วันอังคาร, ธันวาคม 15, 2558

A Discourse ของสังคมที่หมากลายเป็น "สิ่งศักดิ์สิทธิ์” จาก'คุณทองแดง' ‘ฟูฟู’ ‘ย่าเหล’




ใครหนอช่างแซวว่าสังคมไทยไม่ใคร่มี public constructive debate

(ท่อนอังกฤษนี่ขออนุญาตแปลว่า การต่อวาทะสร้างสรรค์สาธารณะ)

คดีใช้อาญามาตรา ๑๑๒ เอาผิดผู้ต่อความยาว แสดงอาการชอบใจข้อความเสียดสีคุณทองแดง ‘สุนัขทรงเลี้ยง’ นั่นก่อให้เกิดการถกเถียง หรือต่อวาทะอย่างออกรสและได้เนื้อหาดีทีเดียว

รสชาติที่ว่าน่าจะเข้มข้นไม่น้อยในวาระประจวบกับการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จออก (in his fresh and breath) รับคณะตุลาการเข้าถวายสัตย์ปฏิญานตน ณ ห้องประชุม ชั้น ๑๔ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช อันเป้นการเสด็จออกครั้งแรกนับแต่เดือนกันยายน และมิได้ทรงเสด็จออกในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๘ ปี เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคมที่ผ่านมา




จากรายงานของ ‘Thai Lawyers for Human Rights’ แจ้งว่า

“วันนี้ (๑๔ ธ.ค. ๕๘) เวลา ๙.๐๐ น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ ๒ กองบังคับการปราบปรามได้นำนายฐนกร ศิริไพบูลย์มาฝากขังยังศาลทหารกรุงเทพ โดยศาลทหารอนุญาตให้ฝากขังครั้งที่ ๑ ถึงวันที่ ๒๕ ธ.ค.๕๘ ซึ่งถูกตั้งข้อหาตามพ.ร.บ.คอมฯ, ม.๑๑๒ จากการกดไลค์ข้อความและโพสต์รูปเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง และ ๑๑๖ จากการโพสต์ผังอุทยานราชภักดิ์”

ในส่วนของข้อหามาตรา ๑๑๒ อ้างว่าเป็น “การโพสต์รูปภาพ ๓ รูปภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ ๖ ธ.ค. ๕๘ ซึ่งมีข้อความประชดเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยงของในหลวง"

ทั้งนี้ “มีข้อสังเกตว่าในคำร้องขอฝากขังครั้งที่ ๑ แล้ว โดยปกติพนักงานสอบสวนจะต้องบรรยายโดยละเอียดว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์อย่างไร ถ้อยคำหรือภาพที่กล่าวอ้างว่าดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทนั้นมีข้อความว่าอย่างไร แต่คำร้องดังกล่าวกลับไม่ระบุถ้อยคำที่ชัดเจน ได้เพียงแต่ระบุองค์ประกอบทางกฎหมายเท่านั้น”

(https://tlhr2014.wordpress.com/20…/…/14/thanakorn-112-116-1/)

จึงเป็นหน้าที่ของวิญญูชนจักต้อง ‘ต่อวาทะ’ ด้วยการเสาะหาข้อเท็จจริงในทางลึก ให้ประจักษ์แก่สาธารณะ อย่าเอาแต่เงียบงำจนเกิดภาวะอึมครึม อนธการ หดหู่ อ้างว้าง และหวาดหวั่นระแวงภัย

เริ่มจาก Thanapol Eawsakul ขาประจำแหล่งหนึ่งของเรา คะเนว่า

“เท่าที่อ่าน... โพสต์รูปเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง โพสต์เสียดสีรูปสุนัขทรงเลี้ยง โพสต์เสียดสีเจ้าของสุนัขผ่านรูปสุนัขทรงเลี้ยง โพสต์รูปเสียดสีเจ้าของสุนัขผ่านรูปสุนัขทรงเลี้ยง

สองกรณีแรก ๑๑๒ ไม่น่าจะคุ้มครอง ไม่ว่จะตีความอย่างไร ส่วนสองกรณีหลัง ถ้าดูจากการตีความของศาลไทย ไม่น่ารอด”

ส่วน Atukkit Sawangsuk อ้างถึงคดี ๑๑๒ ซึ่งศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาความผิดนายชาญวิทย์ ลงโทษจำคุกจำเลย ๖ ปี จากความผิด ๑ กรรม ว่า

“ทั้งนี้คำฟ้องของโจทก์ระบุความผิดของจำเลย ๔ กรรมในการหมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา

(แต่ศาลลงโทษกรรมเดียว)

ก่อนเริ่มการสืบพยาน อัยการโจทก์แถลงว่าทางสำนักพระราชวังได้ส่งหนังสือมายืนยันว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทตาม ม.๑๑๒ ทนายความได้ขอคัดถ่ายหนังสือฉบับดังกล่าวจากศาล แต่ศาลไม่อนุญาตให้คัดถ่าย...

(http://www.prachatai.com/journal/2015/12/62714)

ขนาดสมเด็จพระเทพฯ สำนักพระราชวังยังยืนยันว่าพระองค์ท่านไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทตามมาตรา ๑๑๒ แล้วทหารตีความได้อย่างไร ว่าการกดไลค์-แชร์ภาพเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยงก็ผิด ๑๑๒”

นั่นสิ อ่า แต่อันนี้เราคงไม่ทราบได้ เอาไว้ไปถาม สศจ. ดีกว่า

เช่นเคย Somsak Jeamteerasakul เสาะเข้าไปส่องดูหน้าเฟชบุ๊คเจ้าปัญหาของ Thanakorn Siripaiboon ว่าเขาไล้ค์อย่างไร แชร์อีท่าไหนถึงเข้าข่าย ๑๑๒ จนค้นพบ

“รูปที่ผมแค็บและเซฟมา รูปแรกคือตัวกระทู้ที่คุณฐนกรเขียนว่า "อ่านคอมเมนท์แล้วซาบซึ้งจังครับ" ส่วนอีก ๒ รูปคือ "คอมเม้นท์" ที่คุณฐนกรเองแค็พมา (ที่เขาว่า "อ่านแล้วซาบซึ้งจังครับ")

สรุปความได้ว่า “ไอ้คนตั้งข้อหานี่ปัญญาอ่อนฉิบหายเลยว่ะ”




ไม่เท่านั้น สศจ. เกิดอารมณ์เอ็นจอยต่อเนื่องไปถึงสุนัขทรงเลี้ยงอีก ‘คุณ’ หนึ่ง ซึ่งรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ของ วุฒิธร มิลินทจินดา ทำตัวอย่างไว้ให้ซาบซึ้งกัน

“ตัวนี้ก็คงได้รับการคุ้มครองจาก ๑๑๒ นะครัช” สศจ. ว่า

“สมัยก่อนใครชอบแซวคุณวู้ดดี้ คง ‘เงิบ’ ไปตามๆกันครับ คุณวู้ดดี้เธอรู้ดีกว่าใครเยอะ ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรต่อหน้า ‘สุนัขทรงเลี้ยง’”

ยังไม่หมด มีสุนัขทรงเลี้ยงอีกคุณที่เด่นดังกว่าคุณที่วู้ดดี้แย่งอาหารกิน เพราะคุณนี้มียศพลอากาศเอกนามว่า ‘ฟูฟู’ แม้ว่าทั่นฟูฟูจะสู่สวรรคาลัยไปแล้ว “ใครอย่าประมาทไปนะครัช”




สศจ. อ้าง “ตอนนี้ ๑๑๒ ขยายครอบคลุมไปถึงสุนัขทรงเลี้ยงแล้ว...แม้แต่สุนัขทรงเลี้ยง ‪#‎ที่ตายแล้ว‬ ก็มีสิทธิ์จะได้รับการคุ้มครองด้วยนะครับ”

เหตุผลง่ายๆ ขนาด ส.ศิวลักษณ์ ยังโดนข้อหา ๑๑๒ ฐานหมิ่นฯ บูรพกษัตริย์ในสวรรคาลัยเลย

กลับมาที่คนธรรมดา ‘โนเนม’ ที่โดนข้อหา ๑๑๒ นำร่องก่อนหน้าคดีฐนกรหนึ่งปี

Nithiwat Wannasiri เก็บมาเล่าเป็นอุทธาหรณ์ “มีกรณีนักธุรกิจทางเชียงรายท่านหนึ่งโดน ๑๑๒ จากโพสต์เสียดสีคุณทองแดง ต้องลี้ภัยการเมืองก่อนหน้านี้เคสนึงครับ ในสังคมที่หมาตัวหนึ่งกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

“หัวข่าวเขียนยัดเยียดข้อหาน่ากลัวมาก แต่พอรู้เนื้อหาคดีจริงเป็นเพียงการแซว/ล้อเลียน/เสียดสี คุณทองแดง เท่านั้น”

(นี่คือพาดหัวข่าวแอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์สมัยนั้น “ทหารแจ้งจับนักธุรกิจหนุ่มเชียงของผิด ม.112 โพสต์เฟซฯ หมิ่น-คนแชร์ต่อเพียบ”http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx…)

“ตอนแรกก็ตกใจว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นจริงๆในประเทศเราหรือ” นิธิวัฒน์รำพึง

“นึกถึงนิทานเก่าๆ เรื่อง ‘ย่าเหล’ ที่เคยได้ฟังฝังหัวมาแต่เด็กๆ ไม่รู้ว่าคนที่ไปด่า ‘ย่าเหล’ ในยุคนั้นจะโดนคดีร้ายแรงเหมือนยุคนี้รึปล่าว แต่เป็นข่าวที่น่าอนาถใจมาก”

นิธิวัฒน์พาดพิงถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับสุนัขทรงเลี้ยงโด่งดังในประวัติศาสตร์ครั้งรัชกาลที่ ๖ นาม ‘ย่าเหล’ (Yardley) สมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่พระราชวังสนามจันทร์




ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีใครด่าด่าย่าเหลบันทึกไว้เป็นตัวอย่างตอบข้อข้องใจของนิธิวัฒน์เกี่ยวกับคดีแบบ ๑๑๒ สมัยนี้

มีแต่คนเล่าความไว้บนเว็บบอร์ดสนทนา PANTIP.com เมื่อตอนปลายปี ๕๓ ผู้ใช้นาม Wiwanda เขียนถึงย่าเหลไว้ในกระทู้เรื่อง ‘มองการเมืองไทยย้อนสมัยรัตนโกสินทร์’ ตอนหนึ่งว่า

“ย่าเหล เมื่อเข้ามาอยู่ในพระราชวัง ด้วยความที่เป็นสัตว์เดรฉาน ไม่ทราบถึงธรรมเนียมของมนุษย์ รู้แต่ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ คือนายของมัน จึงติดตามไปทุกที่ คลอเคลียอยู่ใกล้ตลอดเวลา แม้ในตอนออกว่าราชการ

ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่พอใจที่จะกราบถวายบังคม แล้วมีหมามานั่งมองอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่ากราบในหลวงหรือกราบหมา

แม้แต่ในตอนที่ประทับอยู่ในพลับพลา ย่าเหลก็เข้าไปด้วย ข้าราชการ เสนาอำมาตย์ รู้สึกอึดอัดที่มีหมานั่งอยู่สูงกว่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร”

(http://topicstock.pantip.com/…/20…/04/K5300712/K5300712.html)

อย่างไรก็ดี คุณย่าเหลถึงแก่ชีพิตักษัยด้วยกระสุนปืนของเจ้านายพระองค์หนึ่ง ซึ่งผู้เล่าบอกว่าเป็น ‘เจ้านายของคุณปู่’

“เสด็จมาที่ตำหนัก ย่าเหล มันรู้แต่ว่านายของมันคือในหลวงรัชกาลที่ ๖ เมื่อมีคนอื่นที่ไม่ใช่นายของมันเข้ามา มันจึงเห่ากรรโชก

อนิจา.... หมาเดรฉาน เจ้านายสมัยก่อนนั้นแม้แต่คนยืนเสมอไม่หมอบลงยังมีโทษหนักหนา แล้วนี่เป็นหมา ยืนขวางและเห่าใส่ จะตรงเข้ามากัดอีกด้วย

เจ้านายของคุณปู่ท่านเดินหนีออกไปข้างนอกแล้วยังตามไปเห่าใส่อีก ท่านจึงบันดาลโทสะเต็มที่ จึงชักปืนยิงใส่เข้าให้”

เจ้านายของคุณปู่องค์ที่ว่านี่ “ทรงเป็นพระเชษฐาในรัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระชนม์แก่กว่ารัชกาลที่ ๖ ๑๓ วัน ได้เสด็จออกไปเรียนวิชาที่ประเทศอังกฤษพร้อมกัน”

อีกทั้ง “ทรงเบื่อหน่าย หนีออกไปล่องเรือสำเภาไปในอ่าวไทย แต่ก็ไปเจอมรสุมประสบเหตุคลื่นลมเกือบจบชีวิตกันทั้งหมด จึงทรงคิดได้ว่าถ้ามามัวแต่น้อยอกน้อยใจก็ไม่บังเกิดผลดีอะไร จึงทรงได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ รักษาคนป่วยโดยไม่แสดงพระองค์ว่าเป็นใครและรักษาโดยไม่คิดค่าตอบแทน จนได้ชื่อว่าเป็นคุณหมอใจบุญคนหนึ่ง”

คนที่สนใจประวัติศาสตร์คงพอเดาๆ ได้ว่าเจ้านายพระองค์นี้เป็นใคร เราขอไม่ต่อความยาว

“ส่วนผู้ที่ยิงย่าเหลนั้นมีการพูดกันเป็นหลายกระแส บ้างก็ว่าเป็นเจ้านายที่ทรงเป็นทหารเรือ บ้างก็ว่าเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งซึ่งถูกปลดออกจากราชการในรัชกาลที่ ๖ และกลับมายิ่งใหญ่คับแผ่นดินในรัชกาลที่ ๗ ก่อนที่จะต้องออกไปประทับอยู่ที่ปีนังจนสิ้นพระชนม์

หรือบางรายก็อ้างว่าทหารเป็นผู้ยิงโดยไม่ทราบว่าเป็นสุนัขของพระเจ้าอยู่หัว เท็จจริงอย่างไรไม่มีพยานยืนยันแน่ชัด ได้แต่กล่าวอ้างกันลอยๆ”

อย่างไรก็แล้วแต่ ในกระแส discourse ของ debate นี้ ทำให้เราได้ข้อมูลแตกหน่อจาก “คนตั้งข้อหาปัญญาอ่อน” มาถึง “ไม่รู้ว่ากราบในหลวงหรือกราบหมา” จนกระทั่ง “ทหารเป็นผู้ยิงโดยไม่ทราบว่า...”

ล้วนแต่อาจเป็นความผิดพลาดโดยสุจริตใจ ซึ่งมักใช้เป็นข้ออ้างบ่อยๆ ในทางปฏิบัติของการตัดสินคดีโดยผู้พิพากษาไทย ที่ใช้กับกลุ่มคนบางสี บางฝ่ายในจุดยืนการเมือง ก็ได้

เราจึงไม่ควรที่จะต้องเฝ้ารอ จ้องหา savoir แบบ ‘เจ้านายของคุณปู่’ อยู่เสมอ มิใช่หรือ