ประเด็นที่ถูกมองข้ามในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่
20/2
ชำนาญ จันทร์เรือง
ผมติดตามและอ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่
20/2 (เรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 19 ฉบับ ฉบับที่ 20/1 คือฉบับของคุณบวรศักดิ์ที่ถูกคว่ำ)อย่างละเอียดและหลายรอบนับครั้งไม่ถ้วน
(เพื่อยืนยันว่าจะไม่ต้องกลับไปอ่านรัฐธรรมนูญเสียก่อนแล้วจึงค่อยมาวิจารณ์) พร้อมทั้งติดตามความเห็นของฝ่ายต่างๆ
ทั้งฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุนอย่างใกล้ชิด เพราะนอกเหนือจากความสนใจส่วนตัวแล้วยังต้องนำไปใช้ในการเรียนการสอนด้วย
พบว่าประเด็นหลักๆ ถกเถียงกันนั้นอยู่ในประเด็นใหญ่ๆ
คือ
นายกคนนอก/สิทธิชุมชนที่หายไป/วุฒิสภามาจากการเลือกกันเอง/อำนาจที่เพิ่มขึ้นของศาลรัฐธรรมนูญ/การเลือกตั้งแบบบัตรเดียว
ฯลฯ ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนก็พูดอยู่ประเด็นหลัก คือ การปราบการทุจริตของนักการเมือง
ผมจึงจะนำเสนอประเด็นที่ผมคิดว่าอาจถูกมองข้ามหรืออาจจะไม่ถูกมองข้ามแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง (หรืออาจจะมีใครพูดถึงแต่ผมไม่ได้ยิน) โดยจะข้ามประเด็นหลักๆ ที่ถกเถียงกันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว
ดังนี้
1.ประเด็นตามมาตรา 75
กรณีการที่ไม่มีประธานรัฐสภา ซึ่งดูเผินๆ แล้วหากไม่สังเกตให้ดีก็จะนึกว่าไม่มีอะไร
เพราะประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานฯ เหมือนที่ผ่านๆ
มาอยู่แล้วนี่
แต่ทุกคนลืมประเด็นที่งอกขึ้นมาใหม่คือ กรณีที่ในระหว่างประธานวุฒิสภาต้องทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแต่ไม่มีประธานวุฒิสภา
ให้รองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ถ้าไม่มีรองประธานวุฒิสภา
ให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอายุมากที่สุดในขณะนั้นทำหน้าที่ประธานรัฐสภา
ซึ่งประเด็นของผมก็คือ แล้วรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหายไปไหน ทำไมไม่ให้ทำหน้าที่ประธานรัฐสภาสภาล่ะ
เหตุใดจึงต้องให้รองประธานวุฒิและสภาชิกวุฒิสภามาทำหน้าที่แทน
2.ประเด็นตามมาตรา
86(4) ที่ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบจัดสรรปันส่วน
ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่า จากการที่กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 350 เขต
แล้วนำคะแนนไปคำนวณจากสมาชิกทั้งหมด 500 คนว่าแต่ละพรรคจะมีส.ส.ทั้งหมดได้จำนวนเท่าใด
ซึ่งก็หมายความว่าพรรคการเมืองใดที่จะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
คือเกิน 250 คน จากทั้งหมดจำนวนเต็ม 500 คน (350 + 150) นั้นหมายความว่า พรรคนั้นจะต้องได้เกิน
250 โดยสามารถส่งผู้สมัครได้เพียง 350 คนเท่านั้น คิดเป็น 71.43 เปอร์เซ็นต์ (250
จาก 350) แทนที่จะเป็น 50 เปอร์เซ็นต์เหมือนทั่วไปที่โดยปกติก็ยากอยู่แล้ว
3.ประเด็นตามมาตรา
87 กรณีโหวตโนมากกว่าคะแนนผู้สมัครแต่ละคน ให้เลือกตั้งใหม่โดยห้ามคนเก่าลงสมัคร
ปัญหาก็คือว่าหากคะแนนโหวตโนชนะอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าล่ะจะทำอย่างไร
4.ประเด็นลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา
103 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาสมัครไม่ได้หรือถ้าสมัครได้แล้วหากมีบุพการี คู่สมรส
หรือบุตรเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง
สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในคราวเดียวกันหรือผู้ดำรงตำแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ
ซึ่งหากจะอธิบายง่ายๆก็คือหากใครเป็นวุฒิสมาชิกอยู่แล้วเกิดมีบุพการี
คู่สมรสหรือบุตรได้รับเลือกหรือแต่งตั้งให้เป็นตำแหน่งทั้งหลายที่ว่า เช่น ไปเป็น
อบต. เป็นต้น ส.ว.คนนั้นหลุดจากตำแหน่งทันที
ประเด็นของผมก็คือแทนที่จะเป็นลักษณะต้องห้ามของบุพการี คู่สมรสหรือบุตรที่จะสมัครตำแหน่งต่างๆ
เหล่านั้น แต่กลับมาห้ามตัวสมาชิกวุฒิสภาเอง
5.ประเด็นการพิจารณาร่าง
พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา 127(1) ที่บัญญัติให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
สภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่าง
และในกรณีที่ต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภา จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเวลาเก้าสิบวันนับแต่ตั้งกรรมาธิการร่วมกัน
ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามร่างที่มีการเสนอครั้งแรกหรือได้รับจากวุฒิสภาแล้วแต่กรณี
ประเด็นของผมก็คือ แทนที่จะถือว่าร่างพรบ.นั้นตกไป
เหมือการออกกฎหมายในนานาอารยประเทศทั้งหลายที่ใช้ระบบสองสภา แต่กลับเป็นให้ถือว่าเห็นชอบตามร่างแรกหรือตามที่ได้รับจากวุฒิสภา
6.ประเด็นการแยกหมวดศาลรัฐธรรมนูญแยกออกไปเป็นหมวด
11 ต่างหากจากหมวด 10 ที่เป็นหมวดที่ว่าด้วยศาลทั้งหลาย
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ร่างเจตนาที่ไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลตามหมวดที่ว่าด้วยศาลนั่นเอง
แต่จะเป็นอะไรนั้นผู้อ่านก็ลองวิเคราะห์กันเอาเองนะครับ
เพราะในการสรรหาตามมาตรา
198 วรรคหก คณะกรรมการสรรหาสามารถสรรหานอกเหนือจากบุคคลที่สมัครเข้ามาก็ได้
พูดง่ายๆก็คือไม่ต้องสมัครก็เป็นได้นั่นเอง
7.ประเด็นที่มาของผู้บริหารท้องถิ่นตามมาตรา
249 วรรคสอง ที่กำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่น
ซึ่งดูเผินๆ ก็ไม่น่าจะมีอะไร โดยทั่วไปก็คงนึกว่าอาจเป็นแบบสมัยก่อนที่ประชาชนเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่นแล้วสภาท้องถิ่นก็เลือกสมาชิกสภาท้องถิ่นนั้นเป็นผู้บริหารท้องถิ่น
แต่เมื่ออ่านให้ดีๆ แล้วจะทำให้รู้ว่าผู้บริหารท้องถิ่นตามร่างรัฐธรรมนูญนี้ มาจากคนนอก (อีกแล้ว)
ก็ได้หากสภาท้องถิ่นเห็นชอบ
8.ประเด็นสิทธิชุมชน
ซึ่งฝ่ายคัดค้านก็บอกว่าไม่เห็นมี ส่วนฝ่ายร่างก็บอกว่ามีแล้วใน ม.42,43,50,54,และ 60 ซึงพิเศษกว่าเดิมเสียอีก เพราะกำหนดให้เป็นหน้าที่รัฐ
แต่ประเด็นที่ไม่ได้มีการหยิบขึ้นมาขยายความกันก็คือ
ในกรณีของสิทธิต่างๆ นั้น รัฐคือคู่ขัดแย้งกับประชาชน และรัฐเป็นผู้แย่งสิทธิประชาชนไปทั้งสิ้น
ไม่มีทางที่รัฐจะให้คืนมา
ส่วนกรณีที่ว่าถ้าอย่างนั้นก็ไปฟ้องร้องเอาสิ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชาติไหนถึงชนะคดี สู้อยู่แบบเดิมตามรัฐธรรมนูญปี 50
และ 40 ดีกว่าเพราะอย่างน้อยประชาชนก็อยู่อย่างมีศักดิมีศรีโดยมีสิทธิติดตัว
อนึ่ง ในมาตรา 25 ยังบัญญัติไว้ว่า
“...การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะกระทำการนั้นได้...”
ซึ่งก็หมายความว่า “กฎหมายอื่น” เช่น พรบ.การชุมนุมสาธารณะฯ ที่ออกมาก่อนรัฐธรรมนูญนี้
(หากผ่าน) หรือกฎหมายอื่นที่จะออกมาภายหลังใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญนี้นั่นเอง
จริงๆ แล้วมีประเด็นที่ถูกมองข้ามอีกมากมาย
แต่ผมคัดมาเพียง 8 ประเด็นเท่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนารมณ์เป็นอย่างไร
ถึงจะกลับไปแก้อีกรอบก่อนลงประชามติก็คงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์นี้
ใครชอบก็เตรียมตัวไปลงประชามติรับ
ใครที่ไม่ชอบก็เตรียมตัวไปลงประชามติไม่รับ ถ้าหากยังคงมีการลงประชามติน่ะครับ
-------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่
17 กุมภาพันธ์ 2559