
10 hours ago
·
เหมือนกระจกและเสียงสะท้อนสื่อที่ผมอ่านดูและฟังมาตลอดหลายเดือนนี้เลยครับ เป๊ะ ๆ ๆ (อย่าให้เอ่ยชื่อสถานีสำนักข่าวเลยครับ แสลงใจ)
ที่แปลกใจคือท่านทั้งหลายไม่รู้สึกตัวกันเลยหรือว่ากำลังทำอะไร? และมันผิดแปลกตรงไหน? ผมว่าแข่งกันแซงล้ำหน้าด้วยซ้ำไปว่าใครสุดโต่งกว่ากัน
นักการเมืองให้ท้ายเก็บคะแนน คนทำงานสื่อขมีขมันเก็บยอดวิว หุ ๆ
https://www.thaipbs.or.th/.../iso6vixdx77hbxdydhgzngck...
·
เหมือนกระจกและเสียงสะท้อนสื่อที่ผมอ่านดูและฟังมาตลอดหลายเดือนนี้เลยครับ เป๊ะ ๆ ๆ (อย่าให้เอ่ยชื่อสถานีสำนักข่าวเลยครับ แสลงใจ)
ที่แปลกใจคือท่านทั้งหลายไม่รู้สึกตัวกันเลยหรือว่ากำลังทำอะไร? และมันผิดแปลกตรงไหน? ผมว่าแข่งกันแซงล้ำหน้าด้วยซ้ำไปว่าใครสุดโต่งกว่ากัน
นักการเมืองให้ท้ายเก็บคะแนน คนทำงานสื่อขมีขมันเก็บยอดวิว หุ ๆ
https://www.thaipbs.or.th/.../iso6vixdx77hbxdydhgzngck...
https://www.facebook.com/kasian.tejapira/posts/10239435456927501
.....
เมื่อชาตินิยมครอบงำหัวใจของคนทำสื่อ...

18 ตุลาคม 2568
Thai PBS
ผศ.ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล
สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสื่อสาร
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เหตุการณ์รถแห่ของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่มีผู้ติดตามมากกว่า 8 ล้านคน ที่ขับไปตามแนวชายแดนสระแก้ว เปิดเสียงผีกรีดร้องและเครื่องบินรบดังสนั่น และได้ถูกนำมาขยายผลผ่านเนื้อหาของสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง ทั้งในสื่อเดิมและสื่อใหม่ กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สะท้อนวิกฤตอีกครั้งของสื่อไทย ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ทางสังคม แต่เป็นภาพสะท้อนจริยธรรมพื้นฐานของคนทำสื่อที่กำลังน่าวิตก กรอบคิดแบบชาตินิยมสุดโต่งแทรกซึมเข้าสู่วิธีการนำเสนอข่าว จนข้อมูล ความเป็นจริง หลักเหตุและผลถูกกลบด้วยอารมณ์และการสร้างการมีส่วนร่วมหรือเอนเกจเมนต์ในแพล็ตฟอร์มสื่อ เกิดคำถามสำคัญต่อบทบาทของสื่อในฐานะทั้งกระจกที่สะท้อนสังคมและตะเกียงที่ส่องทางของผู้คน
กรอบการนำเสนอแบบเลือกข้างสงครามและชาตินิยม
สิ่งที่แหลมคมชัดเจนในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สื่อส่วนใหญ่ทั้งสื่อเดิมและสื่อใหม่เลือก ก็คือการเลือกวางกรอบการนำเสนอเนื้อหา (framing) ที่เน้นฉายภาพความขัดแย้งและการเลือกข้างชาตินิยม มากกว่าการนำเสนอข้อมูลตรวจสอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดจริง การศึกษาสาเหตุกติกาสากล การหาทางออกของปัญหาเชิงการทูตและสันติวิธี รายการข่าว ข้อเขียนผ่านสื่อ ทางแพล็ตฟอร์มต่าง ๆ เลือกจัดวางตัวละครในลักษณะ "ฮีโร่" กับ "คนโลกสวย" การใช้พาดหัวข่าวแบบ "ปะทะ" "สวนกลับ" "ท้าชน" เพื่อดึงดูดยอดเอนเกจเมนต์ ทั้งยอดคลิก ยอดไลค์ ขณะที่ผู้รับสารในโซเชียลมีเดียนำเสนอความเห็นที่ปลุกเชื้อความเกลียดชังต่อ "อีกฝ่าย" อย่างไม่มีการคัดกรอง
ผลที่ตามมาคือแทนที่สื่อจะช่วยทำหน้าที่ในการเป็นตะเกียงส่องทางสังคมว่าจะจัดการกับข้อพิพาทชายแดนที่มีมานานกว่าครึ่งศตวรรษอย่างไร กลับเป็นผู้นำเชียร์ว่า "ใครชนะ ใครแพ้ ใครกล้ากว่ากัน" การแบ่งแยกพวกเขากับพวกเรา เพียงเพราะต่างถือสัญชาติกันคนละพรมแดนประเทศ การนำคำกล่าวของบุคคลต่าง ๆ มาเผยแพร่ประกอบภาพคนผู้นั้น โดยไม่มีบริบทใด ๆ ในการอธิบายความ หรือให้ความหมายที่ครบถ้วนกลายเป็นเรื่องราวหลักที่สื่อให้ความสนใจ นำมาสื่อสารกับผู้รับสาร มากกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชายแดนที่ต้องเผชิญความตึงเครียดทุกวันในภาวะความขัดแย้งระหว่างชาติเช่นนี้
นี่คือภาวการณ์ของ "วารสารศาสตร์แบบสงคราม" (War Journalism) ซึ่งมุ่งเน้นความรุนแรง การแพ้-ชนะ การแบ่งพวกเขา-พวกเรา และเสียงของผู้มีอำนาจหรือผู้ที่เสียงดังในสังคม แทนที่จะเป็น "วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ" (Peace Journalism) ที่พยายามทำความเข้าใจบริบท นำเสนอเสียงจากหลายฝ่าย เห็นทุกฝ่ายเป็นมนุษย์ และชี้ให้เห็นทางออกที่เป็นไปได้
สำนึกทางวิชาชีพกับตัวตนและอคติส่วนบุคคล
บทบาทของสื่อในกรณีนี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นความขัดแย้งภายในระหว่างพันธะสัญญาทางวิชาชีพกับแรงกดดันทางธุรกิจ แต่รวมไปถึงสำนึกทางวิชาชีพกับตัวตนและอคติส่วนบุคคลของผู้ทำหน้าที่สื่อด้วย รายการหลายรายการเลือกที่จะเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องชี้แจงหรือโต้กลับ ซึ่งดูเหมือนเป็นการให้โอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม แต่วิธีการจัดรายการกลับสะท้อนธรรมชาติของความบันเทิง การเร้าอารมณ์ มากกว่าการนำเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมาแบบข่าว การเลือกภาพและคำพูดที่เร้าอารมณ์ การจัดวางคู่ขัดแย้งในลักษณะที่ชวนให้เลือกข้าง และการตัดต่อเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมสูงสุดของผู้รับสาร ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ในรายการบันเทิง ไม่ใช่การรายงานข่าวที่มีความรับผิดชอบต่อความจริง
สื่อส่วนใหญ่ในกรณีนี้กำลังสำแดงบทบาทสำคัญในการกระพือวาทกรรมแบบชาตินิยมและการรักชาติแบบสุดโต่ง มากกว่าความรักในมนุษยชาติ การเลือกใช้ภาษาที่เหมารวมและตัดสิน เช่น การเรียกนักสิทธิมนุษยชนว่าพวกโลกสวย พวกชังชาติ และมีการตั้งคำถามเชิงคุกคาม เป็นการสร้างภาพจำด้านลบและลดทอนความชอบธรรมของการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในสังคมอารยะ
นอกจากนี้ สิ่งที่หายไปจากบริบทข่าวสารและเนื้อหาผ่านสื่อในเหตุการณ์นี้ คือเสียงของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ชาวบ้านชายแดนทั้งสองฝ่าย พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องพึ่งพาการค้าข้ามพรมแดน เด็กที่โรงเรียนต้องปิด ประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำที่ใช้ชีวิตในบ้านแบบที่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพในทุกโมงยาม หลายสื่อเลือกที่จะสัมภาษณ์นักการเมือง ดารา และอินฟลูเอนเซอร์ แต่ไม่ค่อยให้พื้นที่กับคนธรรมดาที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งริมชายแดน
บริบทที่สื่อมองข้ามและเนื้อหาที่ไม่กล่าวถึง
ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่สั่งสมมายาวนานตั้งแต่ยุคอาณานิคม มีการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 1962 เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร และมีการจัดตั้งกลไกการเจรจาทวิภาคีหลายระดับเพื่อจัดการกับข้อพิพาทเขตแดน เมื่อเพิ่งมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 แสดงว่ากระบวนการทางการทูตยังดำเนินอยู่ แต่สื่อส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลเหล่านี้ เพราะมันไม่ "ไวรัล" ไม่มี "ดราม่า" และไม่สามารถดึงเอนเกจเมนต์ได้เท่ากับการนำเสนอความขัดแย้งส่วนบุคคล และดึงอารมณ์ร่วมของคนในชาติด้วยการปกป้องอธิปไตยและเขตแดน

แนวคิดวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ เน้นว่าสื่อมีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพ และสนับสนุนแนวทางสันติวิธีในการคลี่คลายความขัดแย้ง แนวปฏิบัติในการทำงานของสื่อ ทั้งการเลือกใช้ภาษา การกำหนดกรอบการนำเสนอเนื้อหา และการเลือกแหล่งข่าว ล้วนมีผลต่อการรับรู้ของสาธารณะและต่อพลวัตของความขัดแย้ง วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพฃมุ่งเน้นนำเสนอไปที่บริบทและสาเหตุของความขัดแย้ง ไม่ใช่แค่เหตุการณ์รุนแรง การให้พื้นที่กับเสียงจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง การใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมา ไม่สอดแทรกอคติของสื่อ และไม่สร้างอคติ ที่สำคัญคือการนำเสนอทางเลือกที่ไม่ใช้ความรุนแรง
ในกรณีความขัดแย้งชายแดนนี้ หากสื่อเลือกใช้กรอบดังกล่าว จะสามารถนำเสนอเรื่องราวของชาวบ้านที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ข้ามพรมแดน เรื่องราวของนักการทูต ผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมที่ทำงานอย่างเงียบๆ เพื่อลดความตึงเครียดของกลไกการเจรจาที่มีอยู่และใช้งานได้ รวมทั้งประเด็นข้อเสนอสร้างสรรค์จากภาคส่วนต่าง ๆ แต่เรื่องราวเหล่านี้กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เพราะมันต้องการความพยายามในการขุดคุ้ย ต้องการความเข้าใจเชิงลึก และที่สำคัญคือไม่สามารถนำเสนอในรูปแบบที่ "ตื่นเต้น" ได้เท่ากับการจัดวางคู่ขัดแย้งหน้ากล้อง

การต่อสู้กับการถูก disrupt ของสื่อในยุคดิจิทัลนี้ จึงอาจไม่ใช่แค่เรื่องของการก้าวให้ทันเทคโนโลยีหรือรูปแบบธุรกิจ แต่คือกลับมายึดมั่นในค่านิยมพื้นฐานของวิชาชีพ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ความเป็นธรรม การตรวจสอบข้อมูล และความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่าย ผู้บริหารข่าว นักข่าว หรือ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” ต้องกล้าที่จะไม่ทำตามกระแสนิยม กล้าที่จะนำเสนอเรื่องราวที่ซับซ้อน แม้จะไม่ "ตื่นเต้น" และกล้าที่จะตั้งคำถามเชิงวิพากษ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล อินฟลูเอนเซอร์ หรือแม้แต่ความคาดหวังของสาธารณะ
ในท้ายที่สุด สื่อไม่ได้มีหน้าที่แค่เป็นกระจกสะท้อนความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ แต่มีหน้าที่ในการเป็นตะเกียงส่องแสงแห่งปัญญาให้กับสังคม โดยการนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วน เปิดพื้นที่ให้เสียงที่หลากหลาย และช่วยให้สังคมตัดสินใจได้อย่างรอบรู้ ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หรือความกลัวที่ถูกปลุกเร้า หรือความรักชาติจนขาดความเป็นมนุษย์
______________________________
ความเป็นวิชาชีพกับความรักชาติ
ไม่มีผู้สื่อข่าวคนใดสามารถเป็นกลางได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากผู้สื่อข่าวก็เป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งที่ยังคงยึดถือค่านิยมของประเทศบ้านเกิด ศาสนา และชาติพันธุ์ของตนเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้สื่อข่าวมืออาชีพจึงจำเป็นต้องมีมาตรฐานเรื่องความถูกถ้วน เที่ยงธรรม และความรับผิดชอบ เพื่อที่จะขจัดค่านิยมและอคติส่วนบุคคลออกไป
รอสส์ โฮเวิร์ด. 2550. การสื่อข่าวที่ไหวรู้ต่อความขัดแย้ง แปลจาก Conflict Sensitive Journalism: A Handbook โดย วลักษณ์กมล จ่างกมล. ปัตตานี: คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.