา ก็ขอชี้แจงว่าระยะเวลาที่กำหนดให้เวลา 30 วันที่อย่างน้อยต้องมีสมาชิกพรรค 500 คน ทุกคนก็มาลงสมัครได้ แล้วที่เหลือจะไปกลัวอะไร ทุกคนก็สามารถมาลงสมัครเป็นสมาชิกได้ตลอด 4 ปี ไม่ใช่หรือ ถ้าคิดว่าสมาชิกเหล่านั้นยังอยู่กับคุณจริงๆ ก็ต้องมั่นใจว่าเขาจะอยู่กับคุณ แล้วที่ออกมาประกาศว่าทุกคนเกิดมาอยากตายไปกับประชาธิปไตยกับพรรคนี้พรรคนั้น แล้วจะไปกลัวอะไร”

เมื่อถามต่อว่า อาจเป็นเพราะกลัวว่าในช่วงที่มีช่องว่างนี้สมาชิกพรรคเดิมจะย้ายไปอยู่พรรคใหม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นเพราะตัวเองที่อุดมการณ์สู้เขาไม่ได้หรือเปล่า ที่บอกว่าตัวเองดีกว่ามีคนมาอยู่มากกว่า สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ ถ้าดีจริงสมาชิกพรรคเหล่านั้นก็ต้องอยู่ แล้ววันนี้สิ่งสำคัญตนไม่ได้ต้องการไปรีเซ็ตอะไร แต่ต้องการให้เกิดความชัดเจนขึ้นว่าคำว่าสมาชิกพรรคเป็นอย่างไร แม้ว่ากฎหมายฉบับใหญ่จะมีผลบังคับใช้แล้วและตนก็ไม่ได้ไปละเมิดหรือล้มกฎหมาย และไม่ต้องการไปแก้ไข พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะเขาต้องการหวังผลระยะยาว เราต้องหาวิธีการปฏิบัติเพื่อเดินไปสู่ตรงจุดที่ไม่มีปัญหาให้ได้ ระหว่างนี้เมื่อกฎหมายยังมีปัญหาก็ต้องมาดูว่าระยะนี้ทำแบบนี้ได้หรือไม่ แกะออกมาให้ได้ว่าคนที่จะเป็นสมาชิกพรรคก็ให้ยืนยัน มีการลงชื่อและมีหลักฐานให้เห็น เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้องไม่มีหลักฐานชัดเจนเพราะอยู่ที่พรรคทั้งหมด เพราะเราไม่ได้ให้เขาเก็บเงินจากสมาชิกพรรค รัฐบาลเป็นคนเก็บให้โดยการหักภาษี เมื่อคนถูกหักภาษียังไม่กาเลยว่าสนับสนุนพรรคไหน ดังนั้นต้องมีการเคลียร์เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพียงแค่นี้มันมีปัญหาอะไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกคำสั่งครั้งนี้มีการมองว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังรวบรวม กอบโกยนักการเมืองเพื่อตั้งพรรคการเมือง หรือพรรคทหาร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “พรรคทหาร พรรคอะไร เรื่องนี้สื่อต้องให้ความเป็นธรรมกับผมด้วย สมมติจะใครก็ตามไปรวบรวมคนแล้วตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแล้วลงเลือกตั้ง ถ้าประชาชนไม่เห็นดีเห็นงามเขาจะเลือกเข้ามาหรือ ถ้าคนห่วยๆ เข้าจะเลือกมั้ย ผมถึงบอกว่าดูนักการเมืองใหม่บ้าง คนเก่าถ้ามันดีอยู่พรรคไหนก็เลือกเข้าไป แต่ถ้าคนใหม่ดีกว่าก็เลือกคนใหม่ก็จบ ทำไมต้องมานั่งคอยระวังผม คนนั้นคนนี้ ไม่ดูว่าคนเหล่านั้นทำประโยชน์อะไรหรือไม่ดีกว่า อาจจะมีทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนเดิม ผมพูดกับทุกพรรคการเมืองว่าไปหาคนใหม่ที่สังคมยอมรับมา สังคมก็ยอมรับได้ ถ้าเป็นคนดี แต่ถ้าอยู่แบบเดิมๆ ก็ตีกันเหมือนเดิม”

เมื่อถามว่า สรุปแล้วจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมจะตั้งทำไม ผมตั้งได้หรือ”

เมื่อถามต่อว่า แล้ววันนี้มีคนตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็เห็นมีหลายคนประกาศสนับสนุนผมก็ตั้งไปซิ แต่ผมจะรับหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เรื่องนี้เขาต้องถามผม วันนี้เขายังไม่ได้ตั้ง และยังไม่เข้าสู่วันเลือกตั้งก็ยังไม่มีใครมาถามผม ก็ได้แต่พูดกันไป แล้วผมจะรับหรือเปล่าผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ สถานการณ์เป็นตัวกำหนดทุกอย่างนะอย่าลืม ผมไม่ได้หมายความว่าคนอื่นเขาทำไม่ได้แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่ประชาชนจะร่วมมือกับใคร คนที่เขาร่วมมืออยู่แล้วผมจะเข้าไปได้อย่างไร และวันนี้ผมไม่ได้ลงเลือกตั้งเองนี่ มากลัวผมอยู่นั่นว่าผมจะเข้าไปเป็นนายกฯ คนนอก แล้วไอ้คนในต้องหาให้เจอก่อน คนนอกอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้มันมีตั้งหลายคนเขาอาจจะหาคนอื่นเข้ามาก็ได้ ทำไมต้องมากลัวผม วันนี้ผมมาได้ทำงานเพื่อการเมืองในวันข้างหน้า ผมทำงานเพื่อประชาชนให้มีความรัก ความสามัคคี ลงพื้นที่ก็ไปพูดคุยเพื่อต้องการให้เขาคลายเครียด คลายความกังวล และมั่นใจ อีกทั้งผมก็คลายเครียดตัวเองลงด้วย ได้หัวเราะ ได้พูดคุยและได้ทำอะไรตลกๆ ออกมา ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ผมก็ไม่ตลกเท่าไหร่ พอตลกไปก็เป็นเรื่องจริงไปหมด ความจริงผมเป็นคนอารมณ์ดี ตลก ผมพูดตลกเก่งนะ”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ปีใหม่นี้ไปเที่ยวที่ไหนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ได้ไปไหน อาจตีกอล์ฟใกล้ๆ แถวนี้ แต่ไม่ไปต่างจังหวัดแล้ว ปีใหม่หรือวันสำคัญ เราต้องตั้งสติให้ดี ยึดมั่น ภาวนาให้บ้านเมืองสงบสุข ตนทำเช่นนี้มาทุกปี ไม่เคยไปไหนมาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่เป็นแม่ทัพ เพราะสถานการณ์ก็เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 ก็ไม่ได้ไปไหน ไปห้างฯ ก็ไปเพียงเปิดงานและจากนั้นก็ไม่เคยไปไหนอีกเลย ครอบครัวก็ไม่เคยไปไหนด้วยกัน เพียงแต่อยู่บ้านด้วยกัน กลายเป็นว่าเวลาส่วนตัวหายไป เพราะถ้าไปไหนก็อาจเป็นปัญหาพอเจอกับใครก็มีปัญหา หรือไปไหน รปภ.ก็ต้องไปดูแล ตนไม่อยากรบกวนอยากให้เขาได้กลับบ้าน อย่างมากก็แค่ไปเล่นกีฬา กินข้าวกับครอบครัวเงียบๆ เล็กๆ หรือไปกับเพื่อนๆ บ้างแต่ไม่ไปในที่สาธารณะ ชีวิตตนมีแค่นี้ ที่เหลือก็คิดเรื่องงานโดยเฉพาะในปีหน้ามีงานให้คิดและทำอีกมากโดยเฉพาะเรื่องของความยากจน