วันอังคาร, ตุลาคม 26, 2564

ถ้าในหลวงจะเสด็จเยอรมนี ๗ พ.ย.นี้ จะทรงงานโดย “ไม่บรรทมหลับข้ามวัน” เหมือนพระราชบิดาอีกไหม

๒๖ ตุลา ครบรอบปีการเดินขบวนไปยังหน้าสถานทูตเยอรมนี ซึ่งมีการอ่านแถลงการณ์ (รวมทั้งภาษา เยอรมัน) ปราศรัย และมอบหนังสือร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่สถานทูต ลงเอยด้วยผู้ร่วมชุมนุมวันนั้น ๑๒ คนโดนตั้งข้อหาหมิ่นกษัตริย์

เนื่องจากคำถามจะจะสี่ข้อในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ๑.กษัตริย์วชิราลงกรณ์ได้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของไทยระหว่างทรงประทับอยู่ในเยอรมนีหรือไม่ ๒.พระองค์จะต้องทรงเสียภาษีมรดกที่ได้รับตกทอดจากกษัตริย์ภูมิพล ๓๗๐,๐๐๐ ล้านบาทไหม

๓.ขอให้รัฐบาลเยอรมนีตรวจสอบว่ากษัตริย์ไทยและข้าราชบริพาร มีพฤติการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชน (เช่นอุ้มหายผู้ลี้ภัยในประเทศลาว) จริงหรือไม่ ผิดกฎหมาย (เยอรมนี) อย่างไร และ ๔.พระองค์ทรงตั้งฮาเร็มในเยอรมนี ฝ่าฝืนระเบียบป้องกันโควิดใช่ไหม

Thanapol Eawsakul เขียนถึงเรื่องนี้ว่า “มีการตอบรับจากรัฐบาลเยอรมันด้วย” โดยรัฐมนตรีต่างประเทศแจ้งต่อรัฐสภาว่า “จับตาการประทับของกษัตริย์ไทยอย่างต่อเนื่อง” และ นั่นก็ทำให้...ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ได้ประทับในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด”

คือตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๓ ถึงเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ ทั้งมีข่าวไม่ทางการหนาหู ค่อนข้างจะยืนยันว่าพระเจ้าอยู่หัวจะได้เสด็จเยอรมนีอีกในวันที่ ๗ พฤศจิกายน เพื่อทรงจัดการเรื่องสถานที่ประทับ (ทั้งวิลล่าและโรงแรม) สำหรับการพำนักระยะยาว

ทำให้เกิดข่าวลือหรือซุบซิบอีกว่า ช่วงนั้นอาจมีสถานการณ์ทางการเมือง ไม่ธรรมดาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รายการ หลวงตาชูพงษ์เปลี่ยนระบอบตอน “สั่งอะไรก่อนบินเข้าเยอรมัน” บอกว่า “ร.๑๐ สั่งยุบพรรคก้าวไกล” หรือกรณี

ความไม่ธรรมดาของการเลือกตั้งที่จะตามมา หลังจากพาดหัวข่าววันนี้บอก พรรคพลังประชารัฐ “ล้างไพ่...โละ ธรรมนัส พรหมเผ่า” และพรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสได้ตั้งรัฐบาลไหม ในเมื่อ พี่โทนี่ ย้ำนักย้ำหนา แลนด์สไล้ด์ แลนด์สไล้ด์

แต่ที่แน่ๆ ความไม่ธรรมดาเกี่ยวกับการจับกุมคุมขังเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ยังยืนหยัดเรียกร้อง ประยุทธ์ออกไป แก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบัน (รวมทั้งประเด็นร้อน ยกเลิก ป.อาญามาตรา ๑๑๒) ท่าจะยืดเยื้อและถูกทำให้เป็นธรรมดาๆ

รวมทั้งการประทับของ ร.๑๐ ในเยอรมนีเป็นเวลานาน “ทรงงานหนักเพื่อบ้านเมืองในแบบฉบับของพระองค์เอง” ดังที่ อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เคยว่าไว้ หมายความว่าคำถามในจดหมายเปิดผนึกเมื่อปีที่แล้วเคลียร์ (ไม่เช่นนั้นอาจย้ายไปสวิสเซอร์แลนด์)

ธนาพล โคว้ทข้อเขียนของ อานนท์นิด้าตอนหนึ่งน่าย้อนไปวิสัชนา “ในหลวง ร.๑๐ ทรงงานในเวลาเดียวกับในหลวง ร.๙ คือทรงงานเวลากลางคืนและบรรทมในเวลากลางวัน ไม่ว่าจะประทับที่ประเทศใดก็ตาม”

อานนท์คงไม่ได้หมายถึงการทรงงานทางพลานามัย อย่างปั่นจักรยาน โดดร่ม ซึ่งทรงโปรดออกกำลังกายร่วมกับเจ้าคุณพระสินีนาฏบ่อยๆ ดังเคยมีข่าวลือระหว่างเสด็จเยือนราชธานีครั้งหนึ่งนานเป็นสัปดาห์ ช่วงที่ทรงมี residency อยู่ที่ Bavaria

ครั้งนั้นว่ากันว่าเสด็จพร้อมเจ้าคุณพระขึ้นเฮลิค้อปเตอร์ในยามดึกไปยังจังหวัดอีสาน เพื่อทรง ‘Bungee Jumping’ สำราญพระราชหฤทัย (เป็นอย่างไรดูภาพตัวอย่าง) แต่เป็นการทรงงานแบบที่เขาคุยกันใน พันทิป เมื่อปี ๒๕๕๗

เรื่องว่า พระราชบิดานั้น “จะไม่บรรทมหลับ ข้ามวัน” (หรือการนอนข้ามเที่ยงคืน เหมือนคนธรรมดาสามัญทั่วไปในสากลโลก) “รัชกาลที่ ๖ ทรงอธิบายไว้ว่า เป็นมาตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวกรุงเก่าแล้ว ที่พระมหากษัตริย์จะทรงงานในเวลากลางคืน”

เพจชื่อ คลังประวัติศาสตร์ไทยเขียนเรื่องนี้ไว้เมื่อปลายปี ๒๕๕๗ ว่าตามความเชื่อโบราณ “เปรียบเหมือนทรงเป็นนายยามคอยระวังภัยให้ราษฎรของพระองค์ เพราะเวลากลางคืนเป็นเวลาที่ราษฎรทั้งหลายพักผ่อนนอนหลับ”

ส่วน “ในหลวงของเรา (ร.๙) เมื่อครั้งยังมีพระวรกายแข็งแรงก็ไม่ทรงบรรทมหลับข้ามวันเช่นกัน โดยในเวลากลางคืนพระองค์จะทรงงานด้านแผนที่ และสรุปการทรงงานโครงการในพระราชดำริของแต่ละวันจนเช้า จึงเสด็จเข้าบรรทม”

มีเกล็ดเล่าจากผู้เคยเข้าเฝ้าฯ อยู่งาน ว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ในครั้งนั้นก็ทรงไม่บรรทมข้ามวันเหมือนกัน (น่าจะไม่ประจำ แต่บ่อยๆ) ถ้าเสด็จพักผ่อนอิริยาบถพร้อมพระเจ้าลูกยาเธอฯ องค์ที่ทรงโปรดการแสดง ยังพระราชวังไกลกังวล และสนามจันทร์

จะทรงงานขับขานเพลงและเริงระบำลีลาส สลับกับการเสวยพระกระยาหาร ตั้งแต่บ่ายคล้อยถึงเช้า มิได้ขาด

(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=372495816227378&set=a.120142734796022.30235.119437984866497&type=1&theater, https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10165980581885551 และ https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/4730687580331377)