อาทิตย์สุดท้ายก่อนวันหย่อนบัตรเลือกผู้ว่า กทม. รู้แล้วไม่ว่า ชัชชาติ ‘แกร่งเกร็ง’ นอนมา อัศวิน ‘กล้าได้’ ไม่กล้าเสีย อาจมา วิโรจน์ ‘อย่างแรง’ คงวิ่งเลยป้าย หรือ สกลธี ‘เลือดดีย์’ ถอยหลัง ล้วนบ่งบอกต้องมีเลือกตั้งอย่างนี้ทั้งประเทศ
ก็เพราะการดีเบทรอบโน้นรอบนี้ทำให้คึกคัก มากมิติที่ชาวบ้านได้รับรู้และเรียนรู้ ผู้ออกเสียงทราบลึกลงไปอีกกับชุมชนของตน มีดีมีเสีย มีข้อสรุปและทางออกอย่างใดบ้าง ทำให้การเมืองในแนวทางประชาธิปไตย มีคุณค่าและความหมายยิ่งกว่าใดๆ
แม้นว่า ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จะจี้กลางใจหลายเรื่องที่ผู้สมัครทั้งหมดไม่ได้พูดถึง เช่น ไม่ต้องเสีย “ภาษีโรงเรือนบ้านหลังแรกไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท แต่หากคนซื้อบ้านหลังเล็ก ๓ ล้านมาแล้วหลังแรก จะมีบ้านอีกสักหลังให้ลูกหลานอีก ๓ ล้านเป็นหลังที่สอง ต้องเสียภาษี”
อีกทั้งเรื่องขยะ “ทั้งขยะเปียก (เศษอาหาร) และขยะแห้ง ขายได้ทุกอย่าง” แต่แล้วคนที่ได้ประโยชน์ทางการค้า ‘คุ้มค่า’ กลับเป็นบริษัทประมูลฝังกลบขยะ “ให้ กทม.จ่ายเงินค่าที่ แต่เมื่อขยะเต็มที่ดินแล้ว ที่ดินกลายเป็นของบริษัทขยะ”
จนกระทั่งราคาที่ดินปรับขึ้นสูง “บริษัทเอกชนได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ใครคุ้ม” มีอีก “ห้ามค้าขายริมถนน คนจนไม่มีสิทธิ์แต่เซเว่นเปิดได้ รถส่งของจอดหน้าร้าน ปิดทาง ซอยแคบหายไป ๑ เลน ไม่มีใครกล้าว่าหรือตั้งกฎห้ามเปิด”
แล้วนี่กำลังจะเปิดวีซ่า ๑๐ ปี ๕ หมื่น ลดราคาให้ต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว ทั้งที่วิธีการชักนำต่างชาตินำเงินเข้ามาจับจ่าย เป็นเจ้าของอสังหาฯ เพิ่มภาษีโรงเรือน นั่นประเทศรอบบ้านทำมาก่อนแต่เลิกกันไปจะหมดแล้ว เพราะได้น้อยเกินไป
ส่วนพวกที่มาชั่วคราวแต่ลงลึก พักอาศัยโรงแรม เกสต์เฮ้าส์ ห้องเช่าคอนโด “เก็บภาษีเท่ากัน เพราะเอา ‘ตารางเมตร’ วัดเป็นเกณฑ์ ไม่เอารายได้เป็นเกณฑ์ โรงแรมห้าดาวคืนละเป็นหมื่น แต่เกสต์เฮาส์ราคาคืนละ ๕๐๐” ชูวิทย์ถามอีก “ใครคุ้ม”
จากดีเบทครั้งล่าสุด ดูตัวอย่าง#TheStandardDebate สนุกสนานกันดี แบบว่าตั้งคำถามให้ครื้นเครง ใครชอบใครในหมู่ผู้สมัครด้วยกันเอง “ศิธา ชื่นชม ชัชชาติ ชัชชาติ ชื่นชม วิโรจน์ วิโรจน์ ชื่นชม ศิธา” วนลู้บไปจนคนดูเวียนหัว
เผ็ดมันอีกต่างหาก จากคู่ดีเบท วิโรจน์กับสกลธี คำถามเหมือนเอาไฟจี้หูด “ถ้ามีการรัฐประหาร ในระหว่างที่คุณเป็นผู้ว่าฯ ในฐานะผู้ว่าที่มาจากการเลือกตั้ง จะแสดงภาวะความเป็นผู้นำอย่างไร” ก็เข้าทางวิโรจน์เขาสิ เสียแต่มีไมค์ดับบ่อยตอนวิโรจน์พูด
พอถึงตาสกลธีไมโครโฟนไม่ยักมีปัญหาอันใด แล้วก็ตอบได้สะใจฝ่ายไม่เอารัฐประหาร เพราะมันเปิดเห็นธาตุแท้ผู้สมัครที่พวกทำลายประชาธิปไตยพยายามดันกันใหญ่ “จะมั่นใจได้ยังไงว่า รปห.นั้น ปชช.ไม่ได้อยากให้ทำ” กล้ามากพูดอย่างนี้
“มันอาจจะเป็นการรัฐประหารจากรัฐบาลที่ชั่วช้า ทรราช โกงกินก็ได้ ต้องดูบริบท...แต่จะวัดยังไงว่าปชช.ต้องการอะไร” อ้าวถ้าข้องใจก็ต้องหาวิธีวัดมาสิ จะได้รู้กันไปเลยว่าฝ่ายต้านรัฐประหารเสียท่าอย่างไร แต่ที่รู้แน่เมื่อความจริงผุดออกมาเต็ม
ว่าสกลธีนั้น การรัฐประหารอยู่ในสายเลือด ไหนจะบิดา พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เป็นอดีตเลขาธิการ คมช. (คณะรัฐประหาร ๒๕๔๙) เขาสนิทกับ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารปี ๔๙ เป็นระดับนายพลคนแรกที่สนธิ (บัง) ชวนเข้าร่วมการยึดอำนาจ
แล้วก็มารดาของสกลธีเป็นหลานของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะรัฐประหาร ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ด้วย ล้ำลึกอย่างนี้คงยากที่จะสลัดทิ้งได้ง่ายๆ มันจึงย้อนแย้งว่าสกลธีมาลงแข่งเลือกตั้ง แล้วเที่ยวบอกว่ารัฐประหารอาจจะเป็นของดีก็ได้
ไม่เพียงพันธุกรรมรัฐประหารโดยกำพืด สกลธีนับว่ามีดีเอ็นเอนักยึดอำนาจแน่นร่าง ปี ๒๕๕๐ เขาบอยคอตการเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ออกจาก ปชป.ไปร่วมมือ กปปส.พร้อมกับอีก ๓ ทหารเสือเรียกหารัฐประหารพฤษภา ๕๗
ก็ที่ได้เป็นรองผู้ว่า กทม.ซึ่งเอามาใช้อ้างว่ามีประสบการณ์บริหารงานเทศบาลนั้น ก็มาจากกระบวนการ ‘ตู่ตั้ง’ ผ่านทาง อัศวิน ขวัญเมือง คนของ คสช.โดยตรง
(https://www.facebook.com/sorrayuth9115/posts/Gl, https://twitter.com/SAHINOP/status/1525861798855192578 และ https://twitter.com/topazine/status/1525804107772022787)