วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 17, 2561

ดร.โสภณ จวกยิบ พรบ.อีอีซี ขายชาติยับ

ต่อการที่มีประกาศราชกิจจานุเบกษาพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๔ พ.ค. แล้วนั้น ดร.โสภณ พรโชคชัย เขียนวิจารณ์โต้แย้งอย่างละเอียดหลายมาตรา ตีพิมพ์ทาง prachatai.com/journal/2018

ว่า “เป็นการปูทางสู่ศักราชใหม่ของการขายชาติอย่างแท้จริงหรือไม่” ดังนี้


มาตรา ๖ ให้พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง และ “พื้นที่อื่นใดที่อยู่ในภาคตะวันออกที่กำหนดเพิ่มเติม” โดยพระราชกฤษฎีกาเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก...

ดร.โสภณบอก แสดงว่าไม่ได้จำกัดเฉพาะ ๓ จังหวัดตามที่โฆษณาไว้แล้ว แต่เป็นตรงไหนก็ได้ และ “ต่อไปลามไปทั้งภาคตะวันออก รวมถึงสระแก้ว ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด โดยไม่ต้องตราเป็น พรบ.อีกต่อไป

มาตรา ๓๓ ในกรณีที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการใดเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษ...“ไม่ว่าการนั้นจําเป็นต้องดําเนินการภายในหรือภายนอกเขตฯ”...ให้คณะกรรมการนโยบายเป็นผู้พิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตหรือให้ความเห็นชอบแทนหน่วยงานของรัฐ

นี่ก็สามารถดำเนินการนอกพื้นที่ ๗ จังหวัดได้อีก เท่ากับคณะกรรมการนโยบายอยู่เหนือหน่วยราชการอื่นใดในประเทศไทย

มาตรา ๓๕ ให้มีการยกเว้น “ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมาย” หมายความว่า “นี่ใช่การขายชาติหรือเปล่า” ดร.โสภณชี้ว่า

“ชาติอื่น เช่น สิงคโปร์ แค่ต่างชาติมาซื้อห้องชุดยังต้องเสียภาษีซื้อ ๑๕% ฮ่องกง ๓๐% แต่ไทยเราจะไม่เก็บค่าธรรมเนียม แถมภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ร่างกันอยู่ก็ต่ำจนแทบไม่ต้องเสีย 

อย่างนี้เราเสีย สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ไหม
 
มาตรา ๓๖ ให้คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งกำหนดไว้เพื่อการปฏิรูปเกษตรกรรมได้ เช่นนี้ “แสดงว่าเกษตรกรผู้ที่ถือครองที่ ส.ป.ก.๔-๐๑ ก็จะขาดความมั่นคงในการถือครองที่ดินแล้ว

เกี่ยวเนื่องกันในมาตรา ๕๒ ซึ่งว่าถึงการให้เช่าหรือเช่าช่วงที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ว่าไม่ให้นำกฎหมายแพ่งมาตรา ๕๔๐ และกฎหมายเช่าอสังหาฯ มาตรา ๕ มาบังคับใช้ (โดยห้ามเช่าเกิน ๕๐ ปี และห้ามต่ออายุเกิน ๔๙ ปี)

ในเมื่อกฎหมายเดิมให้ต่อสัญญาได้เมื่อหมดอายุสัญญาเดิมแล้วเท่านั้น แบบนี้ ดร.โสภณว่า “เท่ากับจะทำให้การ งุบงิบ ทำสัญญาซ้อนเป็นการถูกกฎหมายใช่ไหม

ยิ่งกว่านั้นยังปล่อยให้เช่าช่วงได้อีก พวกต่างชาติไม่ใช่ที่ดินแล้ว ยังปล่อยให้เช่าช่วงอีก แต่ทีที่ดิน ส.ป.ก.๔-๐๑ เกษตรกรไม่ใช้ทำเกษตรแล้วยังต้องคืนหลวง นี่ปล่อยให้พวกต่างชาติมาหากินกับที่ดินไทย”

มาตรา ๓๙ ให้กรรมการนโยบายเป็นผู้กำหนดชนิดอุตสาหกรรมนอกเหนือจากอุตสาหกรรมเป้าหมายอีกก็ได้ เช่นด้านบริการ ท่องเที่ยว และจัดประชุม ซึ่ง ดร.โสภณแย้งว่า “มันเกี่ยวกับเทคโนโลยีชั้นสูงและสิ่งแวดล้อมตรงไหน” นั่นจะเป็นการเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามา ฆ่า อุตสาหกรรมที่ไทยทำได้อยู่แล้ว

“ส่วนที่อ้างเรื่องยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ ดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร ก็ไม่ต้องไปไกลถึงภาคตะวันออก ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมใกล้ๆ ก็ได้ ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณไปมหาศาลแบบ ขี่ช้างจับตั๊กแตน แบบนี้” ดร.โสภณแซะ

มาตรา ๔๘, ๔๙ และ ๕๑ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการหรืออยู่อาศัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่นการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและอสังหาฯ โดยคนต่างด้าว การนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัย “การได้รับยกเว้นและลดหย่อนภาษี”

“โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือภายใต้การจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด” และ “รวมทั้งคู่สมรส บุพการี และบุตร...อาจได้รับการลดหย่อนภาษี สิทธิเกี่ยวกับการเข้าเมืองและการขออนุญาตทํางาน และสิทธิอื่นเพิ่มเติม”
 
เหล่านี้ ดร.โสภณเห็นว่า เป็นเขตเช่า ๙๙ ปีของคนต่างชาติไปแล้วหรือไม่...ประเคนให้ทั้งที่ก็ไม่เห็นมีใครเรียกร้อง” 

หนำซ้ำมาตรา ๕๘ ยังให้ผู้ประกอบการในเขตเศรษฐกิจ “ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน”

เท่ากับ “ต่างชาติสามารถใช้เงินตราสกุลของเขาเองได้...เหมือนกัมพูชาที่เดี๋ยวนี้ใช้แต่เงินดอลลาร์ กลายเป็นประเทศราชทางการเงินของมหาอำนาจ”

รวมทั้งมาตรา ๕๙ ที่ว่าการประกอบวิชาชีพซึ่งอนุญาตเฉพาะคนสัญชาติไทย ก็ยกเว้นให้ต่างชาติทำได้ถ้าเป็นอาชีพที่คณะกรรมการนโยบายประกาศรับรองไว้ เช่นนี้ ดร.โสภณถือว่าเป็นการเอาเปรียบคนไทย