เรามาถึงจุดนี้แล้ว ‘พระปะทะทหาร’
คงไม่ต้องถามว่ามาได้อย่างไร พระสุวิทย์วัดอ้อน้อยบอกไว้ในรายการ ‘ถามตรงๆ’ โดยจอมขวัญ หลาวเพชร์
“ชั้นเป็นคนเปิดประเด็น...เป็นที่มาของวันนี้ที่เค้าไปวุ่นวายกันอยู่”
นั่นเป็นการลดเลี้ยวหลังจากจอมขวัญถวายคอมเม้นต์ตรงๆ ว่า “เอาเข้าจริงๆ หลวงปู่เองก็ลงมาเล่นเรื่องนี้ด้วยนะคะ หลวงปู่ก็ไปในส่วนของโลกเยอะนะคะ”
นั่นก็เช่นกัน เป็นการสนองตอบเมื่อผู้เรียกตัวเองว่า ‘หลวงปู่’ พยายามอ้างพระธรรมวินัยว่า “มันแยกกันไม่ออกว่าอะไรเป็นธรรม อะไรเป็นกฎหมาย อะไรเป็นความรุนแรง อะไรเป็นเรื่องโลก อะไรเป็นเรื่องธรรม”
ซึ่งเป็นประเด็นที่พระสุวิทย์เองมักคุ้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องความรุนแรง เมื่อครั้ง ‘เป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ’โดยพวก กปปส. และเวทีแจ้งวัฒนะของพระสุวิทย์ ที่มี ‘มือปืนป้อปคอร์น’ เป็นกองกำลังติดอาวุธไว้คุ้มกันและรุกรานไล่ยิงฝ่ายตรงข้าม
ความรุนแรงคราวนี้ ที่พุทธมณฑล เพียงแค่ ‘push comes to shove’ หรือกระแทกกระทั้นใช้กำลังเล็กน้อย ผลักกันไปผลักกันมาแล้วฝ่ายทหารยกแขนยกขายันใส่ฝ่ายสงฆ์ พระก็เลยเข้าล็อคคอลากออกไปจากที่กลุ้มรุม
ทบทวนเหตุการณ์ได้ว่า เมื่อเครือข่ายคณะสงฆ์และภาคีพุทธบริษัท ๔ หรือ คสพ. ประกาศนัดหมายกันไปชุมนุมที่พุทธมณฑลตั้งแต่บ่ายวันที่ ๑๕ กะจะให้ยาวไปถึงค่ำวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ เพื่อ “สัมนา สกัดแผนล้มการปกครองคณะสงฆ์ไทย”
แต่กลับไปเจอกับกำลังทหารจากกองพันทหารราบที่ ๑๕ จำนวนกว่า ๕๐ นาย ไปรอปากทางเข้าตั้งแต่เช้าทำการสกัดกั้นไม่ให้รถบรรทุกพระเข้าไปภายในสำนักพุทธ พระจำนวนมากจากที่ประมาณว่าไปร่วมทั้งหมดถึง ๔ พันรูป จึงต้องลงจากรถเพื่อเดินเท้าเข้าไป
จึงเกิดการเผชิญกับทหารที่บางคนปากพล่อยสามหาว ถามพระว่า “เขาจ้างมาเท่าไหร่” พระจำนวนร้อยกับทหารจำนวนห้าสิบก็ pushed and shoved กันใหญ่ ครั้นรถตู้เข้าไปได้ทหารนำรถจี๊ปเข้าไปขวาง พระนับร้อยก็พากันดันออกไปอีก
“ด้านทหารก็พยายามดันกลับไม่ให้ยกรถ จึงเกิดการปะทะกันถึงขั้นชกต่อย ก่อนที่จะมีการห้ามปรามให้ยุติ ซึ่งทหารก็ยินยอมให้รถผ่านไปโดยไม่เต็มใจ” ผู้สื่อข่าวเวิร์คพอยท์ จ.นครปฐมรายงาน
“สำหรับการชุมนุมดังกล่าวเป็นการแสดงจุดยืนว่าไม่พอใจรัฐบาล ที่ปล่อยให้มีกลุ่มบุคคลวิจารณ์คณะสงฆ์ รวมทั้งแสดงจุดยืนการเสนอตั้งสมเด็จพระสังฆราช”
(https://www.facebook.com/WorkpointNews/)
ซึ่งพุทธะอิสระอ้างว่าสมเด็จช่วงวัดปากน้ำที่มหาเถรสมาคมมีมติให้เสนอแต่งตั้งเป็นสังฆราชองค์ใหม่พัวพันกับวัดธรรมกาย และยังบอกต่อจอมขวัญว่าสมเด็จพระญานสังวร พระสังฆราชองค์ก่อนได้บอกกับตนถึงสามครั้งให้จัดการคัดง้างต่อต้าน
มิใยมีคนหักล้างไว้บนเฟชบุ๊คว่า “พุทธอิสระเคยไปบอกให้สมเด็จท่านเรียกตัวเองว่าหลวงปู่ เอารูปสมเด็จพระสังฆราชไปให้สมเด็จท่านเขียนว่า มอบให้หลวงปู่พุทธอิสระ...
สมเด็จท่านถามย้อนกลับมาว่าวัดนี้ไม่มีหลวงปู่ แล้วสั่งสอนพุทธะอิสระว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คนที่นั่นที่ได้ไปวันนั้นทราบเรื่องนี้ดี ทำไมไม่เอามาพูด เรื่องนี้อะไรยังไงทำไมไม่พูดบ้าง” (Arm Teerapol)
หลังจากที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.นำพระเมธีธรรมจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ เข้าพบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และพล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. เพื่อยื่นข้อเสนอจากเครือข่ายสงฆ์ ๕ ข้อแล้ว พระสงฆ์ที่ชุมนุมกันอยู่พุทธมณฑลก็เริ่มสลายตัว
(http://www.thairath.co.th/content/577904)
อย่างไรก็ดีข้อเรียกร้อง ๕ ข้อของเครือข่ายสงฆ์กลับถูกคัดค้านอย่างหนักจากนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ที่บอกว่า
“ถอยหลังเข้าคลอง ขัดหลักประชาธิปไตย เป็นอำนาจนิยม”
“เช่น สามข้อแรกเรียกร้องสถานะพิเศษของพระสงฆ์เหนือรัฐ และข้อห้า ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
เห็นได้ชัดว่า เกิดจากความเชื่อมั่นในศาสนาของตัวจนไม่แคร์ความรู้สึกของคนศาสนาอื่น และมีแรงจูงใจจากอารมณ์ ‘เกลียดกลัวอิสลาม’ ในหมู่พระและฆราวาสจำนวนหนึ่งเท่านั้น”
และต่อการที่พุทธะอิสระเขียนเฟชบุ๊คโต้กลับ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. ว่า “ธรรมกายคือฐานที่มั่นของพวกเสื้อแดง นายทักษิณ นปช. และกลุ่มล้มเจ้า” ก็มีการตอบกลับในที โดย Somsak Jeamteerasakul
“ผมเห็นว่าข้อโจมตีที่ว่าม็อบพระเมื่อวาน ‘ทักษิณสั่ง’ เป็นเรื่องไร้สาระมาก...
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแกนนำเคลื่อนไหวหลายคนเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับค่ายทักษิณ และไม่อาจปฏิเสธเลยว่าเสื้อแดง โดยเฉพาะในระดับนำ (นปช. ฯลฯ) เชียร์การเคลื่อนไหวนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
เพราะข้อเรียกร้อง ทิศทาง และแนวคิดนำของม็อบและขบวนพระนี้ เป็นอำนาจนิยม ตั้งแต่ข้อเรียกร้องเรื่องศาสนาประจำชาติ ไปถึงการพยายามรักษา ‘การปกครองของสงฆ์’ แบบปัจจุบันที่มีลักษณะอภิสิทธิ์เหนือการตรวจสอบ”
เช่นนี้ ดูแล้วปัญหาในวงการสงฆ์ไทยไม่น่าจะจบได้ง่ายๆ ไม่ว่า คสช. จะจัดให้ตามที่พระสุวิทย์วัดอ้อน้อยบัญชาหรือไม่ การมาถึงจุดนี้แล้ว คำถามจึงไม่ใช่มาได้อย่างไร แต่เป็น ‘เราจะถลำต่อไปแค่ไหน’ เสียมากกว่า
ดังที่พระพยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้วพูดไว้ “ทั้งสองฝั่งก็มีแผลด้วยกันทั้งคู่ ยิ่งทะเลาะกันเหมือนยิ่งไปขุดคุ้ยแผลแต่ละฝ่ายออกมาสู่สาธารณะ...
ตราบใดที่ยังไม่มีการปฏิรูป ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ต้องช่วงชิงกันแบบนี้ ไม่เฉพาะทางศาสนา แต่รวมไปถึงการบ้านการเมืองด้วย”
(http://www.lokwannee.com/web2013/?p=202958)
แต่กระนั้นก็ดี ที่พระพยอมบอกให้เลือกเอาระหว่างการมีสังฆราชและความสงบสุข “แต่ถ้ามีแล้วไม่สงบรอหน่อยไม่ได้เชียวหรือ” ก็เข้าทางพระสุวิทย์ที่พูดเหมือนกับที่นายวิษณุ เครืองามเคยพูดไว้ว่า เราเคยไม่มีสังฆราชนานตั้ง ๓๕ ปียังได้
ผู้ที่จะตัดสินใจกรณีนี้ได้ดีที่สุดไม่ใช่ คสช. ไม่ใช่มหาเถรสมาคม หากแต่เป็นสมเด็จช่วงนั่นเอง ว่าท่านจะคิดเห็นเช่นไร