Ashleigh Banfield reads letter from Stanford rape survivor
https://www.youtube.com/watch?v=8G1bNbKRfB0
ooo
คำแถลงของหญิงสาวในคดีข่มขืนภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ความยาวกว่า 7,000 คำ ได้กลายเป็นเอกสารทรงพลังที่ส่งต่อเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นให้เวลาอ่านคำแถลงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ล่าสุด ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว
คำถามของทนายจำเลย
อ่าน! แถลงการณ์ทรงพลังของหญิงสาว คดีข่มขืนในสแตนฟอร์ด
Wed, 2016-06-15 16:53
ที่มา ประชาไท
คืนหนึ่งในเดือนมกราคม 2558 ในงานปาร์ตี้หอชายของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บร็อก เทอร์เนอร์ นักศึกษาและนักกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย ข่มขืนหญิงสาวคนหนึ่งหลังถังขยะ เหตุการณ์ถูกขัดจังหวะโดยนักเรียนปริญญาเอกชาวสวีเดนที่ขี่จักรยานผ่านมา
เรื่องนี้ใช้เวลาสู้คดี 1 ปีในศาล บร็อก เทอร์เนอร์ สู้คดีว่าเขาไม่ได้ข่มขืน มันเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในอาการเมา สิ่งที่เขาทำอาจจะผิด แต่มันเป็นความประมาทที่เกิดจากอาการเมา นอกจากนี้ ตามกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้เขาหลุดจากข้อหา "ข่มขืน" เพราะบร็อกไม่ได้ใช้อวัยวะเพศของตัวเองสอดใส่เข้าไปในตัวหญิงสาว แต่ใช้นิ้วและสิ่งอื่นๆ ทำให้ข้อหาเหลือเพียง "การล่วงละเมิดทางเพศ"
"ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีคนบอกฉันอย่างนั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า แต่เพราะฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นในทางเทคนิคจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันไม่ได้ปรารถนาที่จะมีเพศสัมพันธ์ และนั่นช่างบิดเบือนความรู้สึกและทำร้ายจิตใจจนฉันแทบเป็นบ้า" ส่วนหนึ่งของคำแถลงของหญิงสาว
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2559 คณะลูกขุนทั้ง 12 คนมีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่า บร็อก เทอร์เนอร์ มีความผิด ผู้พิพากษาตัดสินให้จำคุก 6 เดือน และหากประพฤติตัวดี อาจได้รับการลดโทษเหลือเพียง 3 เดือน
ด้วยอัตราโทษที่เบา ทัศนคติของผู้พิพากษาที่เห็นว่า บร็อก เทอร์เนอร์ ไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อใคร ความเห็นของพ่อของบร็อกที่เห็นว่านี่เป็นราคาที่จ่ายแพงเกินไปจากการกระทำแค่ 20 นาที และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอกสารคำแถลงของหญิงสาว สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุกความรู้สึกของคนและจุดกระแสให้คนสนใจคดี
คำแถลงของหญิงสาว ความยาวกว่า 7,000 คำ ได้รับการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ buzzfeed มันกลายเป็นเอกสารทรงพลังที่ส่งต่อเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นให้เวลาอ่านคำแถลงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ล่าสุด ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยตามรายละเอียดดังนี้
หมายเหตุ: คำแปลชุดนี้ ได้รับความร่วมมือจากทีมอาสาสมัครเร่งด่วนจำนวน 14 คน ที่ช่วยกันแปลจนงานสำเร็จลงได้ ขอบคุณทีมแปล ได้แก่
กัปตัน จึงธีรพานิช * ขวัญระวี วังอุดม * คีตนาฏ วรรณบวร * จีรนุช เปรมชัยพร * ดวงรมณ ภาพย์ตันติ * นวพร ศุภวิทย์กุล * นันทนีย์ เจษฎาชัยยุทธ์ * ปราชญ์ ปัญจคุณาธร * พันธ์ทิพย์ สุประดิษฐ์ * พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ * สวรรยา พากเพียร * อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา * อารยา สุวรรณคำ *
และบรรณาธิการต้นฉบับแปล คือ ขวัญระวี วังอุดม และ สุลักษณ์ หลำอุบล และขอขอบคุณผู้ให้คำแนะนำเบื้องหลังอีกหลายๆ ท่าน
*************
"คุณไม่ได้รู้จักฉัน, แต่คุณได้ล่วงล้ำเข้ามาอยู่ในตัวฉัน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้เราจึงต้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่"
กราบเรียนท่านผู้พิพากษา
หากท่านเห็นควร ดิฉันขออนุญาตอ่านข้อแถลงนี้แก่จำเลยเป็นสำคัญ
คุณไม่ได้รู้จักฉัน, แต่คุณได้ล่วงล้ำเข้ามาอยู่ในตัวฉัน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้เราจึงต้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่
คืนวันเสาร์ที่ 17 มกราคม 2558 เป็นอีกคืนที่เงียบสงบ พวกเราอยู่บ้าน พ่อของฉันทำอาหารเย็น ส่วนฉันและน้องสาวซึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นั่งกันอยู่ที่โต๊ะ ปรกติฉันทำงานเต็มเวลา และตอนนั้นก็ใกล้เวลาเข้านอนของฉันแล้ว ฉันตั้งใจว่าจะอยู่บ้านดูหนังและอ่านหนังสือตามลำพังไม่ออกไปไหน ส่วนน้องสาวของฉันวางแผนจะไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ของเธอ แต่ด้วยความที่คืนนั้นเป็นคืนเดียวที่ฉันจะได้มีเวลาอยู่กับน้องสาว และฉันเองก็ไม่มีอะไรที่ดีกว่าทำ เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไปปาร์ตี้กับน้องสาวเสียเลยล่ะ มีงานปาร์ตี้โง่ๆ อยู่ห่างจากบ้านไปแค่ 10 นาที ฉันจะไปเต้นแบบหลุดโลกให้น้องสาวอายมุดโต๊ะไปเลย ระหว่างทางฉันยังพูดติดตลกกับน้องสาวว่า นักศึกษาชายปริญญาตรีพวกนั้นคงยังใส่เหล็กดัดฟันกันอยู่เป็นแน่ น้องสาวแซวกลับว่า ฉันแต่งตัวไปงานปาร์ตี้หอชายใส่เสื้อคลุมสีครีมยังกับเป็นบรรณารักษ์ ฉันยังเรียกตัวเองว่า “บิ๊กมาม่า” เพราะฉันรู้ว่าฉันต้องอายุมากที่สุดในงาน ฉันยังทำหน้าตาทะเล้น ปล่อยตัวตามสบาย และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนลืมนึกไปว่าความสามารถในการดื่มของตัวเองลดลงไปมากตั้งแต่เรียนจบ
พอจำความได้อีกที ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ตรงทางเดิน ที่หลังมือและข้อศอกของฉันมีคราบเลือดและผ้าปิดแผลติดอยู่ ฉันคิดว่าฉันคงหกล้มเลยถูกพาตัวมาอยู่ที่ออฟฟิศของฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย ฉันนิ่งสงบมาก ในใจได้แต่สงสัยว่าน้องสาวของฉันอยู่ไหน สักพักเจ้าหน้าที่แจ้งให้ฉันทราบว่าฉันถูกทำร้าย ฉันยังคงสงบนิ่งแถมยังยืนยันกับเจ้าหน้าที่กลับไปว่าเขาคงพูดผิดคนแล้ว ฉันไม่รู้จักใครในงานปาร์ตี้นั้น จนเมื่อฉันได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำ ฉันปลดกางเกงที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ฉันใส่ ตั้งใจจะถอดกางเกงชั้นในแต่กลับหามันไม่เจอ
ฉันยังจำความรู้สึกตอนที่มือสัมผัสผิวหนังแต่กลับคลำไม่เจอสิ่งที่ฉันต้องการหาได้ ฉันก้มลงมองจึงรู้ว่าไม่มีจริงๆ ผ้าบางๆ ที่คั่นระหว่างอวัยวะเพศของฉันและสิ่งอื่นหายไป ความรู้สึกภายในตอนนั้นมันนิ่งอึ้ง กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังไม่สามารถหาคำมาบรรยายความรู้สึกในขณะนั้นได้ เพื่อช่วยให้ตัวเองกลับมาหายใจได้เป็นปรกติ ฉันได้แต่คิดว่าตำรวจอาจจะใช้กรรไกรตัดกางเกงชั้นในออกเพื่อเอาไปใช้เป็นหลักฐาน
จากนั้นฉันรู้สึกว่ามีก้านสนทิ่มที่หลังคอของฉัน ฉันค่อยๆ หยิบมันออกจากเส้นผม ฉันคิดว่า ก้านเหล่านี้คงร่วงจากต้นตกมาใส่หัวฉัน สมองของฉันพยายามพูดไม่ให้ใจเสีย
เพราะลึกๆ แล้วข้างในของฉันกำลังร้องว่า ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย
ฉันย้ายห้องตรวจจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งในสภาพที่มีผ้าห่มพันรอบตัว และก้านสนยังคงทิ่มฉันอยู่ ไม่ว่าฉันเข้าไปนั่งในห้องไหน จะต้องมีก้านสนหล่นลงมาด้วยทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ให้ฉันเซ็นเอกสารที่มีคำว่า “เหยื่อข่มขืน” ฉันจึงคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ เสื้อผ้าของฉันถูกริบไว้ ฉันยืนตัวเปล่าขณะที่พยาบาลใช้ไม้บรรทัดวัดรอยถลอกและถ่ายรูปแผลบนตัวฉัน เราสามคนช่วยกันหวีเอาก้านสนออกจากเส้นผมของฉัน มือหกมือช่วยกันโกยก้านสนใส่ในถุงกระดาษ และเพื่อช่วยให้ฉันสงบลง พวกเขาบอกว่ามันเป็นแค่ดอกไม้ใบไม้เท่านั้น พวกเขาสอดผ้าก๊อซเข้าไปในอวัยวะเพศ และที่รูก้นของฉันหลายครั้ง ฉันถูกฉีดยาหลายเข็ม ถูกป้อนยา มีกล้องมาถ่ายที่หว่างขา มืเครื่องมือปากเป็ดสอดเข้ามาในตัว และมีของเหลวสีฟ้าๆ เย็นๆ มาป้ายที่อวัยวะเพศเพื่อตรวจหารอยถลอก
หลังตรวจเสร็จเป็นเวลากว่า 2-3 ชั่วโมง พวกเขาอนุญาตให้ฉันอาบน้ำได้ ฉันยืนสำรวจร่างกายตัวเองใต้น้ำที่ไหลผ่านออกมาจากฝักบัว ฉันตัดสินใจว่า ฉันไม่ต้องการร่างกายนี้อีกต่อไป ฉันรู้สึกหวาดผวา ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรเข้าไปในตัวฉันบ้าง หากร่างกายฉันถูกแปดเปื้อน ใครล่ะเป็นคนทำ ฉันอยากถอดร่างกายของฉันออกเหมือนถอดเสื้อแจ็คเก็ต และทิ้งมันไว้ที่โรงพยาบาลพร้อมกับทุกสิ่งอย่าง
เช้าวันนั้นที่โรงพยาบาล พวกเขาบอกฉันแค่ว่าฉันถูกพบอยู่หลังที่ทิ้งขยะ มีความเป็นไปได้ที่ฉันถูกสอดใส่โดยคนแปลกหน้า และฉันควรกลับมาตรวจหาเชื้อเอชไอวีอีกครั้งเนื่องจากผลตรวจมักไม่ปรากฏในทันที แต่ตอนนี้ฉันควรกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปรกติ คุณลองจินตนาการดูสิว่า คุณต้องกลับสู่โลกใบเดิมด้วยข้อมูลเพียงแค่นั้น พวกเขากอดฉันแน่น ฉันเดินออกจากโรงพยาบาลไปยังที่จอดรถ สวมเพียงเสื้อยืดกับกางเกงขายาวที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ พวกเขาอนุญาตให้ฉันเก็บไว้เพียงสร้อยคอและรองเท้า
น้องสาวเป็นคนมารับฉัน ใบหน้าของเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ทั้งยังบิดเบี้ยว สัมผัสได้ถึงความปวดร้าว ตามสัญชาตญาณ ทันทีที่ฉันเห็นหน้าน้องสาว ฉันอยากทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ฉันยิ้มและบอกให้เธอมองมาที่ฉัน ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันไม่เป็นอะไร ทุกอย่างโอเค ฉันอยู่นี่ ผมฉันสระสะอาด เขาเอาแชมพูที่กลิ่นประหลาดที่สุดมาให้ฉันใช้ ไม่เป็นไรแล้วนะ ใจเย็นๆ แล้วมองมาที่ฉัน ดูกางเกงขายาวกับเสื้อยืดที่ฉันใส่สิ ฉันดูเหมือนครูสอนพละยังไงยังงั้นเลย ไปเถอะ เรากลับบ้านกัน ไปหาอะไรกินกัน น้องสาวของฉันไม่รู้หรอกว่าผิวหนังใต้ชุดที่ฉันสวมใส่อยู่นั้นมีรอยข่วนและผ้าปิดแผลติดอยู่ ฉันรู้สึกปวดระบมที่อวัยวะเพศ อวัยวะเพศของฉันกลายเป็นสีคล้ำแปลกๆ เพราะถูกแยงหลายครั้ง กางเกงในของฉันหายไป และฉันรู้สึกว่างเปล่าเกินกว่าที่จะพูดอะไรต่อ พูดต่อว่าฉันรู้สึกกลัว ว่ารู้สึกชีวิตพังทลาย ในวันนั้น หลายชั่วโมงระหว่างขับรถกลับบ้าน ท่ามกลางความเงียบงัน น้องสาวกอดฉันไว้
แฟนของฉันไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่วันนั้นเขาโทรหาฉันและบอกว่า “เมื่อคืนผมเป็นห่วงคุณมาก คุณทำให้ผมกลัว คุณกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยไหม?” ฉันกลัวมากเพราะทำให้ฉันรู้ว่าฉันโทรหาเขาคืนนั้นตอนที่ฉันกำลังจะหมดสติ ฉันฝากข้อความเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่องในมือถือเขา เราได้คุยกันทางมือถือด้วย แต่ฉันพูดเสียงอ้อแอ้มากจนทำให้เขากลัวแทน ทำให้เขาต้องย้ำซ้ำๆ ว่าให้ฉันไปตามหาน้องสาว แล้วเขาก็ถามฉันอีกว่า เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? ถามว่าฉันถึงบ้านโดยปลอดภัยไหม? ฉันตอบกลับไปว่า ปลอดภัยดี ก่อนวางสายแล้วร้องไห้
ตอนนั้นฉันยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้แฟน หรือพ่อแม่ของฉันฟัง ว่าจริงๆ แล้วฉันอาจถูกข่มขืนหลังกองขยะ และฉันไม่รู้ว่าใครข่มขืนฉัน หรือเกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไร ถ้าหากฉันเล่าให้พวกเขาฟัง ฉันคงต้องเห็นความหวาดกลัวที่แสดงออกมาบนใบหน้าของพวกเขา และความหวาดกลัวบนหน้าของฉันจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสิบเท่า ดังนั้นฉันจึงแสร้งว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง
ฉันพยายามผลักมันออกไปจากความคิด แต่มันช่างหนักหนาเหลือเกิน ฉันไม่คุยกับใคร ฉันไม่กินอะไร ฉันนอนไม่หลับ ฉันไม่สุงสิงกับใครเลย หลังเลิกงานฉันจะขับรถไปที่ที่ลับตาผู้คน เพื่อกรีดร้อง ฉันไม่คุยกับใคร ฉันไม่กิน ไม่นอน ไม่ข้องเกี่ยวกับใคร และปลีกตัวออกห่างจากบุคคลที่ฉันรักมากที่สุด ผ่านไปมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ฉันไม่ได้รับการติดต่อจากใครเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เครื่องหมายเดียวที่พิสูจน์ว่า นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายก็คือเสื้อยืดจากโรงพยาบาลในลิ้นชักของฉัน
"ขณะอ่านข่าวจากโต๊ะทำงาน ฉันถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้พร้อมๆ กับคนทั้งโลก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงมีก้านสนติดอยู่ที่ผม มันไม่ได้หล่นลงมาจากต้น"
วันหนึ่งขณะอยู่ที่ที่ทำงาน ฉันเปิดอ่านข่าวจากมือถือ ฉันเห็นบทความหนึ่ง ในบทความนั้นเอง เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าตัวเองถูกพบหมดสติ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง มีสร้อยเส้นยาวพันอยู่รอบคอ เสื้อชั้นในถูกถอดออกนอกเดรส ชุดถูกดึงขึ้นเหนือหัวไหล่และเอว ฉันเปลือยตั้งแต่ช่วงก้นลงไปจนถึงรองเท้าบูต ขาถ่างออก ถูกสอดใส่โดยสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง โดยใครที่ฉันก็นึกไม่ออก จากบทความนั้นฉันถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ขณะอ่านข่าวจากโต๊ะทำงาน ฉันถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้พร้อมๆ กับคนทั้งโลก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงมีก้านสนติดอยู่ที่ผม มันไม่ได้หล่นลงมาจากต้น เขาถอดกางเกงในของฉันออก สอดนิ้วของเขาเข้าไปในตัวฉัน ฉันไม่ได้รู้จักเขาด้วยซ้ำ และตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้จักเขา ตอนที่ฉันอ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้ ฉันบอกกับตัวเองว่า นี่ไม่ใช่ฉันหรอก นี่ต้องไม่ใช่ฉัน ฉันไม่สามารถเข้าใจหรือยอมรับข้อมูลทั้งหมดนี้ได้เลย ฉันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าครอบครัวของฉันจะต้องมารับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ผ่านข่าวออนไลน์ ฉันอ่านต่อ ในย่อหน้าถัดมา ฉันอ่านเจอบางอย่างที่ฉันไม่อาจให้อภัยได้เลย ฉันอ่านเจอว่า เขาบอกว่าฉันชอบ ฉันชอบ ฉันชอบ เป็นอีกครั้งที่ฉันไม่สามารถหาถ้อยคำมาบรรยายความรู้สึกที่ฉันมีได้
มันเหมือนกับอ่านข่าวอุบัติเหตุรถชน โดยรถตกลงไปในคูน้ำ สภาพพังยับเยิน แต่รถคันนั้นอาจชอบให้ถูกชน บางทีรถอีกคันอาจไม่ได้ตั้งใจชน แค่เฉี่ยวนิดหน่อย อุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้นเป็นประจำ คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยให้ความสนใจ แล้วใครล่ะจะบอกได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิด
ในตอนท้ายของบทความ หลังจากที่ฉันรู้รายละเอียดการถูกล่วงละเมิดทางเพศของตัวเองแล้ว ข่าวชิ้นนั้นยังระบุสถิติรอบเวลาว่ายน้ำของเขาด้วย เธอถูกพบขณะที่ยังหายใจ แต่ไม่ตอบสนองใดๆ ชุดชั้นในอยู่ห่างออกไปหกนิ้วจากหน้าท้องที่เปลือยเปล่าและเธอนอนขดอยู่ในท่าทารก แต่อย่างไรก็ตาม เขาว่ายน้ำเก่งมาก ช่วยใส่สถิติรอบการว่ายน้ำของฉันเข้าไปด้วยสิถ้านั่นเป็นสิ่งที่เราทำกัน อ้อ ฉันยังทำอาหารเก่งด้วยนะ เขียนลงไปด้วยสิ ฉันคิดว่าตอนท้ายบทความคือส่วนที่คุณลงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมนอกหลักสูตรต่างๆ เพื่อหักลบส่วนที่น่าสะอิดสะเอียนออกไป
ในคืนที่เรื่องของฉันกลายเป็นข่าว ฉันชวนพ่อและแม่นั่งลงเพื่อบอกกับพวกเขาว่าฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ต้องดูข่าว เพราะมันจะทำให้รู้สึกแย่ ขอแค่ให้พ่อกับแม่รู้ว่าฉันยังโอเค ฉันอยู่ตรงนี้ และฉันไม่เป็นไร แต่ระหว่างที่ฉันเล่าไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น แม่ต้องเข้ามาพยุงฉันไว้เพราะฉันไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป
ในคืนถัดมาหลังจากเหตุการณ์ เขาให้การว่าเขาไม่รู้จักชื่อของฉัน เขาไม่สามารถชี้ตัวฉันได้ ไม่ได้พูดถึงว่าในคืนนั้นมีบทสนทนาระหว่างเราเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่มีการพูดคุยใดๆ นอกจากเต้นรำและจูบ เต้นรำเหรอ? ช่างเป็นคำที่ฟังดูน่ารักเสียนี่กระไร มันหมายถึงการสอดประสานนิ้วมือกันและหมุนตัว หรือเป็นแค่การเอาตัวเบียดกันในห้องที่แออัดไปด้วยผู้คน? ฉันสงสัยด้วยว่าการจูบหมายถึงแค่เอาหน้าถูกันหรือเปล่า? ตอนพนักงานสอบสวนถามเขาว่า เขาวางแผนจะพาฉันไปที่หอของเขาหรือไม่ เขาตอบว่าไม่ เมื่อพนักงานสอบสวนถามว่าเราทั้งคู่ไปอยู่หลังถังขยะได้อย่างไร เขาอ้างว่าเขาไม่รู้
เขายอมรับว่าคืนนั้นเขาจูบผู้หญิงอีกหลายคนในงาน และหนึ่งในนั้นคือน้องสาวของฉันที่ผลักเขาออก เขายอมรับว่าเขาอยากมีสัมพันธ์กับใครสักคน ฉันเป็นเหมือนละมั่งที่บาดเจ็บ โดดเดี่ยวและเปราะบาง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เขาจึงเลือกฉัน
บางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าฉันไม่ได้ไปที่งานนั้น เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นกับฉัน แต่ฉันก็ฉุกคิดว่า ถ้าไม่ใช่ฉันก็อาจเป็นคนอื่น คุณกำลังเข้าสู่ปีที่สี่ในรั้วมหาวิทยาลัยท่ามกลางผู้หญิงที่เมามายและวงปาร์ตี้ และหากนี่เป็นก้าวแรกของคุณ สมควรแล้วที่คุณจะไม่ได้ก้าวต่อไป คืนหลังจากเกิดเรื่อง เขาบอกว่าเขาคิดว่าฉันชอบ เพราะฉันลูบหลังเขา ลูบหลัง
แต่เขากลับไม่เคยพูดถึงเลยสักนิด ว่าฉันเอ่ยปากยินยอมให้ทำแบบนั้นหรือไม่ หรือแม้แต่ว่ามีการพูดคุยระหว่างเราเกิดขึ้นหรือไม่ พูดแค่ลูบหลัง และเป็นอีกครั้งที่ฉันต้องมารู้จากข่าว ว่าก้นและอวัยวะเพศของฉันอยู่ในสภาพโป๊เปลือยอะหล่างฉ่าง หน้าอกถูกขยำ มีทั้งนิ้ว ทั้งก้านสนและเศษอะไรต่อมิอะไรเข้าไปในอวัยวะเพศของฉัน ผิวหนังอันเปลือยเปล่าและหัวของฉันถูกถูไถไปกับพื้นหลังถังขยะ ในขณะที่ชายหนุ่มที่กำลังชูชันได้ที่ ได้ขึ้นไปขย่มบนร่างกึ่งเปลือยเปล่าและไม่ไหวติงของฉัน แต่ฉันจำอะไรไม่ได้ แล้วฉันจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าฉันไม่ได้ชอบสิ่งที่เกิดขึ้น
"ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีคนบอกฉันอย่างนั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า แต่เพราะฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นในทางเทคนิคจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันไม่ได้ปรารถนาที่จะมีเพศสัมพันธ์"
ตอนนั้นฉันคิดว่าไม่มีทางที่เรื่องนี้จะไปสู่การพิจารณาคดี มันมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ มีสิ่งสกปรกติดในร่างกายฉัน เขาวิ่งหนีแต่ก็ถูกจับได้ ฉันก็คิดเพียงว่าเขาจะชดใช้ ขอโทษฉันอย่างเป็นทางการ และเราทั้งคู่ก็จะก้าวต่อไป แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ฉันรู้มาว่า เขาจ้างทนายฝีมือดี พยานผู้เชี่ยวชาญ นักสืบเอกชนที่จะพยายามแกะรอยรายละเอียดชีวิตส่วนตัวของฉันเพื่อนำมาโจมตี หาช่องว่างเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของฉันและน้องสาว เพื่อแสดงว่าการละเมิดทางเพศเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เขาพร้อมต่อสู้ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อโน้มน้าวให้คนทั้งโลกเชื่อว่าที่เขาทำไปเกิดจากความสับสน
ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีคนบอกฉันอย่างนั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า แต่เพราะฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นในทางเทคนิคจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันไม่ได้ปรารถนาที่จะมีเพศสัมพันธ์ และนั่นช่างบิดเบือนความรู้สึกและทำร้ายจิตใจจนฉันแทบเป็นบ้า มันช่างเป็นความสับสนอันน่าเศร้าที่สุดที่มีคนบอกฉันว่า ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ เกือบโดนข่มขืนอย่างโจ่งครึ่มในที่โล่งแจ้ง แต่กระนั้นไม่รู้ว่าจะนับเป็นการละเมิดได้หรือยัง ฉันต้องใช้เวลาหนึ่งปีเต็มเพื่อทำให้ชัดเจนว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องในเหตุการณ์นี้
เมื่อมีคนบอกฉันให้เตรียมทำใจกรณีที่เราไม่ชนะคดี ฉันบอกกลับไปว่า ฉันไม่อาจเตรียมใจยอมรับได้ เขาผิดนับแต่นาทีที่ฉันฟื้น ไม่มีใครมาพูดให้ฉันหายจากความเจ็บปวดที่เขาทำกับฉันได้ ที่เลวร้ายที่สุดคือฉันได้รับการเตือนว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉันจำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถเขียนอะไรก็ได้ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ และจะไม่มีใครสามารถแย้งได้ ฉันรู้สึกไร้อำนาจ การสูญเสียความทรงจำกำลังถูกนำมาใช้เล่นงานตัวฉันเอง คำให้การของฉันอ่อนและไม่สมบูรณ์ และฉันถูกทำให้เชื่อว่าฉันไม่สามารถชนะคดีได้ ทนายของเขาย้ำกับลูกขุนอยู่เสมอ ว่าคนเดียวที่พวกเขาสามารถเชื่อได้คือ บร็อก เพราะว่าเธอจำอะไรไม่ได้ การรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจเช่นนี้มันสร้างความชอกช้ำใจให้ฉันยิ่งนัก
แทนที่จะใช้เวลาเยียวยาบาดแผลของตัวเอง ฉันกลับใช้มันเพื่อทบทวนรายละเอียดอันแสนเจ็บปวดในคืนนั้น เพื่อเตรียมรับมือกับคำถามของทนายจำเลยที่คงจะจาบจ้วง ก้าวร้าว และถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ฉันไขว้เขว พยายามออกแบบคำถามที่ทำให้ฉันกับน้องสาวให้การขัดกันเอง แทนที่ทนายของเขาจะถามว่า “คุณสังเกตเห็นรอยถลอกหรือไม่?” เขากลับถามว่า “คุณไม่ได้สังเกตเห็นรอยถลอกใดๆ ใช่ไหม?” มันเป็นเกมยุทธศาสตร์ ประหนึ่งเล่ห์ลวงให้ฉันไขว้เขวในคุณค่าของตัวเอง การล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นมันชัดเจนมาก แต่ฉันกลับต้องมายืนอยู่ในศาลแห่งนี้ เพื่อตอบคำถาม เช่น:
คุณอายุเท่าไหร่? คุณหนักเท่าไหร่? วันนั้นคุณทานอะไรไปบ้าง? แล้วมื้อเย็นล่ะ คุณทานอะไร? ใครทำอาหารเย็นให้คุณทาน? คุณดื่มเครื่องดื่มขณะทานอาหารเย็นหรือไม่? ไม่เลยเหรอ แม้แต่น้ำ? คุณดื่มเมื่อไหร่? คุณดื่มเยอะแค่ไหน? คุณดื่มจากภาชนะอะไร? ใครเอาเครื่องดื่มให้คุณ? ปกติแล้วคุณดื่มมากน้อยแค่ไหน? ใครพาคุณมาส่งที่งานปาร์ตี้นี้? มาส่งตอนกี่โมง? ส่งลงตรงไหนแน่ๆ? คุณแต่งตัวยังไง? แล้วทำไมคุณถึงไปที่ปาร์ตี้นี้? คุณทำอะไรเมื่อไปถึงที่ปาร์ตี้? แน่ใจหรือว่าคุณทำอย่างที่บอก? แต่ว่าตอนกี่โมงที่คุณทำอย่างนั้น? ข้อความโทรศัพท์นี้หมายความว่าอย่างไร? คุณส่งข้อความถึงใคร? คุณปัสสาวะตอนไหน? คุณไปปัสสาวะที่ไหน? คุณออกไปปัสสาวะข้างนอกกับใคร? ตอนน้องสาวคุณโทรหาคุณ มือถือคุณปิดเสียงอยู่หรือเปล่า? คุณจำได้หรือไม่ว่าคุณปิดเสียงไว้? จริงหรือ เพราะว่าในหน้า 53 คุณบอกไว้เองว่าคุณตั้งเปิดเสียงไว้? สมัยเรียนมหาวิทยาลัย คุณดื่มไหม? คุณบอกว่าคุณเคยเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง? คุณเคยเมาจนหมดสติกี่ครั้ง? คุณได้ไปปาร์ตี้ที่หอชายบ้างไหม? คุณจริงจังกับแฟนคุณแค่ไหน? คุณมีเพศสัมพันธ์กับแฟนไหม? คุณเริ่มคบหากันเมื่อไหร่? คุณเคยนอกใจมั้ย? คุณเคยมีประวัตินอกใจไหม? คุณหมายความว่าอะไรที่บอกว่าคุณต้องการให้รางวัลเขา? คุณจำได้ไหมว่าคุณฟื้นขึ้นมากี่โมง? ตอนนั้นคุณสวมเสื้อคลุมของคุณอยู่หรือเปล่า? เสื้อคลุมคุณสีอะไร? คุณยังจำอะไรในคืนนั้นได้อีกไหม? ไม่เลยเหรอ? โอเคงั้นเราให้บร็อกช่วยเติมส่วนที่ยังขาดหายไป
ฉันถูกกระหน่ำด้วยคำถามชี้นำแคบๆ ที่ชำแหละชีวิตส่วนตัว ชีวิตรัก ชีวิตในอดีต ชีวิตครอบครัวของฉันออกเป็นชิ้นๆ ถามคำถามโง่ๆ เก็บสะสมรายละเอียดปลีกย่อยเพื่อ พยายามหาข้อแก้ต่างให้กับชายผู้นี้ที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย โดยไม่แยแสที่จะถามชื่อฉันก่อนด้วยซ้ำ หลังถูกทำร้ายร่างกาย ฉันยังถูกทำร้ายด้วยคำถามที่ออกแบบมาเพื่อโจมตีฉัน เพื่อบอกว่า เห็นไหม ข้อเท็จจริงของเธอมันไม่สอดคล้องกัน เธอเพี้ยนไปแล้ว เธอมีพฤติการณ์เสพติดแอลกอฮอล์ บางทีเธออาจต้องการสัมพันธ์กับใครสักคน เขาดูเหมือนนักกีฬาใช่ไหมล่ะ ทั้งคู่ต่างก็เมา อะไรก็ตามที่เธอจำได้ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นสิ่งที่มาทีหลังข้อเท็จจริง ฉะนั้นแล้วจะไปให้ความสำคัญทำไม ชีวิตบร็อกยังมีอะไรให้ต้องเดิมพันอีกมาก ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากจริงๆ สำหรับเขา
"ฉันถูกกระหน่ำด้วยคำถามชี้นำแคบๆ ที่ชำแหละชีวิตส่วนตัว ชีวิตรัก ชีวิตในอดีต ชีวิตครอบครัวของฉันออกเป็นชิ้นๆ ถามคำถามโง่ๆ เก็บสะสมรายละเอียดปลีกย่อย เพื่อพยายามหาข้อแก้ต่างให้กับชายผู้นี้ที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย โดยไม่แยแสที่จะถามชื่อฉันก่อนด้วยซ้ำ"
และถึงทีที่เขาต้องให้การ ส่วนฉันก็ได้เรียนรู้ว่าอะไรคือการถูกทำให้กลายเป็นเหยื่อซ้ำอีกครั้ง ฉันอยากจะเตือนความจำคุณ ในคืนหลังเกิดเหตุ เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดจะชวนฉันไปที่หอของเขา เขาบอกเขาไม่รู้ว่าทำไมเราต่างไปอยู่ข้างหลังกองขยะ เขาลุกจากไปเพราะเขารู้สึกไม่ดีเมื่อถูกไล่ตามและถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว จากนั้นเขาก็พบว่าฉันจำอะไรไม่ได้
แต่หนึ่งปีผ่านไป เป็นไปตามคาด มีเรื่องเล่าแบบใหม่เกิดขึ้น บร็อกมีเรื่องเล่าเรื่องใหม่ที่แปลก มันเกือบจะเหมือนนิยายวัยรุ่นที่ภาษาเขียนห่วยๆ ที่มีรายละเอียดเรื่องการจูบ เต้นรำ โอบกอด และนัวเนียกันบนพื้น และสิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องเล่าเรื่องใหม่นี้ มันมีการยินยอมพร้อมใจ หนึ่งปีหลังเหตุการณ์ เขาเริ่มระลึกได้ว่า โอ้ใช่ ไม่ว่ายังไงตอนนั้นเธอก็พูดว่า "ได้" กับทุกๆ สิ่ง
เขาบอกว่า เขาถามฉันว่าฉันอยากจะเต้นรำไหม ดูเหมือนฉันจะตอบว่าอยาก เขาถามฉันว่าแล้วฉันอยากไปหอของเขาไหม ฉันตอบว่า อยาก จากนั้นเขาถามฉันว่าเขาจะขอใช้นิ้วกับฉันได้ไหม และฉันตอบว่าได้ ผู้ชายส่วนใหญ่เขาไม่ถามว่า ‘ใช้นิ้วได้ไหม?’ โดยทั่วไปมันเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไปจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เรื่องถาม-ตอบ แต่ดูเหมือนฉันจะให้ความยินยอมทุกอย่าง ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเขาเลย แม้ในเรื่องเล่าของเขา ฉันพูดคำเพียงแค่ 3 คำ คือ ได้ ได้ ได้ ก่อนที่เขาจะทำให้ฉันนอนอยู่ที่พื้นในสภาพเปลือยครึ่งตัว ในอนาคต ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะสามารถให้ความยินยอมได้ไหม ลองดูว่าเธอสามารถพูดจาได้เต็มประโยคหรือเปล่า คุณอาจไม่ได้ทำแบบนั้น เพียงแค่เอาคำมาปะติดปะต่อกัน มันน่าสับสนตรงไหน นี่มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ทั่วไป เป็นสิ่งที่มนุษย์เขาปฏิบัติต่อกัน
หากเป็นตามที่เขาบอก เหตุผลเดียวที่เราลงไปนอนที่พื้นก็เพราะฉันล้มลงไป ช่วยจำไว้นะ หากมีหญิงสาวล้มลง จงช่วยให้เธอลุกขึ้นมา หากเธอคนนั้นเมาเกินกว่าจะเดินไหวและล้มลงไป อย่าขึ้นคร่อม อย่าขึ้นขย่ม ถอดชุดชั้นใน แล้วสอดมือเข้าไปในอวัยวะเพศเธอ ถ้าหญิงสาวล้มลง จงช่วยเธอขึ้นมา ถ้าเธอใส่เสื้อคลุมทับชุดกระโปรง อย่าไปถอดออกเพื่อจะจับหน้าอก บางทีเธออาจจะหนาว เธอจึงสวมเสื้อคลุมไว้
คุณเล่าต่อว่า คุณวิ่งหนีเพราะคุณบอกคุณกลัว ฉันว่าคุณกลัวจะถูกจับ ไม่ใช่เพราะกลัวนักศึกษาสวีเดนสองคนนั้น ที่คุณอ้างว่าเกรงจะถูกรุมทำร้าย ช่างเป็นข้อโต้แย้งที่น่าขัน มันไม่เป็นประเด็นเลยกับการที่คุณคร่อมอยู่บนตัวฉันขณะไม่ได้สติ คุณถูกจับได้คาหนังคาเขาโดยที่คุณอธิบายอะไรไม่ได้เลย เมื่อพวกเขาตะครุบตัวคุณได้ ทำไมคุณไม่บอกล่ะว่า ‘ช้าก่อน! มันไม่มีอะไร ไปถามเธอได้ เธออยู่ตรงนั้น เธอจะบอกคุณเอง’ คุณก็แค่ถามความยินยอมจากฉัน ถูกไหม? ตอนนั้นฉันตื่นอยู่สินะ ใช่ไหม? ตอนที่ตำรวจมาและสืบเรื่องจากนักศึกษาสวีเดนที่ตะครุบตัวคุณ เขาร้องไห้หนักจนพูดไม่ได้ว่าเขาเห็นอะไร และก็อีกเช่นกัน ถ้าคุณคิดจริงๆ ว่าพวกเขาอันตราย คุณเลยทิ้งผู้หญิงในสภาพกึ่งเปลือยและวิ่งหนีเอาตัวรอดคนเดียว ไม่ว่าคุณจะสร้างเรื่องขึ้นมายังไง มันก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น
ทนายของคุณชี้ประเด็นซ้ำๆ ว่า เอาล่ะ เราไม่รู้แน่ชัดว่าเมื่อไรกันแน่ที่เหยื่อเริ่มไม่ได้สติ คุณพูดถูก บางทีฉันอาจจะยังกระพริบตา ยังไม่ถึงขั้นปวกเปียกเต็มที่ นั่นไม่ใช่ประเด็น ถึงฉันจะเมาเกินกว่าจะพูดภาษาอังกฤษรู้เรื่อง เมาเกินกว่าจะให้ความยินยอมก่อนที่ฉันจะลงไปนอนกองกับพื้น แต่ฉันไม่สมควรถูกแตะเนื้อต้องตัวตั้งแต่แรก บร็อกบอกว่า “ไม่มีตอนไหนที่เห็นว่าเธอไม่ตอบสนอง หากเมื่อใดที่ผมเห็นว่าเธอไม่ตอบสนอง ผมจะหยุดทันที” ตรงนี้ล่ะ ถ้าคุณคิดจะหยุดเมื่อฉันหมดสติจริงๆ ถ้าเช่นนั้นคุณคงยังไม่เข้าใจ คุณไม่ได้หยุดเลยแม้ตอนที่ฉันนิ่งไม่ไหวติง แต่ต้องให้มีบางคนมาหยุดคุณ ชายสองคนขี่จักรยานมาเจอว่าฉันนอนนิ่งอยู่ในความมืด ไม่ขยับตัว แล้วไล่ตะครุบตัวคุณ แล้วตอนคุณอยู่บนตัวฉัน ทำไมคุณถึงไม่รู้ล่ะ?
คุณบอกว่า คุณอยากจะหยุดและหาทางช่วยเหลือ คุณบอกแบบนั้น แต่ฉันอยากให้คุณอธิบายว่าคุณจะช่วยฉันอย่างไร ทีละขั้นตอน พาฉันผ่านเรื่องนี้ ฉันอยากจะรู้ ถ้าพวกสวีดิชจอมชั่วไม่มาเจอฉัน คืนนั้นมันจะเป็นไปอย่างไร ฉันถามคุณ คุณจะดึงชุดชั้นในที่กองที่บูตกลับเข้าที่เดิมไหม? คลายสร้อยที่พันอยู่รอบคอฉันไหม? จับขาฉันหุบแล้วคลุมตัวฉันไม่ให้เปลือยเปล่าไหม? ดึงเอาก้านสนออกจากเส้นผมของฉันไหม? ถามฉันไหมว่าฉันเจ็บตรงรอยถลอกที่คอและสะโพกไหม? คุณจะวิ่งไปหาเพื่อนแล้วขอให้เขามาช่วยพาฉันไปอยู่ในที่ที่อบอุ่นและนุ่มนวลกว่านี้ไหม? ฉันนอนไม่หลับเมื่อนึกถึงเหตุการณ์หากนักศึกษาสองคนนั้นไม่ได้เข้ามาช่วยฉันไว้ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณไม่เคยตอบได้ มันเป็นเรื่องที่คุณไม่สามารถอธิบายได้แม้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาอ้างว่าฉันถึงจุดสุดยอดหลังจากเขาล้วงฉันได้ 1 นาที พยาบาลบอกว่าในอวัยวะเพศฉันมีรอยถลอก รอยฉีกขาด และสิ่งสกปรก ของพวกนี้มันเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจะถึงจุดสุดยอด?
การที่คุณมานั่งสาบานเพื่อบอกทุกคนว่า ใช่ ฉันปรารถนามัน ใช่ ฉันเป็นฝ่ายยินยอม และคุณคือเหยื่อที่แท้จริงที่โดนชาวสวีดิชทำร้ายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั้น ช่างน่าตกใจ เสื่อม เห็นแก่ตัว และมีแต่สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น เพียงเท่านี้ก็ทำให้ฉันทุกข์ทรมานแสนสาหัส เป็นอีกประเด็นที่ใครบางคนพยายามอย่างไร้ความปรานีที่จะทำให้เหตุผลแห่งความเจ็บปวดของฉันดูเบาบางลง
ยังไม่รวมที่ครอบครัวของฉันต้องมาทนเห็นภาพที่ศีรษะฉันถูกมัดอยู่กับเตียงคนไข้แถมเต็มไปด้วยก้านสนแหลมๆ ภาพร่างกายที่เปรอะไปด้วย สิ่งสกปรก ตาปิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง แขนขาพับงออ่อนกำลัง และชุดที่ใส่ถูกถลกขึ้น ขนาดนั้นแล้ว ยังต้องมาทนฟังทนายของคุณพูดว่ารูปภาพเหล่านั้นเกิดขึ้นหลังข้อเท็จจริง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ หรือทนฟังทนายของคุณพูดว่า ใช่ พยาบาลยืนยันว่ามีรอยแดงและแผลถลอกในอวัยวะเพศของเธอและมันบอบช้ำอย่างรุนแรง แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เวลาใครก็ตามเอานิ้วสอดใส่ และเขาก็ยอมรับแล้วว่าเขาทำเช่นนั้นจริง หรือฟังทนายของคุณพยายามวาดภาพให้ฉันเป็นหญิงสาวแรดร่าน ประหนึ่งว่าใครเห็นใครก็เดาได้ ว่าเหตุการณ์อย่างนี้ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นกับฉันเข้าสักวัน หรือต้องทนฟังเขาพูดว่า เสียงฉันเหมือนคนเมาในโทรศัพท์ เพราะฉันชอบทำตัวปัญญาอ่อนและนั่นเป็นสไตล์การพูดจาแบบงี่เง่าๆ ของฉัน หรือชี้ว่าในบันทึกเสียงโทรศัพท์ ฉันบอกแฟนว่าฉันจะให้รางวัลเขาและทุกคนรู้ดีว่ารางวัลหมายถึงอะไร ฉันจะบอกอะไรให้นะ รางวัลที่ฉันจะให้ไม่สามารถถ่ายโอนให้ใครได้ โดยเฉพาะกับชายนิรนามที่เข้ามาจู่โจมฉัน
ระหว่างการพิจารณาคดี เขาสร้างความเสียหายที่ยากจะเรียกกลับคืนให้แก่ฉันและครอบครัวและเราก็ได้แต่ทนนั่งฟังอย่างเงียบๆ ฟังเขาสร้างภาพเหตุการณ์ในคืนนั้น แต่สุดท้ายแล้วคำให้การที่ไม่มีอะไรมารองรับของเขาและการบิดเบือนตรรกะของทนายไม่สามารถหลอกใครได้ ความจริงชนะ ความจริงพูดด้วยตัวมันเอง
คุณถูกตัดสินว่ามีความผิด ลูกขุน 12 คนตัดสินว่าคุณทำผิดอย่างไร้ข้อกังขาสามกระทง นั่นเท่ากับ 12 เสียงต่อหนึ่งกระทง รวมทั้งสิ้น 36 เสียงยืนยันความผิด แปลว่าผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เสียงเอกฉันท์ ดังนั้นฉันจึงคิดไปว่ามันคงจบได้เสียที คิดไปว่าในที่สุดเขาคงยอมรับความผิด ขอโทษด้วยใจจริง แล้วเราก็จะได้ก้าวพ้นเรื่องนี้ไป แล้วได้เยียวยาตัวเอง แต่แล้วฉันก็ได้อ่านคำแถลงของคุณ
ถ้าคุณหวังว่าร่างฉันจะระเบิดตายด้วยความโกรธ คุณก็เกือบสมหวังแล้วล่ะ เกือบมากจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องนักศึกษาจับคู่สมสู่กันตอนเมาแบบไร้สัมปชัญญะ การทำร้ายร่างกายนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างคุณดูเหมือนยังไม่เข้าใจ คุณดูจะสับสน ในที่นี้ฉันขอคัดลอกข้อความบางตอนจากคำแถลงของจำเลย แล้วเขียนตอบเป็นข้อๆ
คุณบอกว่า เมื่อเมาแล้วทำให้ผมตัดสินใจได้ไม่ดี และเธอก็เช่นเดียวกัน
แอลกอฮอล์ไม่ใช่ข้ออ้าง แต่ถามว่ามันใช่ปัจจัยรึเปล่า?
ใช่ ทว่าไม่ใช่แอลกอฮอล์ที่เปลื้องผ้าฉัน ใช้นิ้วสอดเข้าไปในตัวฉัน ลากหัวฉันไปกับพื้นขณะที่ตัวฉันอยู่ในสภาพเปลือยเกือบทั้งตัว การยอมรับว่าดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นความผิดพลาดของคนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างฉัน แต่นี่ไม่ใช่อาชญากรรม ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้เคยมี หรือรู้จักคนใกล้ชิดที่เคยมีคืนที่พวกเขารู้สึกเสียใจที่ดื่มมากเกินไป การรู้สึกเสียใจที่ดื่มแอลกอฮอล์นั้นไม่เหมือนกับการรู้สึกเสียใจต่อการล่วงละเมิดทางเพศ เราเมาด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ ฉันไม่ได้ถอดกางเกงกับกางเกงในของคุณ ไม่ได้สัมผัสตัวคุณอย่างไม่เหมาะสม แล้วก็วิ่งหนีไป นี่คือความต่าง
คุณพูดว่า ถ้าผมอยากรู้จักเธอ ผมน่าจะขอเบอร์โทรศัพท์เธอ แทนที่จะชวนเธอไปห้อง
ฉันไม่ได้โกรธที่คุณไม่ได้ขอเบอร์ฉัน ต่อให้คุณรู้จักฉัน ฉันก็ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แฟนฉันรู้จักฉัน แต่ถ้าเขาขอใช้นิ้วกับฉันหลังกองขยะ ฉันจะตบหน้าเขา ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มี ฉันไม่สนใจว่าคุณจะรู้หมายเลขโทรศัพท์ของพวกเธอหรือไม่
คุณพูดว่า ผมคิดแบบโง่ๆ ว่ามันโอเคถ้าจะทำสิ่งที่ทุกคนรอบตัวผมทำ นั่นคือการดื่ม ผมคิดผิด
อีกครั้ง คุณไม่ได้ผิดที่คุณดื่ม ทุกคนรอบตัวคุณไม่ได้ล่วงละเมิดทางเพศฉัน คุณผิดที่คุณทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่ทำ นั่นคือการดันจู๋ที่แข็งตัวอยู่ใต้กางเกงของคุณบนร่างที่เปล่าเปลือยและไร้แรงจะขัดขืนของฉัน ในที่มืดที่คนในงานไม่อาจมองเห็นหรือมาช่วยปกป้องฉันได้ และน้องสาวไม่สามารถหาฉันเจอ การจิบไฟร์บอล (แคนาเดียนวิสกี้กลิ่นอบเชย) ไม่ใช่อาชญากรรม การที่คุณถอดและโยนชั้นในของฉันทิ้งราวกับว่ามันเป็นกระดาษห่อลูกกวาด เพื่อสอดนิ้วของคุณเข้ามาในร่างกายฉันต่างหากที่ผิด ทำไมฉันยังต้องมาอธิบายเรื่องนี้อยู่
คุณพูดว่า ในระหว่างการพิจารณาคดี ผมไม่อยากทำให้เธอต้องกลายเป็นเหยื่อเลยแม้แต่น้อย คนที่ทำคือทนายของผม มันเป็นวิธีที่ทนายของผมใช้รับมือกับคดี
ทนายของคุณไม่ใช่แพะรับบาป เขาเป็นตัวแทนของคุณ ถามว่าทนายของคุณได้พูดสิ่งที่น่าโกรธแค้นอย่างไม่น่าเชื่อ พูดสิ่งที่เสื่อมและถ่อยหรือไม่? แน่นอนที่สุด เขาพูดว่าคุณแข็งตัว เพราะอากาศหนาว
"คุณตระหนักไหมว่าปัญหาการดื่มมันแตกต่างจากการดื่มแล้วใช้กำลังบังคับเพื่อพยายามมีเพศสัมพันธ์? ควรรณรงค์ให้ผู้ชายรู้จักเคารพผู้หญิง ไม่ใช่บอกให้เขาดื่มน้อยลง"
คุณพูดว่า คุณกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งโครงการสำหรับนักเรียนมัธยมปลายและนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโครงการที่คุณจะบอกเล่าประสบการณ์ของคุณเองที่จะ "ออกมาพูดต่อต้านวัฒนธรรมการดื่มในสถานศึกษาและความสำส่อนทางเพศที่มาพร้อมกัน"
วัฒนธรรมการดื่มในสถานศึกษา นั่นคือสิ่งที่คุณออกมาพูดคัดค้านอย่างนั้นหรือ? คุณคิดว่านั่นคือสิ่งที่ฉันใช้เวลาตลอดทั้งปีที่ผ่านมาต่อสู้อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ความตระหนักเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศในสถานศึกษา หรือการข่มขืน หรือการเรียนรู้ที่จะคำนึงถึงความยินยอม (ของอีกฝ่าย) แต่เป็นวัฒนธรรมการดื่มในสถานศึกษา
‘ไม่เอาแจ็คแดเนียล’ ‘ไม่เอาสกายวอดก้า’ ถ้าคุณอยากรณรงค์เรื่องการดื่ม ไปคุยกับวงประชุมของกลุ่มผู้ติดสุราเรื้อรังนิรนามสิ คุณตระหนักไหมว่าปัญหาการดื่มมันแตกต่างจากการดื่มแล้วใช้กำลังบังคับเพื่อพยายามมีเพศสัมพันธ์? ควรรณรงค์ให้ผู้ชายรู้จักเคารพผู้หญิง ไม่ใช่บอกให้เขาดื่มน้อยลง วัฒนธรรมการดื่มและการสำส่อนทางเพศที่มาพร้อมกัน มาพร้อมกัน เหมือนเป็นผลข้างเคียง เหมือนมันฝรั่งทอดที่อยู่ข้างจานเวลาคุณสั่งอาหาร การสำส่อนทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องในที่นี้ได้อย่างไร? ฉันไม่เห็นข่าวพาดหัวว่า บร็อก เทอร์เนอร์ กระทำผิดฐานดื่มสุรามากเกินไปเลยสำส่อนทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศในรั้วมหาวิทยาลัยต่างหากที่ต้องเป็นหน้าแรกของสไลด์พาวเวอร์พอยต์ของคุณ มั่นใจได้เลยว่า ถ้าคุณยังไม่เปลี่ยนหัวข้อการบรรยาย ฉันจะตามคุณไปทุกๆ โรงเรียนที่คุณไปพูดและจะเปิดหัวข้อบรรยายต่อจากคุณ
"คุณกำลังเข้าใจผิด ไม่มีใครชนะในเรื่องนี้ เราทั้งสองคนต่างแหลกลาญ เราทั้งสองคนพยายามหาความหมายบางอย่างในความทุกข์นี้"
ท้ายที่สุดคุณพูดว่า ผมอยากแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่า การดื่มในค่ำคืนหนึ่งสามารถทำลายชีวิตคนๆ หนึ่งได้
ชีวิตหนึ่ง หนึ่งชีวิต ชีวิตของคุณ คุณลืมนับชีวิตของฉัน ให้ฉันเรียบเรียงประโยคให้คุณใหม่ดีกว่า ฉันอยากแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่า การดื่มในค่ำคืนหนึ่งสามารถทำลายชีวิตของคนสองคน คุณและฉัน คุณเป็นต้นเหตุ ฉันเป็นผลที่ตามมา คุณได้ลากฉันลงนรกไปพร้อมกับคุณ เอาตัวฉันจมจ่อมไปกับคืนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า คุณทำลายชีวิตเราทั้งสองคน ฉันล่มสลายไปพร้อมๆ กับคุณ ถ้าคุณคิดว่าฉันยังไปต่อได้ รอดมาได้ไร้รอยขีดข่วน เหมือนฉันได้เริ่มชีวิตใหม่ ในขณะที่คุณยังต้องเผชิญลมมรสุมยักษ์ คุณกำลังเข้าใจผิด ไม่มีใครชนะในเรื่องนี้ เราทั้งสองคนต่างแหลกลาญ เราทั้งสองคนพยายามหาความหมายบางอย่างในความทุกข์นี้ ความเสียหายของคุณเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ใบปริญญา และสถานะนักศึกษา ส่วนความเสียหายของฉันเกิดขึ้นภายใน ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ฉันแบกรับมันไว้กับตัวของฉันเอง คุณเอาคุณค่าของฉัน ความเป็นส่วนตัวของฉัน พลังงานของฉัน เวลาของฉัน ความปลอดภัยของฉัน ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของฉัน ความมั่นใจของฉัน เสียงของฉันไปจากฉันจนถึงทุกวันนี้
เห็นไหม สิ่งหนึ่งที่เราเหมือนกันคือ เราต่างไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นได้ในตอนเช้า ตัวฉันกับความทุกข์ทรมานไม่ใช่สิ่งแปลกหน้าต่อกันอีกต่อไป คุณทำให้ฉันกลายเป็นเหยื่อ หนังสือพิมพ์ต่างพากันขนานนามฉันว่า “หญิงผู้เมามายจนไร้สติสตัง” สิบพยางค์พอดี ไม่มีเกินกว่านั้น จนช่วงหนึ่งฉันยังหลงคิดไปว่านั่นคือตัวตนทั้งหมดของฉัน ฉันต้องบังคับตัวเองให้เรียนรู้ชื่อจริงและอัตลักษณ์ของตัวเองใหม่ เรียนรู้ใหม่ว่า นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ฉันเป็น ว่าฉันไม่ใช่แค่เหยื่อที่ไปเที่ยวงานปาร์ตี้หอชายแล้วเมาแอ๋ก่อนถูกพบอยู่หลังกองขยะ ในขณะที่คุณเป็นนักว่ายน้ำระดับแนวหน้าของมหาวิทยาลัยชั้นนำ ยังคงสถานะผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสิน มีอะไรหลายต่อหลายอย่างในชีวิตเป็นเดิมพัน ฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอย่างไม่อาจหวนคืน ชีวิตของฉันถูกแขวนค้างเติ่งนานกว่าหนึ่งปี รอคอยเพียงเพื่อทำความเข้าใจกับตัวเองว่า ตัวฉันยังมีค่าไหม
ความเป็นตัวของตัวเอง ความเบิกบานอย่างเป็นธรรมชาติ ความอ่อนโยน และวิถีชีวิตที่แน่วแน่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ฉันเคยมีกลับถูกทำให้บิดเบี้ยวเกินกว่าที่ใครจะรับรู้ได้ ฉันกลายเป็นคนเก็บตัว โกรธแค้น ดูถูกตัวเอง เหนื่อยหน่าย ฉุนเฉียว และว่างเปล่า หลายครั้งการปลีกตัวออกจากสังคมก็ยากเกินกว่าที่ตัวฉันเองจะแบกรับไหว แต่คุณก็ไม่สามารถคืนชีวิตที่คุณพรากไปจากฉันในคืนวันนั้นให้ฉันได้อยู่ดี คุณรู้ไหมว่า ในขณะที่คุณกำลังมัวแต่ห่วงชื่อเสียงที่กำลังป่นปี้ของคุณอยู่นั้น ทุกคืนฉันต้องเอาช้อนแช่ไว้ในตู้เย็น เพราะเมื่อฉันตื่นขึ้นในตอนเช้า ฉันจะได้เอาช้อนที่แช่ไว้มาประคบดวงตาที่ปูดบวมจากการนอนร้องไห้เพื่อลดบวมและช่วยให้ลืมตาขึ้นได้ ทุกเช้าฉันเข้างานสายหนึ่งชั่วโมงเป็นประจำ หาข้ออ้างให้ตัวเองไปแอบร้องไห้ในปล่องบันได ฉันรู้จักทุกซอกหลืบในตึกที่ฉันทำงานเป็นอย่างดีและสามารถแนะนำที่ที่เหมาะที่สุดที่คุณสามารถไปนั่งร้องไห้โดยที่จะไม่มีใครได้ยินคุณ
ความเจ็บปวดมันหนักหนาเหลือเกินจนฉันต้องเล่ารายละเอียดที่เป็นเรื่องส่วนตัวให้เจ้านายของฉันฟัง ให้เจ้านายรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมฉันจึงต้องตัดสินใจลาออก ฉันแค่ต้องการเวลาเพราะฉันไม่สามารถดำเนินชีวิตวันต่อวันต่อได้อย่างปรกติ ฉันใช้เงินที่ฉันเก็บสะสมไว้ไปกับการพาตัวเองไปที่ไหนก็ได้ให้ไกลที่สุด ฉันไม่ได้กลับไปทำงานเต็มเวลาเพราะฉันรู้ว่า ในอนาคตจะต้องลาหยุดอีกเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อไปขึ้นศาล ซึ่งหมายนัดของศาลมักเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ชีวิตของฉันถูกแขวนค้างเติ่งนานกว่าหนึ่งปี โครงสร้างการดำเนินชีวิตของฉันต้องพังทลาย
ฉันเหมือนเด็กอายุห้าขวบ ไม่สามารถนอนคนเดียวโดยไม่เปิดไฟทิ้งไว้ได้ เพราะฉันจะฝันร้ายว่าถูกจับเนื้อต้องตัว และไม่สามารถตื่นจากฝันนั้นได้ ฉันต้องรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น จนฉันรู้สึกปลอดภัยพอจึงจะนอนหลับ ฉันเข้านอนเวลาหกโมงเช้า เป็นเวลาสามเดือน
"คุณได้ตีตั๋วให้ฉันไปยังดาวดวงอื่นที่ซึ่งฉันอาศัยอยู่เพียงลำพัง ทุกครั้งที่มีข่าวใหม่ๆ ออกมา ฉันจะหวาดระแวงว่าคนทั้งเมืองจะรู้ว่าฉันคือหญิงสาวที่ถูกทำร้าย ฉันไม่ต้องการความสงสารจากใคร และฉันกำลังพยายามเรียนรู้ที่จะยอมรับการเป็นเหยื่อในฐานะส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ฉัน"
ฉันเคยภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันกลัวแม้กระทั่งการออกไปเดินเล่นข้างนอกในช่วงหัวค่ำ กลัวการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่มีการดื่มกับเพื่อนๆ ซึ่งจริงๆ ควรจะเป็นที่ที่ฉันสบายใจ ฉันกลายเป็นเพรียงตัวเล็กๆ ที่ต้องคอยเกาะใครสักคนเอาไว้ ต้องให้แฟนคอยยืนข้างๆ นอนข้างๆ เพื่อปกป้องฉัน ช่างน่าอายที่ฉันกลายเป็นคนอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ น่าอายที่ฉันเอาแต่ขลาดกลัวกับการใช้ชีวิต เอาแต่ระแวดระวัง พร้อมที่จะปกป้องตัวเอง พร้อมที่จะโกรธตลอดเวลา
คุณไม่รู้หรอกว่า ฉันต้องพยายามมากแค่ไหนที่จะทำให้ส่วนที่ฉันยังอ่อนแอนั้นกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม แค่จะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันยังต้องใช้เวลานานถึงแปดเดือน ฉันไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเพื่อนหรือทุกคนรอบตัวฉันอีกต่อไป ฉันตวาดแฟน ตวาดคนในครอบครัวทุกครั้งที่พวกเขาเอ่ยถึงเหตุการณ์นี้ คุณไม่เคยปล่อยให้ฉันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย หลังฟังคำให้การ การพิจารณาคดี ฉันเหนื่อยเกินกว่าที่จะพูดอะไร ฉันเดินออกจากห้องพิจารณาคดีอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินออกไปอย่างเงียบๆ ฉันปิดมือถือเมื่อถึงบ้าน ไม่พูดกับใครอีกเป็นเวลาหลายวัน คุณได้ตีตั๋วให้ฉันไปยังดาวดวงอื่นที่ซึ่งฉันอาศัยอยู่เพียงลำพัง ทุกครั้งที่มีข่าวใหม่ๆ ออกมา ฉันจะหวาดระแวงว่าคนทั้งเมืองจะรู้ว่าฉันคือหญิงสาวที่ถูกทำร้าย ฉันไม่ต้องการความสงสารจากใคร และฉันกำลังพยายามเรียนรู้ที่จะยอมรับการเป็นเหยื่อในฐานะส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ฉัน คุณได้ทำให้บ้านเกิดของฉันเป็นที่ที่น่าอึดอัดไม่น่าอยู่
คุณไม่สามารถเอาคืนแล้วคืนเล่าที่ฉันนอนไม่หลับกลับคืนให้ฉันได้ ฉันมักจะร้องไห้จนควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งที่ดูหนังแล้วมีฉากผู้หญิงถูกทำร้าย พูดง่ายๆ ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกของเหยื่อคนอื่นๆ ได้มากขึ้น ความเครียดทำให้น้ำหนักฉันลดลง ถ้ามีใครถาม ฉันจะตอบพวกเขาว่าเพราะช่วงนี้ฉันวิ่งบ่อย หลายครั้งฉันไม่ต้องการให้ใครแตะต้องตัวฉัน ฉันต้องทำความเข้าใจกับตัวเองใหม่ว่าฉันไม่ใช่คนบอบบาง ฉันมีความสามารถ สมบูรณ์แข็งแรง ไม่ใช่คนห่อเหี่ยวและอ่อนแอ
"ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครกลับไปแก้ใหม่ได้ แต่จุดนี้เรามีทางเลือก เราสามารถเลือกที่จะให้เรื่องนี้ทำลายตัวเรา ฉันก็โกรธต่อไป เจ็บปวดต่อไป คุณก็โกหกตัวเองต่อไป หรืออีกทางคือ เราจะเผชิญหน้ากับมัน ฉันยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น คุณยอมรับบทลงโทษ แล้วเราก็ก้าวพ้นเรื่องนี้ไป"
เวลาที่ฉันเห็นน้องสาวเจ็บปวด เวลาที่เธอเรียนไม่ทัน เวลาที่เธอถูกปล้นความสุขไป เวลาที่เธอนอนไม่หลับ เวลาที่เธอพูดโทรศัพท์แล้วร้องไห้หนักจนแทบหายใจไม่ออก พยายามบอกฉันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเธอขอโทษที่ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวในคืนนั้น ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ เวลาที่เธอรู้สึกผิดยิ่งกว่าคุณ ฉันไม่ให้อภัยคุณเลย ในคืนนั้นฉันพยายามโทรตามน้องสาวฉัน แต่คุณเจอตัวฉันเสียก่อน ทนายของคุณแถลงปิดคดีโดยเริ่มว่า “[น้องสาวของโจทก์]กล่าวว่าโจทก์ปกติดี และใครเลยจะรู้ดีไปกว่าน้องสาวของโจทก์” คุณพยายามใช้น้องสาวฉันมาโจมตีฉันหรือ? ข้อโจมตีคุณอ่อนมาก ต่ำมาก จนแทบน่าละอาย อย่าได้คิดแตะต้องน้องสาวฉัน
คุณไม่ควรจะทำอย่างนี้กับฉัน ประการที่สอง คุณไม่ควรทำให้ฉันต้องต่อสู้นานขนาดนี้เพื่อที่จะบอกคุณว่า คุณไม่ควรทำอย่างนี้กับฉัน แต่ก็นั่นล่ะ ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครกลับไปแก้ใหม่ได้ แต่จุดนี้เรามีทางเลือก เราสามารถเลือกที่จะให้เรื่องนี้ทำลายตัวเรา ฉันก็โกรธต่อไป เจ็บปวดต่อไป คุณก็โกหกตัวเองต่อไป หรืออีกทางคือ เราจะเผชิญหน้ากับมัน ฉันยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น คุณยอมรับบทลงโทษ แล้วเราก็ก้าวพ้นเรื่องนี้ไป
ชีวิตคุณยังไม่ได้จบตรงนี้ คุณยังมีเวลาอีกหลายสิบปีที่จะเขียนเรื่องราวชีวิตของคุณใหม่ โลกนี้มันกว้างใหญ่ กว้างใหญ่กว่าเมืองพาโลอัลโต และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมากนัก และคุณก็สามารถหาที่ทางให้ตัวเองสร้างประโยชน์และอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่ตอนนี้คุณไม่สามารถยักไหล่และทำเป็นสับสนได้อีกแล้ว คุณไม่สามารถแสร้งได้อีกแล้วว่าคุณไม่มีชนักปักหลัง คุณถูกตัดสินว่าผิดเพราะล่วงละเมิดฉันโดยเจตนา โดยใช้กำลังละเมิดทางเพศ ด้วยเจตนาชั่วร้าย แต่คุณกลับยอมรับแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือคุณดื่มแอลกอฮอล์มา อย่าได้พูดเลยว่าชีวิตคุณพลิกผันเพราะแอลกอฮอล์ชักนำให้คุณทำเลว พยายามคิดหาทางรับผิดชอบการกระทำของตัวเองดีกว่า
"ไม่ว่าบร็อกจะว่ายน้ำเร็วแค่ไหนไม่ได้ทำให้ความรุนแรงที่เกิดกับฉันเบาบางลงแม้แต่น้อยและมันไม่ควรเป็นเหตุลดหย่อนโทษให้กับเขา"
มาถึงเรื่องบทลงโทษ
หลังจากที่ฉันได้อ่านรายงานของเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ความโกรธเข้าครอบงำฉัน ก่อนที่ฉันจะค่อยๆ สงบลงจนเหลือเพียงความเศร้าลึกๆ ภายในใจ คำแถลงของฉันถูกย่อจนใจความบิดเบือนและถูกใช้แบบผิดบริบท ฉันต้องต่อสู้อย่างหนักในคดีนี้และจะไม่ยอมให้ผลที่ออกมาถูกลดทอนโดยเจ้าหน้าที่คุมประพฤติที่พยายามจะประเมินสภาพปัจจุบันและความต้องการของฉันโดยใช้เวลาคุยเพียงแค่ 15 นาที -- 15 นาทีที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการตอบคำถามที่ฉันถามเกี่ยวกับระบบกฎหมาย บริบทเกี่ยวกับเหตุการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ บร็อกยังไม่ได้แถลง ฉันเองก็ยังไม่ได้อ่านคำแถลงของเขา
ชีวิตฉันถูกแขวนค้างเติ่งนานกว่าหนึ่งปี หนึ่งปีแห่งความโกรธ ความทุกข์ทรมาน และความไม่แน่นอน จนกระทั่งคณะลูกขุนได้พิพากษาตัดสินให้ความเป็นธรรมกับฉัน
หากบร็อกยอมรับผิด แสดงความเสียใจ และยอมชดใช้เสียแต่เนิ่นๆ ฉันคงหวังให้เขาได้รับโทษสถานเบากว่านี้ด้วยเพราะเคารพความสัตย์ซื่อของเขาและยินดีที่เราจะได้เดินหน้าใช้ชีวิตของเราต่อไป แต่เขากลับเลือกที่จะขึ้นศาล ทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นและบังคับให้ฉันต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอีกครั้งเพราะรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของฉันและการถูกล่วงละเมิดทางเพศถูกนำมาชำแหละออกเป็นชิ้นๆ อย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าสาธารณะ เขาทำให้ฉันและครอบครัวต้องจมอยู่ในความทุกข์ที่ไม่จำเป็นและยากจะอธิบายเป็นแรมปี และเขาควรได้รับผลของการท้าทายอาชญากรรมที่เขาเองเป็นคนก่อ ผลของการตั้งคำถามต่อความเจ็บปวดของฉัน ผลของการทำให้พวกเราต้องรอคอยความยุติธรรมเป็นเวลายาวนาน
ฉันบอกเจ้าหน้าที่คุมประพฤติว่าฉันไม่ได้อยากให้บร็อกเน่าตายในคุก ฉันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สมควรติดคุก แต่โทษจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีหรือน้อยกว่านั้นในเรือนจำเขตปกครองท้องถิ่นตามที่เจ้าหน้าที่คุมประพฤติเสนอนั้น ถือเป็นการลงโทษที่เบาเกินไป ถือเป็นการเย้ยหยันความรุนแรงของอาชญากรรม เป็นการเหยียดหยามฉันและผู้หญิงทุกคน เป็นการส่งสารว่าคนแปลกหน้าสามารถล่วงล้ำเข้าไปในตัวคุณได้แม้จะไม่ได้รับความยินยอมอย่างเหมาะสมและเขาจะได้รับโทษต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ฉันเห็นว่าการภาคทัณฑ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมี ฉันยังบอกเจ้าหน้าที่คุมประพฤติด้วยว่า สิ่งที่ฉันต้องการที่แท้จริงคือ บร็อกเข้าใจและยอมรับความผิดที่เขาทำ
น่าเสียดาย หลังจากที่ฉันได้อ่านรายงานของจำเลย ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงและรู้สึกว่าเขาไม่ได้สำนึกผิดหรือต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำลงไปด้วยใจจริง ฉันเคารพสิทธิในกระบวนการพิจารณาคดีของเขาอย่างเต็มที่ หากแต่หลังจากที่ลูกขุน 12 คนตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าเขากระทำผิดทางอาญาร้ายแรงสามกระทง สิ่งที่เขายอมรับมีเพียงแค่การดื่มแอลกอฮอล์ ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองทำย่อมไม่สมควรได้รับการลดหย่อนโทษ การที่เขาพยายามลดทอนข่มขืนเป็นสำส่อนเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างสุดซึ้ง โดยนิยามแล้วนั้น ข่มขืนไม่ใช่สำส่อน ข่มขืนหมายถึงปราศจากการยินยอม มันกวนใจฉันอย่างมากที่เขาไม่สามารถเห็นความต่างข้อนี้ได้
เจ้าหน้าที่คุมประพฤติให้เหตุผลว่าจำเลยยังอายุน้อยและไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ในความเห็นของฉัน เขาอายุมากพอที่จะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นความผิด ในประเทศนี้เมื่อคุณอายุครบ 18 ปี คุณสามารถร่วมรบในสงคราม เมื่ออายุครบ 19 ปี คุณโตพอที่จะรับผลของการพยายามข่มขืนผู้อื่น จริงอยู่เขายังเยาว์วัยแต่เขาก็แก่พอที่จะรู้ผิดชอบชั่วดี
และเนื่องจากนี่เป็นการกระทำผิดครั้งแรก ฉันจึงเข้าใจได้ว่าทำไมจึงมีการผ่อนผันบทลงโทษ แต่อีกด้านหนึ่ง ในฐานะที่เราอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เราไม่สามารถให้อภัยการทำร้ายทางเพศหรือการข่มขืนโดยสอดใส่นิ้วแม้จะเป็นครั้งแรก มันฟังไม่ขึ้น ความรุนแรงของความผิดฐานข่มขืนจำเป็นต้องถูกสื่อสารออกไปให้ชัดเจน เราไม่ควรสร้างวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะเรียนรู้ว่าการข่มขืนเป็นสิ่งผิดก็ต่อเมื่อต้องผ่านกระบวนการศาลหรือผ่านการทำผิดพลาดมาก่อน ผลลัพธ์ของการล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่นต้องรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้คนเกรงกลัวและหันมาไตร่ตรองให้ดีก่อนคิดลงมือทำแม้ว่าเขาจะกำลังเมาอยู่ก็ตาม ต้องรุนแรงเพียงพอเพื่อเป็นมาตรการป้องกัน
ในการพิจารณาบทลงโทษ เจ้าหน้าที่คุมประพฤติชั่งน้ำหนักจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้สละทุนสำหรับนักกีฬาว่ายน้ำที่ได้มาด้วยความยากลำบากไป ไม่ว่าบร็อกจะว่ายน้ำเร็วแค่ไหนไม่ได้ทำให้ความรุนแรงที่เกิดกับฉันเบาบางลงแม้แต่น้อยและมันไม่ควรเป็นเหตุลดหย่อนโทษให้กับเขา ถ้าผู้ที่กระทำผิดเป็นครั้งแรกเป็นคนชั้นล่าง ถูกกล่าวหาว่าทำผิดสามกระทงและไม่สำนึกผิดในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป ยกเว้นยอมรับว่าดื่มแอลกอฮอล์ คุณคิดว่าเขาจะได้รับโทษอย่างไร? ข้อเท็จจริงที่ว่า บร็อกเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงไม่ควรเป็นเหตุให้เขาได้รับการผ่อนผัน แต่เป็นโอกาสในการสื่อสารกับสังคมว่าการล่วงละเมิดทางเพศนั้นผิดกฎหมายไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นใคร มาจากชนชั้นทางสังคมไหนก็ตาม
เจ้าหน้าที่คุมประพฤติกล่าวว่า คดีนี้ เมื่อเทียบกับอาชญากรรมอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจได้รับการพิจารณาว่าร้ายแรงน้อยกว่า เนื่องจากระดับแอลกอฮอล์ในตัวจำเลย ช่างเป็นความคิดที่อันตราย ฉันพูดได้แค่เพียงเท่านี้
ที่ผ่านมาเขาทำอะไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่าเขาสมควรได้รับการผ่อนผัน? เขาเพียงแค่ขอโทษที่ดื่มแอลกอฮอล์ และยังไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เขาทำกับฉันคือการล่วงละเมิดทางเพศ เขาทำให้ฉันเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่หยุดหย่อน เขาถูกตัดสินว่าทำความผิดร้ายแรงสามกระทงและถึงเวลาแล้วที่เขาต้องยอมรับผลจากการกระทำของเขา
เขาถูกขึ้นทะเบียนตลอดชีพว่าเป็นผู้กระทำผิดทางเพศ สิ่งนี้ไม่มีวันหมดอายุ
เช่นเดียวกับที่เขาทำกับฉัน มันไม่มีวันหมดอายุ หรือจู่ๆ จะให้จางหายไปได้หลังระยะเวลาหนึ่ง มันอยู่กับฉัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ฉัน มันเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของฉันไปตลอดกาล เปลี่ยนการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน
ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมา ฉันอยากจะกล่าวคำขอบคุณกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานที่ต้มข้าวโอ๊ตมาให้ฉันในเช้าวันที่ฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ผู้แทนที่คอยอยู่เคียงข้างฉัน พยาบาลที่คอยปลอบฉัน เจ้าหน้าที่สืบสวนที่รับฟังฉันและไม่เคยตัดสินฉันเลย ทนายของฉันที่ลุกขึ้นต่อสู้เคียงข้างฉันอย่างไม่หวั่นไหว นักบำบัดที่สอนให้ฉันค้นหาความกล้าหาญในความเปราะบางอ่อนแอ เจ้านายของฉันที่ห่วงใยและเข้าใจ พ่อแม่ที่ประเสริฐสุดของฉัน ที่สอนฉันให้เปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดให้เป็นความเข้มแข็ง ย่าของฉันที่แอบเอาช็อกโกแลตเข้าไปในห้องพิจารณาคดีให้ฉัน เพื่อนๆ ที่ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าการมีความสุขนั้นเป็นอย่างไร แฟนของฉันที่รักและอดทน น้องสาวผู้ไม่ยอมแพ้ ผู้ซึ่งเป็นอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจฉัน อะลาเล ผู้เป็นแบบอย่างของฉัน ที่สู้อย่างไม่ย่อท้อและไม่เคยสงสัยในตัวฉันเลย ขอบคุณทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้สำหรับเวลาและความสนใจ ขอบคุณผู้หญิงทั่วประเทศที่เขียนการ์ดมายังอัยการเพื่อส่งต่อให้กับฉัน มีคนที่ฉันไม่รู้จักหลายต่อหลายคนที่ห่วงใยฉัน
ที่สำคัญที่สุด ฉันอยากจะขอบคุณผู้ชายสองคนที่ช่วยฉันไว้ซึ่งฉันยังไม่มีโอกาสได้พบ ฉันนอนหลับไปพร้อมกับรูปจักรยานสองคันที่ฉันวาดและแปะไว้บนหัวเตียง เพื่อที่จะได้เตือนตัวเองว่า เรื่องนี้มีวีรบุรุษที่คอยสอดส่องดูแลกัน การที่ได้รู้จักผู้คนเหล่านี้ การที่ได้รู้สึกถึงการปกป้องคุ้มครองและความรัก เป็นสิ่งที่ฉันจะไม่มีวันลืม
และท้ายสุดนี้ ถึงผู้หญิงหลายๆ คน ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ฉันอยู่เคียงข้างคุณ ในคืนที่คุณรู้สึกอ้างว้าง ฉันอยู่เคียงข้างคุณ เมื่อมีคนสงสัยในตัวคุณหรือขับไล่คุณ ฉันอยู่เคียงข้างคุณ ฉันต่อสู้ในทุกๆ วันเพื่อคุณ ดังนั้น จงอย่าหยุดที่จะต่อสู้ ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ ดังที่นักประพันธ์ ชื่อ แอน ลามอท ได้เขียนไว้ครั้งหนึ่งว่า “ประภาคารไม่ได้วิ่งพล่านไปรอบๆ เกาะ เพื่อมองหาเรือที่จะช่วย แต่ประภาคารนั้นคงอยู่กับที่และส่องแสง” แม้ว่าฉันจะไม่สามารถช่วยเหลือเรือทุกลำได้ ฉันหวังว่า จากการที่ได้พูดในวันนี้ คุณจะได้ซึมซับแสงจำนวนน้อยๆ ที่จะบอกตัวคุณเองว่า คุณไม่สามารถที่จะนิ่งเงียบ ความยินดีเพียงเล็กน้อยจากความยุติธรรมที่ได้รับ คือความมั่นใจเล็กๆ ที่เชื่อมั่นว่าเรากำลังประสบความสำเร็จ และสิ่งยิ่งใหญ่ที่พึงตระหนัก คือ คุณคือคนสำคัญ ไม่มีข้อกังขาใดๆ คุณอยู่เหนือสิ่งอื่นใด คุณงดงามและมีคุณค่า ควรต่อการเคารพนับถือ ไม่ควรถูกเพิกเฉย ทุกๆ นาทีในทุกๆ วัน คุณเข้มแข็งขึ้นและไม่มีใครจะพรากสิ่งนี้ไปจากคุณได้ ถึงผู้หญิงที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง ฉันอยู่เคียงข้างคุณ ขอบคุณค่ะ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
คดีข่มขืนใน ม.สแตนฟอร์ด คนเกือบล้านลงชื่อถอดถอนผู้พิพากษา
ooo
รอง ปธน.สหรัฐฯ ไบเดน เขียน จม.เปิดผนึกชื่นชม เหยื่อข่มขืนวัย 23 “คุณเป็นฮีโร” หลังคนร้ายนักกีฬา ม.สแตนฟอร์ดชื่อดังถูกสั่งจำคุกแค่ 6 เดือน
โดย MGR Online
10 มิถุนายน 2559
เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกไปถึงเหยื่อหญิงสาวในคดีข่มขืนมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่ยังมีชีวิต โดยกล่าวชื่นชมในความกล้าหาญของเหยื่อสาวว่า “คุณเป็นวีรสตรี” หลังจากที่ยอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวสู่สาธารณะในคดีฉาวของอดีตนักว่ายน้ำมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บร็อก ทูร์นเนอร์ (Brock Turner) ที่ได้ลงมือข่มขืนหญิงสาวนิรนามที่หมดสติวัย 23 ปี ก่อนที่จะนำเธอไปทิ้งบริเวณที่ทิ้งขยะของมหาวิทยาลัย แต่กลับได้รับการลงโทษจากศาลสหรัฐฯเพียงแค่ถูกจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน
NBC NEWS (9 มิ.ย.) ว่าคดีข่มขืนมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้เขย่าขวัญสังคมชาวอเมริกันในเวลานี้ โดยเฉพาะหลังจากที่มือข่มขืนอดีตนักว่ายน้ำมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บร็อก ทูร์นเนอร์ (Brock Turner) วัย 22 ปีถูกผู้พิพากษาศาลสหรัฐฯ แอรอน เพอร์สกี (Aaron Persky) ตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลาแค่ 6 เดือนในความผิดล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวนิรนามวัย 23 ปีที่หมดสติ ก่อนจะนำเธอไปทิ้งไว้บริเวณที่ทิ้งขยะของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วถึงปัญหาสิทธิสตรี ปัญหาการเลี้ยงดูของผู้ปกครองอเมริกัน รวมไปถึงระบบยุติธรรมของอเมริกาในการลงโทษชนอเมริกันผิวขาวที่มีฐานะชนชั้นกลาง
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดนได้เขียนจดหมายเปิดผนึกส่งไปยังเหยื่อข่มขืนรายนี้ที่ยังมีชีวิต โดยให้กำลังใจว่าเธอเป็นผู้กล้าและวีรสตรีที่สามารถนำเรื่องที่เลวร้ายเปิดเผยสู่สาธารณะ และยังประจานถึงความล้มเหลวของระบบยุติธรรมอเมริกันในการปฏิบัติต่อเหยื่อล่วงละเมิดทางเพศเช่นเธออย่างไร
ทั้งนี้ สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ไบเดนไม่ได้เอ่ยถึงตัวการใหญ่ที่ทำให้เรื่องนี้บานปลาย และลุกลาม คือผู้พิพากษา เพอร์สกี ถึงการตัดสินลงโทษที่เบาเกินเหตุความผิดอุกฉกรรจ์
โดยในจดหมายของไบเดนได้บรรยายว่า “ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของคุณ แต่ข้อความที่คุณได้เขียนผ่านจดหมายนั้น ได้จารึกบาดเข้าไปถึงจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ของผมแล้ว” ซึ่งจดหมายฉบับนี้ไบเดนได้มอบต่อให้กับสื่อออนไลน์การเมืองสหรัฐฯ Buzzfeed News
และในจดหมายของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังกล่าวต่อว่า “เป็นคำพูดที่ทุกคนไม่ว่าไม่ว่าหญิงหรือชายสมควรได้อ่าน และเป็นคำพูดที่ผมปรารถนาจากส่วนลึกของจิตใจของตัวเอง หวังว่าคุณไม่ควรมีโอกาสที่จะได้เขียนถ้อยคำเหล่านี้”
ทั้งนี้ คดีข่มขืนมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดตกเป็นที่สนใจไปทั่วอเมริกาหลังจากที่เหยื่อหญิงสาวนิรนามวัยแค่ 23 ปีได้อ่านข้อความในใจต่อศาล บรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในเดือนมกราคม 2015 และทำให้เกิดบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับเธอผู้นี้อย่างไร
และในการบันทึกเรื่องราว เธอผู้นี้ที่ในปัจจุบันมีอายุ 23 ปีได้กล่าวถึงการถูกคุกคามโดยทูร์นเนอร์ มือข่มขืน และทนายความของเขาในความพยายามที่จะล่วงรู้ไปถึงประวัติชีวิตส่วนตัวของเธอด้วยเหตุผลทางคดี และเป็นประเด็นว่า เธอเมาไม่ได้สติในขณะเกิดเหตุ ซึ่งหลักฐานการมึนเมาของเธอทำให้ผู้พิพากษาคดี เพอร์กินจากศาลคลารา เคาน์ตี (Clara County Superior Court )ใช้เป็นเหตุผลในการลงโทษจำคุกทูร์นเนอร์ คนร้ายเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น
นอกจากนี้ ในจดหมายของไบเดนยังบรรยายต่อว่า “เขารู้สึกประหลาดใจในความสามารถของเธอ ผู้ที่ถูกระทำ แต่ยังสามารถระบุถึงสิ่งเลวร้ายที่ได้เกิดขึ้นได้อย่างถี่ถ้วนในการปกป้องศักศรีของความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง” ไบเดนกล่าวต่อว่า “ผมรู้สึกเต็มไปความโกรธแค้นต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับคุณ และต่อสังคมชาวอเมริกันของพวกเราที่ยังคงมีสิ่งที่ต้องแก้ไข และทำให้คุณต้องใช้ความเป็นมนุษย์ของตัวเองเพื่อปกป้องจากสาเหตุนี้ ซึ่งมันต้องได้รับการแก้ไขต่อในสิ่งที่ได้คุณได้ถูกกระทำ แต่กลับเป็นว่าคุณได้เริ่มต้นด้วยความกล้าหาญในความหวังที่ว่า ในสักวันหนึ่งข้างหน้าอาจจะสามารถทำให้เหตุกาณ์ร้ายไม่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆในอนาคต ความกล้าหาญของคุณเช่นนี้...ช่างกล้าจนน่าใจหาย คุณช่างเป็นฮีโร่ เป็นเสมือนวีรสตรีที่มีความแข็งแกร่งซ่อนไว้อยู่ภายใน”
ซึ่งในคดีนี้เป็นที่น่าเสียดายว่าเหยื่อข่มขืนไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างจริงจังในการสืบสวนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมีรายงานว่าจดหมาย 12 หน้าจากเหยื่อข่มขืนจะได้รับการอ่านในที่ประชุมรัฐสภาคองเกรส หลังจากที่ผู้อ่านข่าวหญิงจากสถานีโทรทัศน์ช่องหลักของอเมริกาได้อุทิศเวลาถึง 30 นาทีในการอ่านจดหมายความยาว 12 หน้าผ่านหน้าจอโทรทัศน์
ในจดหมาย 12 หน้าที่เหยื่อข่มขืนได้เขียนขึ้นเพื่ออ่านในศาลมีความว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องราวของนักศึกษาขี้เมาที่ขาดสติอีกรายที่ได้แขวนชะตาชีวิตตัวเองไว้กับการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่เป็นอาชญากรรม อาชญากรรมข่มขืนไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด”
และในจดหมายของเหยื่อสแตนฟอร์ดยังกล่าวต่อถึงช่วงเวลาที่เธอต้องรับรู้กับร่างกายของตัวเองว่าเธอได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักมาก่อน หลังได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำความสะอาดร่างกายในห้องน้ำของคนไข้
“หลังจากไม่กี่ชั่วโมงที่ดิฉันถูกบรรดาแพทย์และพยาบาลตรวจสอบหาหลักฐานการล่วงละเมิดอย่างละเอียดแล้ว ดิฉันได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำความสะอาดร่างกายได้เป็นครั้งแรก ซึ่งดิฉันได้เพ่งพินิจร่างของตัวเองผ่านกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากฝักบัว และตัดสินใจว่า ดิฉันไม่ต้องการร่างกายนี้อีกต่อไป ดิฉันหวาดเกรงต่อสิ่งนี้ เพราะดิฉันไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่อยู่ภายในของตัวเอง และหากร่างกายนี้ถูกแปดเปื้อน และใครกันเล่าเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ใครเป็นผู้สัมผัสมัน ดิฉันต้องการที่จะถอดร่างกายนี้ออกจากตัวเหมือนเวลาที่คนเราเปลี่ยนเสื้อผ้า และทิ้งมันไว้ที่โรงพยาบาลพร้อมกับสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ต้องการอีกต่อไป” รายงานจากจดหมายของเหยื่อสาววัย 23 ปีผ่านการเผยแพร่ของ Buzzfeed News
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เหยื่อข่มขืนถูกช่วยมาจากบริเวณที่ทิ้งขยะ หลังจากที่มีนักศึกษาสัญชาติสวีเดน จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 2 คนขี่จักรยานผ่านบริเวณดังกล่าว และสังเกตเห็นคนร้ายกำลังโยนร่างเหยื่อทิ้งไว้บริเวณที่ทิ้งขยะ
อดีตนักว่ายน้ำมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บร็อค ทูร์นเนอร์ (Brock Turner) ผู้ต้องหาคดีข่มขืน
ooo
Vice President Joe Biden writes open letter to Stanford rape victim: ‘You were failed’
Vice President Joe Biden wrote an open letter to the victim of the Stanford University campus rape. (JIM YOUNG/REUTERS)
Source: New York Daily News
June 9, 2016
Vice President Biden praised the Stanford University campus rape victim, whose account of the assault is “forever seared on my soul,” he said.
The open letter obtained Thursday by Buzzfeed News emerged after local and national criticism on the six-month county jail sentence for Brock Turner, 20, rather than the six years in state prison recommended by prosecutors. Biden said “you were failed” in the message to the 23-year-old woman who shared the story in court of the January 2015 assault by the former All-American swimmer.
“The millions who have been touched by your story will never forget you,” Biden said. “And if everyone who shared your letter on social media, or who had a private conversation in their own homes with their daughters and sons, draws upon the passion, the outrage, and the commitment they feel right now the next time there is a choice between intervening and walking away—then I believe you will have helped to change the world for the better.”
Prosecutors released the 12-page victim impact statement following Turner's sentencing last week and slammed the lighter jail term handed down in the case by Santa Clara County Superior Court Judge Aaron Persky. A petition calling for the judge's removal from the bench has attracted hundreds of thousands of signers. Friends and family members of Turner whose letters of support Persky cited at his sentencing have also drawn outrage.
Biden told the victim he was "filled with furious anger" by what happened to her both before and after police said Turner was caught raping her outside a frat party on Jan. 18, 2015. Yet Biden said he was also "in awe of your courage," and told her, "You are a warrior—with a solid steel spine," in the letter.
"You were failed by a culture on our college campuses where one in five women is sexually assaulted—year after year after year. A culture that promotes passivity. That encourages young men and women on campuses to simply turn a blind eye," Biden said. "The statistics on college sexual assault haven’t gone down in the past two decades. It’s obscene, and it’s a failure that lies at all our feet. And you were failed by anyone who dared to question this one clear and simple truth: Sex without consent is rape. Period. It is a crime."
The vice president also applauded two Swedish graduate students, whom investigators said noticed Turner on top of the woman while riding by on bicycles and stopped to subdue him until police arrived to arrest him.
"Those two men epitomize what it means to be a responsible bystander," Biden said. "To do otherwise—to see an assault about to take place and do nothing to intervene—makes you part of the problem. Like I tell college students all over this country—it’s on us. All of us."