แหม่ อุตส่าห์เลิกกฏอัยการศึก หมายใจให้ฝรั่งตกหลุมพราง หยุดต่อว่า อย่าบอยคอต
อย่างนี้ก็ ‘เสียของ’ อีกดิ มาตรา ๔๔ โดนต่างประเทศค้านอื้อ
แค่สื่อก็เกินพอ ไม่ทำเนา เข้าทำนอง ทั้งซีเอ็นเอ็น รอยเตอร์ ยันเดอะการ์เดี้ยน ล้วนอัดหนัก
(http://www.reuters.com/…/us-thailand-politics-martiallaw-id…)
เฉพาะการ์เดี้ยนนี่จัดให้ทั่นหัวหน้าโดยตรง
(http://www.theguardian.com/…/thailand-west-get-tough-prayut…)
“ประยุทธ์ก้าวร้าวเหลวไหลไม่ด้อยกว่าทรราช” ไซมอน ทิสดอล เขียนแจง
“ไม่ต่างกับเผด็จการกาน้ำสังกะสีที่ไหนในโลก กำหนดเลือกตั้งที่อ้างไว้ เลื่อนไปได้เรื่อยๆ...
ขณะเดียวกัน คณะทหาร ด้วยความอำนวยของกรรมการที่ปรึกษา และสภานิติบัญญัติแต่งตั้ง ได้เตรียมออกรัฐธรรมนูญถาวร ซึ่งมีจุดหมายหลักในการยับยั้งประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน กับสกัดกั้นไม่ให้ตระกูลชินวัตรที่ชนะเลือกตั้งทุกครั้งตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ กลับไปได้อีก”
ผู้เขียนการ์เดี้ยนบอกว่า ทั้งอียู วอชิงตัน และโตเกียว เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับสองสามของกรุงเทพฯ ได้ใช้มาตรการตักเตือนป้องกันฮุนต้าไทยเหลิงระเริงไปสู่การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไม่สิ้นสุด แต่แรงกดดันไม่พอทำให้คณะทหารชั่งคิดบ้างได้
ชาติทั้งสาม “ต้องรีบตัดสินได้แล้วว่า การขับเคลื่อนไปสู่ระบอบเผด็จการมั่นคงของประเทศไทยควรได้รับการสกัดกั้นหนักขึ้น คำตอบนั้นไม่มีข้อกังขาใดๆ เลย”
แล้วยังองค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติดาหน้ากันมา
ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์บอกว่าการประกาศใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว “ทำให้ประเทศไทยถลำลึกเข้าไปสู่ระบอบเผด็จการ
“มิตรประเทศของไทยไม่ควรหลงกลกับชั้นเชิงสลับมือนี้” แบรด แอดัมส์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเซียกล่าว “ที่แท้จริงแล้วเป็นการเพิ่มอำนาจอย่างไม่อาจตรวจสอบได้..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมตัวพลเรือนที่ไม่เห็นด้วยกับคณะยึดอำนาจ จะมีเพิ่มมากขึ้น”
ทางด้านสหภาพยุโรปแสดงปฏิกิริยาให้เห็นเป็นลายลักษณ์ ทันใดไม่รีรอ
(http://eeas.europa.eu/statements-eeas/2015/150402_01_en.html)
“แถลงการณ์โดยโฆษกของนางเฟเดริกา โมเกรินี ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปและรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เกี่ยวกับความคืบหน้าในประเทศไทย...
การนำคำสั่งเลขที่ 3/2558 มาใช้แทนที่กฎอัยการศึก ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยคืบหน้าเข้าสู่การมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยที่สามารถตรวจสอบได้...
สหภาพยุโรปขอย้ำว่าหลักนิติธรรมและการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ควรเป็นฐานในกระบวนการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทย”
สำหรับสหประชาชาตินั้น ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน นายเซอีด ราอัด อัล ฮัสเซน ออกแถลงการณ์ด้วยตนเองว่า ปกติแล้วจะเป็นที่น่ายินดีเมื่อมีการยกเลิกกฏอัยการศึก
(https://www.un.org/apps/news/story.asp?NewsID=50495)
“แต่ข้าพเจ้าประหวั่นต่อการตัดสินใจนำกฏหมายอื่นที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามาแทนที่ มันทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจล้นพ้น อันปราศจากการตรวจสอบโดยตุลาการ”
ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนยูเอ็นลงลึกไปถึงรายละเอียดอำนาจเบ็ดเสร็จของ ม. ๔๔ ที่มอบหมายแก่ ‘เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย’ สั่งห้ามการเสนอข่าว การจำหน่ายหนังสือ สิ่งพิมพ์ และสื่อชนิดอิ่นๆ ได้
การนี้ ‘ไอลอว์’ ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า
“หัวหน้า คสช. สามารถแต่งตั้งเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย อันได้แก่ทหารที่มียศตั้งแต่ร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรีขึ้นไป (ทหารชั้นสัญญาบัตร) และให้มีผู้ช่วยพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย คือทหารที่มียศต่ำกว่าเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยลงมา...
มีอำนาจออกคําสั่ง ‘เรียกให้บุคคลมารายงานตัว’ หรือมาให้ถ้อยคำ เอกสาร หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช. และสามารถ ‘เข้าร่วมในการสอบสวน’ ช่วยเหลือ หรือสนับสนุน พนักงานสอบสวนได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอำนาจใหม่ที่เพิ่มให้กับเจ้าพนักงานฯ”
(http://ilaw.or.th/node/3627)
อำนาจใหม่ ใหญ่โตคับเมือง ของคณะยึดอำนาจเหล่านี้ พี่ป้อม กลาโหม บอกว่า
“ผมเป็นไทย ผมไม่กังวล...คุณไม่มั่นใจใช่ไหม ไม่มั่นใจ ก็เรื่องของคุณ”
(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1427954110)
ส่วนทั่นหัวหน้าไม่อยากออกท่านักเลง แค่ติงท้วมๆ ซีเอ็นเอ็นเล่นแรง พาดหัวว่าทั่นจะประหารนักข่าว
อ้าว ก็ทั่นดันเล่นๆ แบบพูดจริงนี่นา ฝรั่งเขาอาจขี้นก แต่ไม่ขี้เล่นด้วยนั่น
นี่ก็เอาอีก ชอบพูดแย้งแทงกันเองสวนสองทาง อย่างเช่น
“นายกฯ เตือนสื่อ ผมไม่เคยปิดปาก ไม่เคยปิดสักเล่ม ถ้าเขียนไม่ดีแค่เรียกมาคุย...”
แต่ไอ้ตอนที่พูดต่อ กลับเป็นตรงข้าม เล่นหูแล้วตบหัว หรือไง
“ต่อไปนี้ขอให้เขียนให้ดี ถ้าเขียนไม่ดีก็จำเป็น...”
แบบนี้ถ้าไม่ใช่นักเลง ก็ต้องเรียก ‘นักรวน’
(หมายเหตุ เราไม่ไปไกลถึงเรื่องการ 'ติดกระดุม')