วันพุธ, มิถุนายน 10, 2558

มองมองโกเลีย มองไทย : ชำนาญ จันทร์เรือง

เมื่อวันที่ ๕-๖ พ.ค.ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปพูดให้นักสิทธิมนุษยชนมองโกเลียฟังในงานประชุมใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล มองโกเลีย และได้มีโอกาสได้พบปะพูดคุยในเรื่องราวต่างๆมากมาย นอกเหนือจากเรื่องสิทธิมนุษยชนแล้ว ยังได้ความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองของมองโกเลียโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องของการปกครองท้องถิ่นซึ่งอยู่ในความสนใจเป็นพิเศษของผมอยู่แล้ว ทำให้ทราบว่าแม้ว่ามองโกเลียจะมีประชาธิปไตยหลังไทยเราตั้งนาน แต่มีวิวัฒนาการไปไกลกว่าเรามาก

มองโกเลียเป็นดินแดนที่ห่างไกลจากความรู้จักของคนไทยมาก มีคนไทยน้อยคนที่ได้เดินทางไปเยือน ร้านอาหารไทยเราที่มีชื่อเสียงแพร่หลายไปทั่วโลก แต่ที่อูลานบาตอร์ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ถึงล้านกว่าคนกลับไม่มีใครรู้จักร้านอาหารไทย สอบถามแล้วได้คำตอบเพียงว่ามีเพียงร้านเดียวหรือสองร้านเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือมีโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ไปเปิดสาขาที่นั่นด้วย ถามคนมองโกเลียแล้วได้รับคำตอบว่าถึงแม้จะแพงกว่าโรงพยาบาลในพื้นที่แต่ก็ยังถูกกว่าที่ต้องเดินทางไปรักษายังต่างประเทศ

มองโกเลียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว่า ๑.๕ ล้านตารางกิโลเมตร(สามเท่าของประเทศไทย) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเลใหญ่เป็นอันดับสองรองจากคาซักสถาน มีความสูงจากน้ำทะเลโดยเฉลี่ย ๑,๕๐๐ เมตร มีทะเลทรายโกบีซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจากทะเลทรายสะฮารา มีอุณหภูมิตั้งแต่หนาวจัด -๖๐ เซลเซียส ถึง +๔๕ เซลเซียส มีประชากรที่สำรวจเมื่อปี ๒๐๐๖(๒๕๔๙) คือ ๒.๕ ล้านคน กว่าครึ่งหนึ่งมีอายุต่ำกว่า ๓๕ ปี อายุขัยโดยเฉลี่ย ๖๖ ปี มีรายได้โดยเฉลี่ยต่อหัว ๘๐๐ เหรียญสหรัฐอเมริกา ประชากรส่วนใหญ่กว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยานแบบทิเบตที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่หลังจากที่ถูกบังคับไม่ให้นับถือศาสนาใดๆในช่วงที่ถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เป็นระยะเวลาเกือบ๖๐ปี

มองโกเลียมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับตั้งแต่ยุคบรรพกาล ถ้านึกถึงซากของไดโนเสาร์ที่มีจำนวนมหาศาลแล้วละก็ต้องนึกถึงทะลทรายโกบี(Mongolian Gobi)ของมองโกเลียกับหุบเขาคาลิฟอร์เนีย(California Valley)ของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เมื่อนึกถึงอาณาจักร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติที่เคยมีมาเราปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคของเจงกิสข่าน(Chinggis Khaan)ของมองโกลในต้นคริสต์ศตวรรษที่๑๓ เป็นยุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะครอบครองเนื้อที่ไปถึงยุโรปและเอเชียเกือบทั้งทวีป
  
ทุกอย่างมีขึ้นมีลง จากที่เคยเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มองโกเลียยุคหลังกลับต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลและการแย่งชิงเพื่อครอบครองจากมหาอำนาจยุคใหม่คือรัสเซียกับจีน จนต้องมีการประชุมไตรภาคี(Tripartite Conference) ในปี ๑๙๑๖(๒๔๕๙) ที่ Hiagt สมัยประธานาธิบดีYuan Shikai ของจีนเพื่อตกลงสถานะของมองโกเลีย จนในปี๑๙๒๔(๒๔๖๗)เมื่อ Bogd Khan สิ้นชีพลง  มองโกเลียก็มีรัฐธรรมนูญฉบับแรก สถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย(Mongolian People's Republic)เข้าสู่ยุคของการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตและComintern(International Communist Organization) มีการจับกุมเศรษฐีและชนชั้นกลางกันอย่างขนานใหญ่ในปี ๑๙๓๐(๒๔๗๓)
โรงแรมเค็มปินสกี้ใจกลางกรุงอูลานบาตาร์
  
จวบจนปี ๑๙๘๙(๒๕๓๒) คอมมิวนิสต์ได้ล่มสลายลง ประชาชนชาวมองโกเลียได้เดินขบวนขนานใหญ่เพื่อเรียกร้องเสรีภาพ และในปี๑๙๙๐(๒๕๓๓) ก็ได้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นเป็นต้นมามองโกเลียก็เข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด `ต่อมาในปี ๑๙๙๑(๒๕๓๔) รัฐสภาของมองโกเลียซึ่งมีสภาเดียวโดยไม่มีวุฒิสภาที่เรียกว่า The State Great Hural (ปัจจุบันมีสมาชิก ๗๖ คน) ได้ออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้กลับมาสู่กรรมสิทธิของเอกชนหลังจากที่เอกชนไม่สามารถมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินได้ในยุคคอมมิวนิสต์
  
มองโกเลียปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข(head of State) ปัจจุบันคือ นาย Tsakhia Elbegdori มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารหรือหัวหน้ารัฐบาล(Head of Government) ปัจจุบัน คือ นายChimedin Saikhanbileg มองโกเลียแบ่งการปกครองออกเป็น ๒๑ จังหวัด(Aimags) `มีผู้บริหารนับตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึงผู้ใหญ่บ้านมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนโดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี เช่นเดียวกันกับสมาชิกรัฐสภาและรัฐบาล ที่สำคัญคือประชาชนสามารถถอดถอนได้

บทความแนะนำ : ‘Can You Guess the World Fastest Growing Economy?’ by Max Fisher, The Atlantic, July 16, 2012. “Mongolia is part of a new class of countries that, like the Middle Eastern states that got rich selling oil to the West, have hitched their economies to resource-hungry China.”

เมื่อมอง"มองโกเลีย"แล้วหันมามอง"ไทย"เรา จะเห็นได้ว่ามองโกเลียนั้นเคยถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์และเพิ่งมีประชาธิปไตยมาเพียงยี่สิบกว่าปีเมื่อเทียบกับไทยเราที่มีมาตั้ง ๘๕ ปีแล้ว แต่ประชาธิปไตยของมองโกเลียกลับเจริญงอกงามและมีพัฒนาการรุดหน้าไปกว่าเรามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปกครองท้องถิ่นที่มีการเลือกตั้งผู้บริหารในทุกระดับ ที่สำคัญคือไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารแต่อย่างใด แต่ของไทยเราเต็มไปด้วยการปฏิวัติรัฐประหารและยังถกเถียงกันไม่จบว่าร่างรัฐธรรมนูญจะเอาแบบไหนอย่างไร มิหนำซ้ำยังมีการโยนหินถามทางถึงช่องทางในการทำประชามติเพื่อให้หัวหน้าคณะรัฐประหารอยู่ต่อเสียอีก 

มองเขา มองเรา มองนานาอารยประเทศแล้วเศร้าใจ ไม่รู้ว่าประเทศไทยเรามีเวรมีกรรมอะไรกันนักหนาจึงต้องวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ไม่รู้จักจบจักสิ้น ต่างฝ่ายต่างก็โทษกันไปโทษกันมา มึงว่ากู กูว่ามึง 
 
เด็กเล็กชาวมองโกเลียหน้าอาคารรัฐสภา (ภาพจาก The Atlantic)
อย่างไรก็ตามกงล้อประวัติศาสตร์การเมืองของโลกล้วนแล้วแต่หมุนไปสู่ประชาธิปไตย แม้ว่าในบางครั้งอาจจะหยุดชะงักหรือถูกทำให้ถอยหลังไปบ้างก็ตาม แต่ไม่ว่าเผด็จการทหาร เผด็จการรัฐสภา เผด็จการคอมมิวนิสต์ เผด็จการทุนนิยม ฯลฯ ต้องพ่ายแพ้ต่ออำนาจของประชาชนทั้งสิ้น อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง


หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘