แต่หลายๆ คนในฟากคนดีย์ซ่าหริ่ม กลับเห็นว่าการเป็นบุคคลนานาชาตินั้น ไม่ได้ “คิดทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมือง...ก็เห็นแต่แกตามหาผัวแกคนเดียวนั่นละ” บางคนขึ้นสรรพนาม ‘อี’ ไว้ก่อนแล้วค่อยบอก “หาผัวเจอหรือยัง”
อนิจจัง ความเป็นไทยสมัยนี้ คือต้องคุ้ยเอาเรื่องส่วนตัวมาด้อยค่า ถ้าเรื่องของเขานั้นมันน้อยค่าก็ไปอย่าง นี่กรณีทนาย สมชาย นีรไพจิตร ถูกอุ้มหาย เป็นที่รู้กันมาหลายทศวรรตแล้ว พวกคุณๆ ไม่รับรู้กันเลยว่าคดีนั้นนานาชาติประณามรัฐไทย
ข่าวที่ว่าฝ่ายไทยกระจายเสียงภูตผีปีศาจใส่เขมร แรกเลยทีเดียวใครได้ยินข่าวเผินๆ ก็ว่าน่าจะเป็นเรื่องขำขัน แต่การยื่นฟ้องยูเอ็นของเขมร ต้องตรงทั้งระเบียบกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ จะมาสะใจกับความกลั่นกล้าของ ‘กัน’ มันใช่ที่
ถ้าใช้จิตสำนึกทางปัญญาดูที่บริบทแล้วจะเห็นว่า สิ่งที่ สว.อังคณายกประเด็นขึ้นมาเป็น “โลกน่าอยู่” กว่า “ชาติเชื้อชั่วช้า” ถ้าจะ “เดินหน้าลุยต่อ” ก็คงได้ละ แต่ว่า เขมรจะไม่เป็นฝ่าย “ดิ้นพล่านจนมุม” แน่ๆ เท่าที่ผ่านๆ มาขิงก็ราข่าก็แรงอยู่
เรื่องนี้ สว.อังคณาก็พูดเหมือนกัน “ยกตัวอย่างปราบม็อบกรุงเทพฯ ใช้เครื่องเสียงไล่เหมือนกัน แต่เป็นตามมาตรฐานสากลโดย คฝ. ไม่ได้ใช้พลเรือน” แม้นว่าเขมรเอาไปขยายผลเพิ่มน้ำหนัก ก็พวกเขานั้น “ใครพูดอะไร เขาก็เอาไปฟ้องโลกหมด” อยู่แล้ว
ข้อสำคัญ เขาแจงมาว่าการเปิดเครื่องเสียงอย่างดังมาก คล้ายเสียงโหยหวนของภูตผี และเสียงเครื่องยนต์อากาศยาน “สร้างความไม่สบายทางร่างกายในหมู่ชาวบ้าน” รวมทั้งเป็น “การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุ...ขัดแย้งโดยตรงกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ”
แล้วยัง “ละเมิดอย่างร้ายแรงต่อเจตนารมณ์ของ ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 และ บันทึกข้อตกลง 13 ข้อของการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (GBC) สมัยวิสามัญ” เหล่านี้มิใช่ข้ออ้างอย่างโคมลอย
แต่เป็น “#การทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture) ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี” ถ้า ‘ไอ้’ หรือ ‘อี’ คนไหน ออกมาเตือนสติละก็ พึงสำนึกไว้เลย นั่นเป็นเสียงแห่งมโนธรรมที่ชักจะเหลือน้อยนิดแล้ว ในสังคมนี้
(https://www.facebook.com/angkhana.nee/posts/Wwe4LUYSTc, https://x.com/NoBlindFaith95/status/1977586842829779298 และ https://ch3plus.com/news/social/morning/449517)
