พายุฝนเหนือกรุงเทพฯ (ภาพประกอบจาก Forbes Thailand) |
เศรษฐกิจไทยปี
2558 เผาจริง?
โดย
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน
“โลกวันนี้วันสุข” ฉบับวันศุกร์ที่ 10
เมษายน 2558
ในช่วงแรก
รัฐบาลทหารปฏิเสธว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในสภาวะตกต่ำ หากแต่กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแรงเนื่องจากรัฐประหาร
22 พฤษภาคม 2557 ได้นำความสงบมั่นคงทางการเมืองกลับคืนมา ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ แจกเงินอุดหนุนชาวนาและชาวสวนยางตามขนาดของที่ดิน
เพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน ตลอดจนเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น
รถไฟ เป็นต้น
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจถึงกับรับรองอย่างมั่นใจว่า
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 จะเติบโตถึงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
และเศรษฐกิจไทยปี 2557 จะเติบโตร้อยละ 1 แต่การณ์กลับเป็นว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่เติบโตเพียงร้อยละ 2.3 ขณะที่ตลอดทั้งปี 2557 เติบโตเพียงร้อยละ
0.7 เท่านั้น
การใช้จ่ายบริโภคโดยครัวเรือนไทยและการลงทุนโดยภาคธุรกิจได้ตกต่ำลงโดยตลอดปี
2557 ยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ลดลงร้อยละ
30.6 การนำเข้าสินค้าลดลงร้อยละ 8.5 ขณะที่การนำเข้าเครื่องจักรลดลงร้อยละ
5.5 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงร้อยละ 6.7 คือมีจำนวนลดลงราวสองล้านคนเมื่อเทียบกับปี 2556 โดยเป็นการลดลงมากที่สุดในช่วงไตรมาสที่สองและที่สามของปี
อันเป็นผลจากการที่รัฐบาลประเทศตะวันตกประกาศเตือนตั้งแต่ปลายปี 2556 ต้นปี 2557 มิให้พลเมืองของตนเดินทางมายังประเทศไทย แล้วถูกซ้ำเติมด้วยรัฐประหารและกฎอัยการศึก
ที่ทำให้บริษัทประกันภัยไม่รับประกันผู้ที่เดินทางมาประเทศไทยอีกด้วย
ภาวะเศรษฐกิจยังถูกซ้ำเติมจากภาวะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเกือบทุกรายการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าว ยางพารา ปาล์ม เป็นผลให้รายได้ภาคเกษตรลดลงร้อยละ 5.0
ในไตรมาสที่สามและร้อยละ 13.7 ในไตรมาสที่สี่ การส่งออกของไทยตลอดปี
2557 ก็มีมูลค่าลดลงร้อยละ 0.3
ขณะที่มีเงินทุนไหลออกสุทธิกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างหนักเป็นผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ
2557 ลดลงร้อยละ 4.2 ดุลเงินสดติดลบกว่า 3 แสนล้านบาท
จนรัฐบาลต้องกู้เงินมาชดเชยจำนวนกว่า 2 แสนล้านบาท
ที่น่าสังเกตคือ
แม้การลดลงของตัวเลขทางเศรษฐกิจข้างต้นจะเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2556
จากวิกฤตการเมืองรอบใหม่เมื่อพรรคเพื่อไทยผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
(ฉบับเหมาเข่ง) ในปลายเดือนตุลาคม 2556
แล้วขยายตัวเป็นการประท้วงใหญ่และก่อจลาจลโดยกลุ่มกปปส.
แต่การตกต่ำลงของตัวเลขเศรษฐกิจกลับเห็นชัดเจนหนักหน่วงตั้งแต่กลางปี 2557 เป็นต้นมา ซึ่งก็คือหลังจากรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
รัฐประหารและการปกครองโดยใช้คำสั่ง คสช. กฎอัยการศึก และศาลทหาร
แม้จะได้รับการสนับสนุนจากคนชั้นกลางในเมืองจำนวนมากที่เกลียดชังรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่ไม่ได้เพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนและนักธุรกิจทั่วไปซึ่งได้ชะลอการใช้จ่ายบริโภคและลงทุนมาตั้งแต่ปลายปี
2556 แล้ว
แต่หลังรัฐประหาร พวกเขากลับยิ่งไม่มั่นใจในอนาคตของระบอบรัฐประหารและไม่แน่ใจว่าจะได้กลับคืนสู่การเมืองในระบบรัฐสภาอีกเมื่อใด
ทำให้พวกเขาชะลอการใช้จ่ายต่อไปอีกเรื่อยๆ จนเกิดเป็นวงจรย้อนกลับคือ
การตัดลดการใช้จ่าย ทำให้ผู้ประกอบการขาดรายได้ ซึ่งมีผลสะท้อนกลับให้ต้องตัดลดการใช้จ่ายอีก
เป็น ‘กับดักเศรษฐกิจซบเซา’
ที่ยากจะฟื้นตัวในเวลาอันสั้น
แม้ว่ารองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจจะยืนยันอย่างแข็งขันว่า
ในปี 2558 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแข็งแรง
ในไตรมาสแรกจะเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4 และตลอดทั้งปีจะเติบโตร้อยละ
4.5 โดยอ้างปัจจัยการฟื้นตัวจากการเร่งรัดใช้จ่ายงบประมาณและการเร่งลงทุนก่อสร้างในโครงการภาครัฐ
แต่ปรากฏว่า
ไตรมาสแรกของปี 2558 นอกจากจะไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว
ยังกลับมีแนวโน้มเลวลงอย่างต่อเนื่อง
ดังจะเห็นได้จากยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ยังคงลดลงต่อเนื่องร้อยละ 13.3 ในเดือนมกราคมและร้อยละ 10.2 ในเดือนกุมภาพันธ์
การนำเข้ารวมสองเดือนลดลงร้อยละ 8.5 การนำเข้าเครื่องจักรลดลงร้อยละ
6.7 ในเดือนมกราคม (แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 ในเดือนกุมภาพันธ์) ขณะที่มีเงินทุนไหลออกสุทธิสองเดือนแรกรวมห้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ยิ่งกว่านั้นคือ ราคาสินค้าเกษตรก็ยังคงตกต่ำลงต่อเนื่อง
ทำให้รายได้ภาคเกษตรลดลงอีกร้อยละ 10.1 ในเดือนมกราคมและลดลงร้อยละ 6.2 ในเดือนกุมภาพันธ์
ที่เป็นข่าวร้ายสำหรับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกดังเช่นประเทศไทยก็คือ
ในไตรมาสแรกของปี 2558 การส่งออกไทยลดลงร้อยละ
2.6 ในเดือนมกราคม ร้อยละ 6.0
ในเดือนกุมภาพันธ์ และร้อยละ 3.0 ในเดือนมีนาคม
ทำให้ไตรมาสแรก การส่งออกไทยโดยรวมลดลงร้อยละ 5.0
เป็นผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ร้อยละ 1.6
การตกต่ำลงของการส่งออกไทยนั้น
นอกจากเป็นเพราะสภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าของไทยและการที่สินค้าส่งออกของไทยหลายร้อยรายการถูกสหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางการค้าแล้ว
ก็ยังมีสาเหตุขั้นรากฐานคือ
การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยโดยรวมที่ยังคงล้าหลัง
ไม่มีการยกระดับผลิตภาพและการเพิ่มห่วงโซ่มูลค่า ยังคงใช้แรงงานราคาถูกและทักษะต่ำ
เน้นแข่งขันด้วยราคา ขณะที่ประเทศคู่แข่งกำลังไล่ตามมาด้วยแรงงานที่ราคาถูกกว่า
แต่เทคโนโลยีและผลิตภาพใกล้เคียง แล้วยังได้สิทธิพิเศษทางการค้ามากกว่าอีกด้วย
ต้นปี 2558
เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณบวกเพียงตัวเดียวคือ
จำนวนนักท่องเที่ยวในสองเดือนแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งหมดนี้
เป็นผลให้การจัดเก็บรายได้ภาครัฐลดลงร้อยละ 5.5 ในเดือนมกราคมและร้อยละ 10.8 ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนดุลเงินสดมียอดติดลบสูงถึงหนึ่งแสนล้านบาทในเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียว
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี
2558 จึงยังอยู่ในสภาวะซบเซาอย่างหนัก
และคงไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรงในครึ่งหลังของปี
เพราะเศรษฐกิจสหภาพยุโรปจะยังคงอ่อนแอ ขณะที่ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ซึ่งจะทำให้เงินทุนในเอเซียและประเทศไทยไหลกลับไปตลาดสหรัฐฯ เป็นแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีก
ในขณะที่ค่าเงินตราประเทศในเอเซียจะอ่อนตัวลงจากการไหลออกของเงินทุน
ผลก็คือ
เงินบาทไทยจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ทั้งหมดนี้ จะทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศซบเซาต่อไปและการส่งออกของไทยไม่ฟื้นตัว
ทั้งหมดนี้ ทำให้เป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2558
ที่ร้อยละ 4.0-4.5
ไม่อาจเป็นจริงได้อย่างแน่นอน
ที่น่าตกใจคือ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปซึ่งเป็นบวกที่ร้อยละ
1.89 ในปี 2557 กลับกลายเป็นติดลบ (คือ ราคาสินค้าลดต่ำลง) ร้อยละ 0.41 ในเดือนมกราคม ร้อยละ 0.52 ในเดือนกุมภาพันธ์ และร้อยละ
0.57 ในเดือนมีนาคม อัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องตลอดไตรมาสแรก
แม้จะมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการลดลงของราคาน้ำมัน
แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามาตั้งแต่ปี
2557 อาจจะเลวร้ายลงอีก ถลำลึกเป็น
‘ภาวะเงินฝืด หรือ deflation’ ซึ่งจากประสบการณ์ในหลายประเทศ
จะมาพร้อมกับระบบเศรษฐกิจที่ไม่เติบโตหรือกระทั่งหดตัว
กลายเป็นสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยืดเยื้อ
ติดอยู่ในหลุมกับดักเงินฝืดที่หากตกลงไปแล้วจะต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาจากหลุมได้