โดยที่บัดนี้แน่นอนว่านาย ดอแนลด์
ทรั้มพ์ มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ชาวนิวยอร์คจะเป็น ‘presumptive’
ตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน
ทั้งๆ
ที่บทบาทและคำพูดคำจาตลอดการหาเสียงของเขาที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนเบือนหน้า
แม้แต่ภายในแวดวงแกนนำพรรคของเขาเอง
“การกระหน่ำโจมตีหนังสือพิมพ์ ก่นว่าระบบตุลาการ
และอ้างอำนาจของตำแหน่งประธานาธิบดีดังได้มีการวาดด้วยโลกทัศน์ทางรัฐธรรมนูญ ที่แสดงถึงการก้าวล้ำสิทธิพื้นฐานในบทแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่หนึ่ง
ระบบแบ่งแยกอำนาจ และหลักนิติธรรม”
เหล่านั้นเป็นสิ่งที่บทความในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทมส์โดยแอดัม
ลิปแท็ค ยกขึ้นมาอ้างว่านายทรั้มพ์คุกคามต่อหลักนิติธรรม ตามความเห็นพ้องกันของนักวิชาการด้านกฎหมายข้ามฝักฝ่ายทางการเมือง
“แม้ว่าบรรดาแกนสำคัญในพรรครีพับลิกันพากันเรียงหน้าเข้าสนับสนุนว่าที่ตัวแทนพรรคผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนนี้
นักวิชาการด้านกฎหมายทั้งสายอนุรักษ์นิยมและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด libertarians ต่างเตือนว่า
การเลือกนายทรั้มพ์จะเป็นดั่งเครื่องปรุงสำหรับวิกฤตทางรัฐธรรมนูญ”
“ใครเลยจะรู้ได้ว่าดอแนลด์
ทรั้มพ์ ที่มีปากกาและโทรศัพท์อยู่ในมือ จะทำอะไรบ้าง” อิเลีย แช็ปปิโร
ทนายประจำสถาบันไลเบอร์แทเรียน เคโต ตั้งปุจฉา
“อีกแค่ห้าเดือนจะถึงวันเลือกตั้ง
นายทรั้มพ์ได้พูดแล้วว่าเขาจะ ‘ผ่อนผัน’ กฎหมายหมิ่นประมาท
เพื่อให้การฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ง่ายขึ้น เขายังขู่จะไล่จี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางให้เอาเรื่องกับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์เขา
เขายังได้ผลักดันการตอบโต้อย่างหนักกับพวกที่ประท้วงเขา
ข้อเสนอห้ามพวกมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐของเขา
ท้าทายหลักประกันเสรีภาพในรัฐธรรมนูญต่อการเลือกนับถือศาสนา กระบวนการทางกฎหมาย และสิทธิได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียม
และ
ในจุดที่ทำให้บางคนรับไม่ได้ เป็นการโจมตีผู้พิพากษา กอนซาโล พี. คิวเรียล
แห่งศาลรัฐบาลกลางในซานดิเอโก ผู้นั่งบัลลังก์พิจารณาการฟ้องร้องมหาวิทยาลัยทรั้มพ์สองคดี
ซึ่งนายทรั้มพ์กล่าวหาว่าลำเอียง และอ้างอย่างผิดๆ ว่าผู้พิพากษาเป็นคนแม็กซิกัน”
“ควรจะต้องมีการตรวจสอบผู้พิพากษาคิวเรียล
เพราะสิ่งที่ผู้พิพากษาคนนี้ทำเป็นเรื่องน่าละอายสุดๆ” ทรั้มพ์กล่าวหาแล้วยังแสดงความอาฆาต
“เอาเถอะ เราจะได้ดูกันตอนเดือนพฤศจิกา มันคงจะมันส์ทีเดียวถ้าผมได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
แล้วกลับมาฟ้องคดีแพ่ง”
เดวิด โพสต์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่บัดนี้เกษียณแล้วเขียนบทความบนเว็บไซ้ท์อนุรักษ์นิยมชื่อ
‘เดอะโวล็อกซ์
คอนสปิเรซี่’ ชี้ว่าคอมเม้นต์ของทรั้มพ์เกี่ยวกับผู้พากษานั้น
‘ล้ำเส้น’ ความเหมาะสมแห่งวุฒิภาวะ
“ตรงนี้แหละที่ระบบอำนาจนิยมเริ่มต้น
ด้วยประธานาธิบดีที่ไม่เคารพต่อตุลาการ” นายโพสต์เสริม
“คุณจะวิพากษ์ระบบตุลาการ
คุณวิจารณ์เฉพาะคดีใดคดีหนึ่งได้ คุณโจมตีผู้พิพากษาที่ตัวบุคคล แต่การเป็นประธานาธิบดีจะต้องชัดเจนว่ากฎหมายคือกฎหมาย
และคุณมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย นี่เป็นพันธะผูกพันของการเป็นประธานาธิบดี”
ปัญหาของทรั้มพ์นอกเหนือจากการล่วงล้ำความเป็นอิสระของผู้พิพากษา
เขายังขาดความมุ่งมั่นต่อระบบแบ่งแยกอำนาจและหลักการของระบบรัฐบาลกลาง หรือ federalism ด้วย
แรนดี้ อี. บาร์เน็ตต์
ศาสตราจารย์ทางกฎหมายที่มหาวิทยาลัยจ๊อร์จทาวด์ ผู้ซึ่งเป็นคนสร้างรากฐานให้กับการต่อต้านระบบประกันสุขภาพของประธานาธิบดีโอบาม่า
บอกว่าเขาเองยังกังขาว่าทรั้มพ์จะไม่มีในทั้งสองกรณี
“คุณอยากได้ประธานาธิบดีซึ่งมีวิสัยทัศน์บ้าง
เกี่ยวกับข้อจำกัดโดยรัฐธรรมนูญต่ออำนาจของประธานาธิบดี ต่ออำนาจของสภาคองเกรส
และต่ออำนาจของรัฐบาลกลาง และผมข้องใจว่าเขาจะมีจิตสำนึกถึงข้อจำกัดเหล่านั้น”
เวลานี้ผู้นำพรรครีพับลิกันหลายคนออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่า
ถ้าหากได้รับเลือกตั้งแล้วทรั้มพ์จะเคารพหลักนิติธรรม
“เขาจะมีที่ปรึกษากฎหมายประจำทำเนียบขาว”
วุฒิสมาชิก มิตช์ แม็คคอนเนิล
หัวหน้าเสียงข้างมากในสภาสูงให้ความเห็นแก่โฆษกรายการสนทนาทางวิทยุ “จะมีคนที่คอยชี้แนะว่าอะไรทำได้อะไรไม่ได้”
อีกคนที่เคยท้วงติงการพูดจาสามหาวของทรั้มพ์ระหว่างการหาเสียง
วุฒิสมาชิกจอห์น แม็คเคน
แห่งรัฐอริโซน่าที่เคยเสนอตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบของพรรครีพับลิกันเหมือนกัน
หันมาให้การสนับสนุนทรั้มพ์อย่างลังเล เชื่อว่า
“เรามีสถาบันทางการปกครองที่จะยับยั้งไม่ให้ใครบางคนหาทางยืดอำนาจออกไปนอกเหนือกรอบแห่งรัฐธรรมนูญ
เรามีคองเกรส เรามีศาลสูงสุด เราไม่ใช่โรมาเนีย” แม็คเคนให้ความเห็น
“เรามีสถาบันต่างๆ
รวมทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ ที่ยังเข้มแข็งพอทัดทานบทบาทที่ไม่ต้องตามรัฐธรรมนูญได้”
ทว่า ศจ.โพสต์แย้งว่าความเห็นเช่นนั้นหวังดีไปหน่อย
ในเมื่อฝ่ายบริหารเป็นส่วนที่เด่นเหนือกว่าแขนงอำนาจอื่นๆ “ประธานาธิบดีมีอำนาจโดยตรงในการบังคับใช้กฎหมาย
เป็นอำนาจหนึ่งในสามแขนงที่มีปืนอยู่ในมือ”
ผู้นำการเมืองฝ่ายรีพับลิกันเคยกล่าวหาประธานาธิบดีโอบาม่าว่าขยับกล้ามมากไปในการใช้อำนาจทางการบริหาร
แต่นักวิชาการกฎหมายบางรายอย่างเช่น ริชาร์ด เอ็ปสไตน์ ของสถาบันฮูเวอร์
ซึ่งสอนอยู่ที่นิวยอร์คยูและยูออฟชิคาโก คิดว่ากับประธานาธิบดีทรั้มพ์
ปัญหานี้จะหนักไปใหญ่
“ผมไม่คิดว่าเขาแคร์กับการแบ่งแยกอำนาจแม้สักนิด”
ศาสตราจารย์เอ็ปสไตน์เปรียบเทียบว่าประธานาธิบดีจ๊อร์จ ดับเบิ้ลยู “มักจะทำอะไรเกินไปกว่าที่เขาควรทำ
ผมคิดว่าประธานาธิบดีโอบาม่ายิ่งแย่กว่าที่ทำอย่างนั้นบ่อยๆ...
แต่กับทรั้มพ์
ผมว่าเขาไม่แม้แต่จะคิดว่านี่เป็นประเด็นต้องคำนึง
เขาเอาแต่บอกว่าอะไรที่อยากจะทำก็จะทำ ทรั้มพ์เองพุดว่าเขาจำทำแบบโอบาม่านี่แหละ
แต่ทำให้ดีกว่า ในการใช้อำนาจทางการปกครองแบบเกินพิกัด
โดยเฉพาะกับกรณีคนต่างด้าวเข้ามาหากินในประเทศอย่างผิดกฎหมาย
ทรั้มพ์ไม่ต่างกับผู้นำคณะรัฐประหารไทยที่ชอบบ่นว่าหนังสือพิมพ์เมื่อถูกวิจารณ์ในทางเห็นต่าง
(ไม่รู้ใครเอาอย่างใคร น่าจะเป็นการบังเอิญในเรื่องจิตสำนึกทางอำนาจ) เขาขู่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์และนิวยอร์คไทมส์
เขาพูดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า
การใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหายเป็นเงินมหาศาล ต่อการที่หนังสือพิมพ์เหล่านี้ตีพิมพ์บทความทางลบต่อเขา
เป็นหนทางตีกลับได้ชงัดในเมื่อพวกนี้ได้รับการปกป้องจากบทแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่หนึ่ง
อิเลีย โซมิน
ศาสตราจารย์ทางกฎหมายมหาวิทยาลัยจ๊อร์จ เมสัน เห็นว่าการพูดอย่างนั้นเป็นการทรยสละเลยต่อสิทธิในการแสดงความเห็นเสรี
“เขาแสดงถึงการละเมิดเสรีภาพหนังสือพิมพ์และสิทธิมนุษยชนพื้นฐานในบทแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่หนึ่ง”
เท่าที่ผ่านมาบทบาทของทรั้มพ์ในการหาเสียง
อันเต็มไปด้วยคำพูดก้าวร้าว (น.ส.พ.นิวยอร์คไทมส์รวบรวมไว้ได้ ๒๒๔ รายการ)
ใครต่อใคร เขาว่าคู่แข่งในพรรคว่าโหกบ้าง แหยบ้าง ดูถูกลาติโน่เป็นพวกอาชญากร
กล่าวหามุสลิมทุกคนติดเชื้อก่อการร้าย หยามเหยียดเพศหญิงว่าแค่อ้าง ‘women card’ แต่กลับได้รับเสียงสนับสนุนในพรรครีพับลิกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งสามารถกำชับคะแนนนิยมขาดลอยสำหรับการได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรค
ทำให้ฝ่ายแกนนำในพรรคต้องยอมรับทรั้มพ์
แม้ตระกูลบุสช์จะแถลงไม่สนับสนุนทรั้มพ์ แต่พอล ไรอัน
ประธานสภาผู้แทนที่โต้แย้งกับทรั้มพ์มาตลอด ท้ายที่สุดจำต้องประกาศให้การสนับสนุนเพื่อความสมานฉันท์ในพรรค
โดยมิวายต้องออกมาโจมตีทรั้มพ์ในวันรุ่งขึ้นเมื่อปรากฏความไม่ชอบมาพากลเรื่องเงินบริจาคทหารผ่านศึก
ทางด้านสื่อ โดยเฉพาะฟ็อกซ์นิวส์
สื่อในสายอนุรักษ์นิยมที่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทรั้มพ์ เพราะเขาตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์หลังจากที่แสดงความโกรธต่อผู้ประกาศหญิงเมกิน
เคลลี่ ระหว่างการโต้วาทีผู้เสนอตัวรีพับลิกันครั้งแรกที่เธอเป็นหนึ่งในคณะผู้ตั้งคำถาม
ครั้นเมื่อรอเจอร์ ไอลร์
นายใหญ่ฟ็อกซ์นิวส์เห็นว่าจำเป็นต้องจูบปากกับทรั้มพ์ ส่งเมกินไปขอโทษแล้วนัดหมายให้เธอสัมภาษณ์ทรั้มพ์ตัวต่อตัวออกไพรม์ไทม์
ผลออกมาด้วยบรรยากาศถ้อยทีถ้อยสนทนา ลดภาพห้าวของทรั้มพ์ลงไปได้บ้าง ส่วนทางเมกินยิ่งเด่นขึ้นไปอีก
ขนาดอีกไม่กี่วันต่อมาเธอสามารถวิพากษ์ทรั้มพ์ใหม่อย่างตรงไปตรงมา
ท่าทีปากเปราะ ก้าวร้าว
ห้าวเหิมของทรั้มพ์ในการหาเสียง ได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะ ‘สะใจ’ ฐานเสียงพรรครีพับลิกันในส่วนที่เป็น
‘บลูคอลลาร์’ ระดับผู้ใช้แรงงาน ที่เปรียบประดุจดังข้าวนอกนาในกระแสการเมืองภายในพรรค
หลังจากเวลาเกือบแปดปีที่ความพยายามหักล้างผลงานต่างๆ
ของประธานาธิบดีโอบาม่าไม่สำฤทธิ์ผล โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพถ้วนหน้า หรือข้อกล่าวหาโอบาม่าเป็นมุสลิมสังคมนิยม
ทำให้พรรครีพับลิกันเริ่มระส่ำ แม้กระทั่งขบวนการ ‘ทีพาร์ตี้’ ก็ยังเปลี้ยแรง
พรรคขาดแกนนำเด่นในปีเลือกตั้งประธานาธิบดี
ความสามหาวของทรั้มพ์
และท่าทางอย่าง ‘renegade’ ห่ามห้าวของเขาถูกตีความว่าเป็นจุดขายของบุคคลิกผู้นำแนวใหม่ ซึ่งเมื่อถึงเวลาได้เป็นประธานาธิบดีแล้วเขาจะสามารถดำเนินนโยบายอย่างสมเหตุสมผลได้
แม้นว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดง ‘คม’
ลึกใดๆ ในวิสัยทัศน์ทางนโยบาย
อุบัติการณ์ทรั้มพ์ในอเมริกาไม่ใช่
‘ชะตากรรม’ เหมือนการเกิดขึ้นของผู้นำจากการรัฐประหารในประเทศไทย แม้นว่าจุดขาย
(ไม่ออก) จะเหมือนกันที่ ‘ปากเสีย’ ทรั้มพ์ยังจะต้องเผชิญคู่แข่งสำคัญจากพรรคเดโมแครท
ที่ค่อนข้างแน่ว่าจะเป็นนางฮิลลารี่ คลินตัน
ซึ่งขณะนี้ประเมินว่าผู้เสนอตัวหญิงจะเอาชนะทรั้มพ์ด้วยคะแนนผู้เลือกตั้ง
หรือ electoral votes จำนวน ๓๔๗ ต่อ ๑๙๑ เว้นแต่เมื่อถึงวันเลือกตั้ง ทรั้มพ์สามารถทำคะแนนนิยมเพิ่มให้แก่ตนเองอีก
๑๐ เปอร์เซ็นต์
หากแต่แบบบทอย่างทรั้มพ์ที่เป็นอยู่ไม่น่าที่จะเรียกคะแนนเพิ่มได้อีกกี่มากน้อย
เมื่อฤดูการหาเสียงเบื้องต้นกำลังจะสิ้นสุดลง หลังการออกเสียงไพรมารี่ในแคลิฟอร์เนียวันอังคารนี้
การจะเปลี่ยนจุดขายหรือท่าทีใหม่ก็ยังช่วยไม่ได้
ในเมื่อสัดส่วนคะแนนเสียงที่ทรั้มพ์กีดกันเสียเองแต่แรกด้วยการจ้วงจาบ
คือลาติโน่หรืออิสแปนิค นั้นอยู่กับพรรคเดโมแครทเป็นส่วนใหญ่
ในแง่ demographic หรือภูมิภาพประชากรของการเลือกตั้ง
ชนอิสแปนิคเป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วมากจนมีขนาดเป็นอันดับสองของประเทศไปแล้ว
เทียบได้กับกลุ่มชนในภาคอีสานและเหนือของไทยที่ส่วนมากเป็น
‘เสื้อแดง’
ซึ่งคณะทหาร ‘ฮุนต้า’ ชอบทำตำบอนหยามเหยียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน