งานสวดอภิธรรมศพ ท่านทูตศักดิชัย บำรุงพงศ์(เสนีย์ เสาวพงศ์) ณ วัดธาตุทอง
สำหรับท่านที่พลาดโอกาสไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพ ของคุณ ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์)
ท่านยังมีโอกาสไปร่วมงานได้นะครับ (โปรดอ่านจากป้ายนี้ !!!)
ป.ล. ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Sa-nguan Khumrungroj บก. สำนักข่าวหงวนจัดให้ นะครับ
ooo
|
“เสนีย์ เสาวพงศ์” ผู้เป็น "คันฉ่อง" สะท้อน"ความอยุติธรรม" ตำนานนักเขียนแห่งประชาชนชาวไทย
ที่มา มติชนออนไลน์
ข่าวการสูญเสียของวงการวรรณกรรมไทย เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คือการสูญเสียของเจ้าของนามปากกา "เสนีย์ เสาวพงศ์" ตำนานนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ของเมืองไทย ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ที่เสียชีวิตอย่างสงบในวัย96ปี
ชื่อ "เสนีย์ เสาวพงศ์" อันเป็นนามปากกาของ "ศักดิชัย บำรุงพงศ์" เป็นชื่อที่หนอนหนังสือ และผู้ที่เคลื่อนไหว(และเคยเคลื่อนไหว) ทางการเมืองและสังคมคุ้นหูเป็นอย่างดี ในฐานะเจ้าของผลงานวรรณกรรมชิ้นสำคัญและทรงอิทธิพลทางความคิดและจิตสำนึกทางการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้
นามปากกา "เสนีย์ เสาวพงศ์" ผลิตงานจำนวนมากออกมา ตลอดระยะเวลา 6 ทศวรรษ ในวงการวรรณกรรมไทย งานเขียนของเสนีย์ เกี่ยวข้องเเละสัมพันธ์กับกระเเสวรรณกรรมต่างๆของสังคมไทย ทั้งในเชิงการจุดกระแสวรรณกรรมและสร้างสรรค์ผลงาน รวมถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางวรรณกรรมต่างๆ
ขณะที่ความสูญเสียครั้งนี้นั้น นอกจากแสดงให้เห็นถึงความสูญเสียด้านวรรณกรรมครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังเป็นการสูญเสียบุคคลผู้เป็นพ่อของลูก ซึ่ง นางสาวศราพัส บำรุงพงศ์ บุตรสาว เปิดเผยกับ "มติชนออนไลน์"แสดงความรู้สึกว่าในฐานะลูก ถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก โดยตนมีความตั้งใจว่าจะพยายามเผยเเพร่งานของพ่อให้เผยเเพร่มากขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่างานเขียนของพ่อเป็นวรรณกรรมที่สร้างเเรงบันดาลใจให้สังคมอย่างมาก อาทิวรรณกรรมเรื่อง"ปิศาจ"ที่กลายเป็นคัมภีร์ของนักศึกษา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหนังสือต้องห้ามในยุค 14 ตุลา และ 6ตุลา โดยถูกผู้ปกครองซึ่งเป็นเผด็จการยุคนั้นตามเผาถึงร้านหนังสือ แต่บางส่วนก็สามารถเหลือรอดมาได้จนถูกตีพิมพ์ขึ้นใหม่จนถึงทุกวันนี้
ทั้งนี้หนังสือเล่มดังกล่าวได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักคิด นักเขียนรุ่นใหม่จำนวนมาก เช่น ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อ.คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เพิ่งเขียนถึงคุณพ่อ และกล่าวว่า หนังสือเรื่อง"ปีศาจ" และ"ความรักของวัลยา" เป็นวรรณกรรมที่ทำให้ตนเปลี่ยนความคิดและจุดประกายในหลายเรื่องๆ ทั้งนี้ในช่วงท้ายของชีวิต พ่อได้สอนในหลายๆเรื่องโดยเฉพาะการที่พ่อเป็นลูกชาวนา ก็ได้สอนให้ตนทำตัวให้อ่อนน้อม เป็นประโยชน์ต่อคนเล็กคนน้อยในสังคม เหมือนรวงข้าวยามแก่ตัวที่โน้มตัวลงสู่ดิน
"คือ คุณพ่อนี่มาจากลูกชาวนา คุณพ่อจะสอนเสมอว่า ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน จะทำอะไร ว่าอย่าลืมว่าเราคือธุลีดิน และทำตัวให้เหมือนรวงข้าว ที่พอใกล้จะสุก ก็จะโน้มลงดิน คือทำตัวให้เป็นประโยชน์ เหมือนกับข้าวที่เลี้ยงท้องประชาชน แต่เราต้องไม่หยิ่ง ไม่ผยอง ไม่ทรยศประชาชน " นางสาวศราพัส กล่าว
"ศราพัส"ยังยกตัวอย่างความพยายามเข้าใจและเห็นอกเห็นใจคนคนของพ่อ โดยยกตัวอย่างว่า
"คุณพ่อจะเป็นผู้ที่มีความเมตตาสูงมากกับผู้น้อย โดยเฉพาะกับคนระดับล่างของสังคมที่คนไม่ค่อยสนใจและอยากเหยียวเเล เช่นอย่างไปร้านอาหารก็คุยจนสนิทสนมกับเด็กเสิร์ฟ บางทีไปเล่นคุยตลกกับเขาจนถูกคุณแม่ดุบ่อยๆว่าเขาไม่รู้เรื่อง ไม่รับมุขกับเธอหรอก ก็เป็นอะไรที่ลูกๆเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าคุณพ่อไม่ถือตัว มีเมตตาสูง และคุณพ่อเป็นคนยุติธรรม เป็นคนที่ยุติธรรมมาก"
ด้าน รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร นักวิชาการด้านวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยกับ "มติชนออนไลน์"ว่า นามปากกา" เสนีย์ เสาวพงศ์ "เป็นนักเขียนที่สร้างอิทธิพลให้กับคนหนุ่มสาวรุ่นหลังอย่างมาก ในการต่อสู้ของนิสิตนักศึกษายุค 14 ตุลาคม 2516 โดยเฉพาะเรื่อง"ปีศาจ" และ"ความรักของวัลยา" ถือเป็นผู้ที่บุกเบิกวงการวรรณกรรมไทยในหลายมิติ ทั้งในส่วนการใช้ภาษา โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่งานเขียนของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ถือเป็นคนที่บุกเบิกการนำเสนองานเขียนในวิธีคิดที่เห็นว่าศิลปะต้องเป็นไปเพื่อการรับใช้ชนหมู่มากในสังคมเป็นศิลปะเพื่อชีวิตช่วงเดียวกันกับศรีบูรพาซึ่งนำเสนอการต่อสู้ทางชนชั้นและอุดมคติที่ให้คนหนุ่มสาวทำงานควรจะทำงานเพื่อคนส่วนรวมจนกล่าวได้ว่าไม่มีใครที่เคยต่อสู้เพื่อสังคมและไม่เคยอ่านงานเขียนเรื่อง"ปีศาจ" และ "ความรักของวัลยา" ที่เป็นการนำเสนอความคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และถือเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมากต่อคนหนุ่มสาว
ขณะที่งานเขียนยุคหลังอย่างเรื่อง "บัวบานในอะมาซอน" หรือ "ไฟเย็น"ที่กล่าวได้ว่าอาจจะเป็นวรรณกรรมยุคหลังอาณานิคมหรือ Postcolonial literature ของไทย ที่นำเสนอเรื่องราวของคนหนุ่มสาวในอเมริกาใต้ยุคหลังที่เจ้าอาณานิคมออกไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องสั้นและความเรียงจำนวนมาก ดังนั้น การสูญเสียครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของสังคมไทย เป็นนักเขียนที่ได้ชื่อว่าเป็น "คันฉ่อง" และ "โคมฉาย"ผู้ที่สะท้อนให้เห็นความไม่เท่าเทียมในสังคม แต่ก็ได้ให้ความหวังในการเปลี่ยนแปลงกับคนรุ่นใหม่ และจะมีผลงานที่เป็นอมตะตลอดไป ไม่มีวันตาย
ประเด็นสำคัญเลยของอาจารย์ คือ การเป็นนักเขียน ไม่ได้เขียนเพื่อรับใช้อารมณ์ส่วนตัว งานของอาจารย์เป็นงานเพื่อคนส่วนใหญ่ตามแนวทางศิลปะเพื่อชีวิต อย่างที่ปรากฏในงานเขียนเรื่อง "ความรักของวัลยา"ที่เห็นว่าศิลปะที่ดีต้องทำเพื่อคนส่วนมากไม่ใช่ระบายอารมณ์ส่วนตัว แม้เรื่องราวที่ท่านเขียนจะเป็นเรื่องความรักของหนุ่มสาว แต่อาจารย์เคยไปบรรยายที่คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯว่า อาจารย์พูดถึงความรักระหว่างชนชั้น แต่ในการพูดถึงความรักระหว่างชนชั้น อาจารย์พูดให้เห็นว่าสังคมมันไม่เท่าเทียมและความแตกต่างทางชนชั้นมันยังมีอยู่ และเป็นสิ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราจะเห็นแนวคิดนี้อยู่ในงานเขียนอาจารย์ทุกเรื่อง ทุกเล่ม จนถือเป็นแกนหลักของงานอาจารย์ ซึ่งเป็นวรรกรรมที่สร้างวาทกรรมชุดใหม่ในช่วงนั้นที่ทำให้เห็นว่าศิลปะควรรับใช้สังคม" รศ.ดร.ตรีศิลป์กล่าว
ทั้งนี้นายศักดิชัยถือเป็นนักคิดนักเขียนเจ้าของผลงานวรรณกรรมชื่อดังหลายเรื่อง และนักหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก จนได้รับเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เมื่อปี 2528 และได้รับรางวัลศรีบูรพาอีกด้วย