วันจันทร์, กรกฎาคม 31, 2560

ปูดรัฐมนตรีใช้ ฮ.กองทัพ ปิดห้องคุยเจ้าของโรงสีกำแพงเพชร อ้างเป็นภารกิจลับ





การระบายข้าว เพื่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ กำลังถูกจับตาจากหลายฝ่าย ล่าสุด อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์พบว่า การระบายข้าวของรัฐบาลอาจไม่โปร่งใส พร้อมระบุว่า มีรัฐมนตรีคนหนึ่ง นั่งเฮลิคอปเตอร์กองทัพบก ไปที่โรงสีข้าวที่จังหวัดกำแพงเพชร อ้างเป็นภารกิจลับ


ปูดรัฐมนตรีใช้ ฮ.กองทัพ ปิดห้องคุยเจ้าของโรงสีกำแพงเพชร


ที่มา PPTV
30 ก.ค. 2560


วันนี้ (30 ก.ค. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อ้างสาเหตุที่ออกมาเปิดเผยเรื่องการระบายข้าว เพื่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ว่าต้องการให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบรัฐมนตรีคนหนึ่งที่อาจเข้าข่ายการกระทำไม่โปร่งใส เพราะเขามีข้อมูลว่า วันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีรัฐมนตรีคนดังกล่าว นั่งเฮลิคอปเตอร์จากกรุงเทพมหานครไปยังโรงสีสนั่นเมือง ในจังหวัดกำแพงเพชร โดยไม่ทราบว่าเดินทางไปส่วนตัวหรือปฏิบัติภารกิจ แต่มีความน่าสงสัย เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของโรงสีราว 40 นาที ก่อนมีคำสั่งให้ทุกคนเดินทางกลับ

นายวัชระยังอ้างด้วยว่า โรงสีแห่งนี้ เป็นผู้ชนะการประมูลข้าวที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ จาก 10 โกดัง น้ำหนักกว่า 160,000 ตัน แต่คนในพื้นที่บอกว่าโรงสีแห่งนี้ เป็นโรงสีข้าวสำหรับบริโภคเท่านั้น





รายงาน iLaw : คุณภาพ สปท (งบการทำงานอย่างต่ำพันล้าน) "3 ปี 3 ลอกข้อสอบ" + ข้อเสนอปฏิรูป ถูกสังคมคัดค้าน พาประเทศถอยหลัง-ส่อขัดรัฐธรรมนูญ





ข้อเสนอปฏิรูป: ตัดแปะ-ลอกเลียน จากหน่วยงานอื่นที่เคยเสนอหรือดำเนินการไปแล้ว

สิ่งสำคัญของการปฏิรูปที่คาดหวังก็คือ ข้อเสนอดังกล่าวต้องเป็นข้อเสนอที่ใหม่ หรือไม่ก็ต้องเป็นข้อเสนอที่ลึกซึ้งหรือสร้างสรรค์กว่าข้อเสนอที่มีอยู่ แต่ทว่า ข้อเสนอของ สปท. บางส่วน กลับเป็นเรื่องที่มีหน่วยงานราชการ หรือองค์กรต่างๆ ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว บางส่วน สปท. เพียงหยิบยกเนื้อหาบางส่วนมาจากรายงานการปฏิรูปของสปช. ในลักษณะ ‘ลอกข้อสอบ’ เลยเสียด้วยซ้ำ โดยสามารถแบ่งประเภทของการลอกออกเป็น 3 ประเภทได้แก่

หนึ่ง "ลอกข้อสอบ" จากสภาปฏิรูปอื่นๆ อาทิ รายงานของสปท. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เรื่อง ความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคลของตำรวจจากการแทรกแซงทางการเมือง ที่เสนอให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เสียใหม่ โดยย้ายอำนาจแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจากเดิมที่เป็นของ ก.ต.ช. ให้ไปเป็นของ ก.ตร. แทน และในรายงานของ สปท. ก็ได้เสนอองค์ประกอบของ ก.ตร. ใหม่ 16 คนกับ ก.ต.ช. ใหม่ 11 คน ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวมีข้อความเหมือนรายงานของ สปช. วาระที่ 6: การปฏิรูปตำรวจ แทบจะทุกประการ

ไม่เพียงในแง่เนื้อหา แต่ในแง่รูปแบบการเขียนรายงานก็เห็นได้ชัดว่า การลำดับเนื้อหาและการให้เหตุผลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน บางย่อหน้าของรายงานทั้งสองฉบับเขียนเหมือนกันทุกตัวอักษร แทบจะเรียกได้ว่า คนที่เขียนรายงานให้ สปท. นำรายงานเก่าของ สปช. มาเป็นร่าง แล้วตัดทอนกับแต่งเติมถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปบ้าง รวมทั้งการจัดหน้าเอกสารใหม่ เช่น การย่อหน้า รูปแบบการใช้หมายเลขหัวข้อ ขนาดตัวอักษร เพื่อไม่ให้ดูเหมือนกันมากจนเกินไป

สอง "ลอกข้อสอบ" จากฎหมายที่ผ่านไปก่อนแล้ว อาทิ รายงานของ สปท. เรื่อง ระบบงานบริการประชาชนในการรับแจ้งความและสอบสวน ที่เสนอให้นำระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราว (Electronic Monitoring : EM) มาใช้ ทั้งที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 30) เพื่อเปิดช่องให้สามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราวได้มาก่อนหน้าที่ สปท. จะมีข้อเสนอดังกล่าวออกมาเสียอีก

สาม "ลอกข้อสอบ" จากผลงานที่หน่วยงานอื่นทำอยู่ก่อนแล้ว อาทิ รายงานของ สปท. เรื่อง ผลการศึกษาและข้อเสนอแนะการปฏิรูปหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลสื่อออนไลน์ ที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรีเมื่อ 22 มกราคม 2559 หน้า 8 เสนอให้กำหนดแนวทางหรือสร้างช่องทางการรับการแจ้งความ แจ้งเบาะแส และให้คำปรึกษาคดีความผิดทางเทคโนโลยีทางออนไลนเพื่อเอื้อประโยชน์และปกป้องผู้เสียหาย ซึ่งเมื่อศึกษาดูก็จะพบว่า ข้อเสนอนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) หน่วยงานของตำรวจที่รับผิดชอบคดีความผิดบนโลกออนไลน์ เปิดช่องทางบนเว็บไซต์ของหน่วยงาน ให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสและแจ้งความผ่านทางออนไลน์ได้ ตั้งแต่ปี 2556 แล้ว





ข้อเสนอปฏิรูป: ถูกสังคมคัดค้าน พาประเทศถอยหลัง-ส่อขัดรัฐธรรมนูญ

นอกจากข้อเสนอของสปท. จะเป็นนามธรรมและซ้ำกับข้อเสนอของหน่วยงานอื่น ประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังคือ บางข้อเสนอกำลังจะพาประเทศถอยหลังและบางข้อเสนอก็อาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ฉบับที่เพิ่งบังคับใช้กัน อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเสนอ ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในชื่อ ร่างพ.ร.บ.ตีทะเบียนสื่อ โดยกฎหมายดังกล่าว ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 30 องค์กร ว่า เปิดทางให้อำนาจรัฐแทรกแซงการรายงานข่าวของสื่อ และมีเจตนาในการปิดปากไม่ให้นำเสนอข้อมูลเพื่อตรวจสอบโครงการต่างๆ ของรัฐที่ไม่ชอบมาพากล ผ่านการขึ้นทะเบียนกับองค์กรที่รัฐจัดตั้ง คือ สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจพิจารณาออกหรือเพิกถอนใบอนุญาตนักข่าวได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ยังเคยทำหนังสือ เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ 36 ฉบับ เพราะ สปท. เกรงว่า หากดำเนินไปตามขั้นตอนปกติ กฎหมายจะออกมาบังคับใช้ไม่ทันภายในปี 2560 เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีภาระงานล้นมือ

จากข้อเสนอดังกล่าวของ สปท. ก็ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง โดยคราวนี้มาจากฝั่งนักการเมืองที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ว่า การใช้มาตรา 44 ออกกฎหมายปฏิรูปนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาชน และอาจขัดต่อเจตนาของรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงเป็นการออกกฎหมายโดยขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน


ที่มา iLaw

สแกน สปท. มีงบปฏิรูปพันล้าน แต่ได้ข้อเสนอซ้ำ นามธรรม แถมถูกสังคมคัดค้าน

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://ilaw.or.th/node/4577

ooo


...

เรื่องเกี่ยวข้อง...

'อลงกรณ์' ชี้ต้องปฏิรูปให้คุ้มกับที่สูญ 'ประชาธิปไตย'

(http://news.voicetv.co.th/thailand/511534.html)

รูปแบบนี้จะมีคนแชร์ไหมหนอหรือจะแชร์เฉพาะพระสงฆ์ทำไม่ดีกัน...




รูปแบบนี้จะมีคนแชร์ไหมหนอหรือจะแชร์เฉพาะพระสงฆ์ทำไม่ดีกัน รูปภาพที่มองแล้วมันปลื้มตันใจพระสงฆ์ร่วมด้วยกันทำอาหารแจกประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดสกลนครใครเห็นด้วยสนับสนุนช่วยกันแชร์แทนคำสาธุ


Somchit Wongaim









An Uzbek woman who was trafficked to Thailand and forced to sell sex shares the story of her escape.



Sex trafficking victim in Thailand: 'She caught me. I didn't know what to do. She took my passport and I had to go back to work.' [Paula Bronstein/Getty Images]


Escaping the clutches of sex trafficking in Thailand

An Uzbek woman who was trafficked to Thailand and forced to sell sex shares the story of her escape.

By Ashton Kobler
Al Jazeera

It's nearly 10pm and Umida* is cooking dinner - a simple meal of rice and meat for the 11 members of her household who have been stuck inside the house all day due to Uzbekistan's intense summer heat.

Since emerging as an independent nation in 1991, after nearly 200 years of Russian and then Soviet rule, Uzbekistan has slowly seen some economic progress. But poverty and unemployment remain high and many Uzbeks travel abroad for work. This leaves the men, women and children vulnerable to forced labour and sex trafficking.

"My older sister works in a hospital in Moscow, so I look after her children," Umida says. "She's the only one who understands what happened to me in Bangkok, I have told nobody else."

Born into a large, impoverished family, the 36-year-old says life was difficult growing up. Her mother died in 2000, leaving her father, a builder, to care for his four children. "It was hard without my mother," she recalls, "the families in my town with two parents had more money."

When she was 28 years old, Umida says she met a local Uzbek woman who promised her profitable work in Thailand. Umida doesn't say whether she knew the specific nature of this work, but explains that with the hope of providing for her son who was then six years old, she agreed to travel to the Thai capital, Bangkok.

But, when she arrived in Thailand, she realised that she had been deceived. The woman who had made the arrangements destroyed all of her documents. "She was a very bad lady. She gave me no food, no money. I could only go outside to work every day," Umida says quietly. The woman forced her to work as a prostitute on the streets of Bangkok.

Trafficked for sex

Many downtown Bangkok streets are lined with women, shifting from one foot to the other, whispering to passers-by, hoping to attract their next customer. Statistics from the Thai Ministry of Public Health and from NGOs indicate that there are more than 120,000 people working in the Thai sex industry.

Some of these women are engaged in sex work because they have no other way to make money, others have been forced into the industry, and many are trafficked to Thailand from other countries.

Annie Dieselberg, CEO and founder of Nightlight International, an organisation committed to helping victims of sex trafficking and exploitation, says that the authorities do not always take the situation seriously. "Often, authorities don't recognise the complexities of sex trafficking - that it isn't as simple as underage women in a brothel," Dieselberg says. "It may be an adult woman, walking the streets of Bangkok, being forced against her will to work for sex."

Angkhana Neelapaichit, one of the seven National Human Rights Commissioners appointed by the Thai king to examine and report acts which violate human rights or "do not comply with obligations under international treaties to which Thailand is a party", concurs. "Essentially, I can say that dealing with trafficking among sex workers, in the long run, is still challenging for Thailand and it is hard for authorities to find the real perpetrators," she says.

After a few months, Umida attempted to escape her trafficker, anxious to return home to her son. She managed to convince one of her clients, who sympathised with her, to give her money for a return flight home.

"He gave me a lot of money, so I bought some things for my son and a plane ticket home," Umida says. She went to the Uzbek consulate in secret and was issued with a certificate to return to Uzbekistan. When she arrived at the airport, however, a woman with a face veil approached her. She revealed herself as the trafficker. She was angry and threatening - Umida felt powerless before her. "She caught me. I didn't know what to do. She took my passport and I had to go back to work."

She worked for a further five months, receiving little to no money. She was made to stay in an apartment with no shower and no food, she recalls.

"I was hungry. It was only when I had a customer that I could have a meal. We would go out and drink and eat," she says of the meetings with clients. "Then we would end up in a hotel or an apartment."

...




https://www.youtube.com/watch?v=6f5uM6L2sy0

Thai general among many found guilty in Rohingya trafficking trial


Published on Jul 19, 2017

An army general in Thailand was one of the most prominent figures found guilty in a major human trafficking trial that included more than 103 defendants accused of involvement in a modern-day slavery trade.

Lieutenant-General Manas Kongpaen was convicted on Wednesday of several offenses involving trafficking and taking bribes.

By late afternoon on Wednesday, a judge had announced 50 verdicts with more judgments expected later in the day.

Al Jazeera's Scott Heidler reports from Bangkok.

Not making it: Thailand’s economy. South-East Asia’s second-largest economy surprised analysts today, reporting a slip in industrial activity





Not making it: Thailand’s economy

South-East Asia’s second-largest economy surprised analysts today, reporting a slip in industrial activity. Once a pillar of growth, Thailand’s export-oriented industrial economy has been sliding sideways for years. Creeping de-industrialisation began in 2010, when manufacturing’s share of GDP was 31%. By 2016 it was down to 27%. The ruling generals are planning a manufacturing revival (“Thailand 4.0”), but it is claptrap. For Thai businesses it is easier to make money in property or food, where competition is low, innovation less important and returns high. To deal with rising automation, the country has to stay cheap or build a highly skilled workforce. Both have proved impossible. A strong baht, military rule and fading foreign interest have not helped; in 2016 FDI inflows slumped to $1.6bn, compared with Vietnam’s $12.6bn. In future, the role of services, including tourism, will only rise: last year Bangkok was the most-visited city on Earth.




Source: The Economist Espresso

น้ำท่วมอีสาน คสช. "แก้ไขด้วยการแก้ตัว" แต่ 'สลิ่ม' อ้างผลกรรม "ไม่มีบารมีพระองค์คอยคุ้มครองแล้ว"

เจ้าของ กรรณิกาโพล นี่สมัยหน้าตอนบิ๊กตูบเป็นนายกฯ คนนอก น่าจะได้เป็น รมว.ส สาธารณสุขนะ เลียซะเกลี้ยงสะอาดจริงๆ พอประยุทธ์ จันทร์โอชา สะดุดขาตัวเอง ก็รีบออกมายกหางทันที

พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๗๘. ระบุ ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ

(ซูเปอร์โพลของนพดล กรรณิกา รีบออกมาประกาศ โดยมอบให้ปราโมทย์ พันธ์สะอาด รองประธานชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน ออกหน้า น. กรรณิกา เขาคงเขิน)

ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมอีสาน จนทำนบดินห้วยทรายขมิ้นแตก น้ำล้านลูกบาศก์เมตรทะลักอ่วมสกลนคร แต่กรมชลฯ อ้ำอึ้งเพราะไม่ได้อัพเดทระบบเตือนภัยมาตั้งแต่ปี ๕๙ จำใจต้องยอมรับสามวันให้หลัง

อ้าง “น้ำมากทำให้น้ำล้นคันกั้นน้ำ กัดเซาะคันดินกว้าง ๒๐ ม. ลึก ม. มีน้ำไหลออกจากอ่างเก็บน้ำ ราว ล้าน ลบ.ม.


เมื่อวันก่อนเห็นเขาบ่นกันแซ่ดเว็บว่าถ้ารัฐบาลประยุทธ์ใส่ใจ แจ้งข้อมูลแก่ประชาชนตามความเป็นจริง อย่างน้อยจะมีเวลาราวครึ่งชั่วโมงนำรถและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นออกจากบ้านได้บ้าง ไม่ต้องจมน้ำระนาวกันอยู่อย่างนี้
 
แต่ว่าความเสียหายของ คสช. อยู่บนใบหน้า ที่รัฐบาลประยุทธ์จัดให้มีพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล วันเฉลิมพระชนมพรรษา ร.๑๐ ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเครื่องบินโบอิ้ง ๗๓๗-๘๐๐ ส่วนพระองค์บินอยู่บนน่านฟ้าเยอรมนี ระหว่างมูนิคกับซูริค

เรื่องเกิดเมื่อมีคนทัก จุ๊ จุ๊ กันมากว่าอาจารย์น้อง จันทร์โอชา แต่งชุดไทยสีดำออกตักบาตรกับลุงตูบ วันที่ ๒๘ ก.ค. ไม่เหมาะสม เพราะเห็นมีประกาศกรมประชาสัมพันธ์เผยแพร่ว่า

“วันที่ ๒๗ แต่งชุดดำล้วนทั้งหญิงชาย วันที่ ๒๘ ชายกางเกงดำ เสื้อขาวนวลติดโบว์ดำ หญิงชุดสุภาพ สีขาวนวลติดโบว์ดำ...

การแต่งกายนี้เฉพาะ ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ ในพิธีต่างๆ ที่รัฐบาลจัด ซึ่งไม่ได้หมายถึงประชาชนทั่วไป”
แต่โฆษกห่านอูออกมา damage control ว่า “การแต่งกายของภริยาของนายกฯ เป็นไปตามประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้การแต่งกายของคณะรัฐมนตรี เป็นชุดปกติ ขาวไว้ทุกข์

ส่วนคู่สมรสที่เป็นหญิง แต่งกายชุดไทยจิตรลดา หรือชุดไทยอมรินทร์สีดำ” นี่เวอร์ชั่นมติชนออนไลน์

ถ้าเวอร์ชั่น วาสนา นาน่วม อย่างนี้ “เสธ.ไก่อูจะไม่ทน ประนามเพจแดงน่าอาย โจมตีคนไม่เกี่ยวข้อง ตัดต่อภาพ บิดเบือน กล่าวหา (๓ กระทง) อ.น้อง-ภริยา ครม....ชี้ ยอมรับไม่ได้”

โยกไปเวอร์ชั่นมติชน “ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งตรวจสอบหาตัวผู้สร้างข่าวบิดเบือน เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย”

แม้นว่าจะมีคน ไม่เข้าข้างใครเอาประกาศสำนักพระราชวังออกมาแจง “ตามประกาศสำนักพระราชวังระบุเครื่องแต่งการปกติขาวไว้ทุกข์ ตามธรรมเนียมสตรีที่ไม่ได้รับราชการก็ต้องแต่ชุดไทยจิตลดาสีดำครับ” (Sithipon First Vacharakitivanich)

แต่วิสัย (ไม่ทัศน์) ของ คสช. “แก้ไขด้วยการแก้ตัว” หรือ ‘damage control’ ด้วยปาก ไม่เพียงให้วินธัย (สุวารี) และสรรเสริญ (แก้วกำเนิด) ช่วยกันบิดเบี้ยวว่าน้ำท่วมคราวนี้เป็นภัยธรรมชาติแท้ๆ

ต่างกับปี ๕๔ ที่ “สาเหตุเกิดจากบริหารจัดการที่ผิดพลาด แม้รัฐบาลรู้ว่ามีปริมาณฝนตกมาก แต่ไม่เร่งระบายน้ำ จนเกิดความเสียหายแก่ประเทศมหาศาล” จึงได้มีคนที่เขาไม่ยอม อยู่ทนกับความตอแหล ออกมาแย้ง

“น้ำท่วมปี ๕๔ มาจาก ลานิลญ่าแถมเจอพายุโซนร้อนติดๆ กัน ๕ ลูก ไล่ตั้งแต่ ไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก” (@Kalanistan @kalanistan)

“คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว” (อกาลิโก @loving_friday) อีกรายแถม

จากนั้นเป็นรายการทวงบุญคุณ ผ่านทางผู้สื่อข่าวเพื่อทหาร Wassana Nanuam ยอยศ “นักรบสีน้ำเงิน หน่วยทหาพัฒนา บก.ทัพไทย นพค.๒๑ ๒๒ ๒๔ สนภ.๒ นทพ.บก.ทท. กระจายกำลังช่วยชาวบ้านทั่วอิสาน...

เราเข้าช่วยทันที ไม่มีวันหยุด ไม่มีข้อแม้ จะกลางวัน กลางคืน จะใกล้ไกล ด้วยเต็มใจ” เลยมีใครเขาหมั่นไส้

มีข้อน่าคิดว่า ปัจจุบันเป็นการช่วยหรือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่งไปแล้ว ไม่ใช่งานจิตอาสา แต่กลายเป็นภารกิจที่มีการตั้งหน่วยงาน ตั้งอัตรากำลัง ของบประมาณจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้พร้อมสรรพ”

ดังที่ Atukkit Sawangsuk คอมเม้นต์ไว้ว่า “ใน ทบ. มีหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ในกองบัญชาการกองทัพไทย กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานความมั่นคงภายในและขยายโครงสร้างกองทัพเป็นรัฐในรัฐ...

เป็นเสมือนเป็นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอีกกรมหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในรั้วสีเขียว เผลอๆ จะมีกำลังมีอุปกรณ์และใช้จ่ายงบประมาณได้สะดวกกว่า”

นั่นจะว่า คสช.สะดุดขาตัวเองก็ได้ ความเสียหายบนใบหน้าเกิดจากกรมชลฯ ไม่ได้แจ้งชาวบ้านตอนเขื่อนแตก แต่ คสช. ดันไม่แก้ไข กลับไปพาลใส่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เสียอีก

ซึ่งถ้าดูตามจริงแล้วก็ตกที่นั่งเดียวกัน สมัยปี ๕๔ ฝนตกมากเกินคาดจนเขื่อนต่างๆ เอาไม่อยู่ ต้องปล่อยน้ำเข้ากรุง (โดยเลี่ยงวัง) พวกโรงงานชานกรุงเลยโดนกันกระอัก (กลายเป็นข้อกล่าวหาในหมู่เสื้อแดงว่าเขื่อนกับกรมชลฯ สมคบคิด ทำ conspiracy ปล่อยน้ำทำลายยิ่งลักษณ์)

ปีนี้ก็มีทฤษฎีสมคบคิดเหมือนกันในหมู่ สลิ่มจากโพสต์ของ พัชรียา รักในหลวงยิ่งชีพ (ดูเหมือนเธอว์จะเอาฮาเสียมากกว่า) บอกว่า

“น้ำท่วมครั้งนี้สาเหตุน่าจะมาจากผลกรรม ที่ ปชช. ประท้วง ที่ทำกับในหลวง ร.๙ รึเปล่า...มีมารกลุ่มหนึ่งพยายามล้มล้างราชวงศ์...หลายจังหวัดนะที่รวมกลุ่มกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน...

นี่ไงผลกรรมตามมาแล้ว เมื่อไม่มีบารมีพระองค์คอยคุ้มครองแล้ว...เหลือชาวกรุงเทพนะที่จะโดนหนักหน่อย...ตอนนี้ที่น้ำไม่กรุงเทพฯ เพราะยังมีพระบรมศพของพระองค์หรอกนะ”

จ้า.......

จอม เพชรประดับ ยืนยัน "โกตี๋"ถูกอุ้มหายจากประเทศเพื่อนบ้านอาจข้ามฝั่งเข้าไทยแล้ว





"โกตี๋"ถูกอุ้มหายจากประเทศเพื่อนบ้านอาจข้ามฝั่งเข้าไทยแล้ว

ผมได้รับคำยืนยันจากคนที่ใกล้ชิดกับ โกตี๋ ( วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ) หรือ สหายหมาน้อยว่า โกตี๋ ได้ถูก กลุ่มชายชุดดำ ประมาณ 10 คน หลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรหม พร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าจับตัวไป เมื่อเวลา 9.45 ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ขณะที่ โกตี๋ กำลังจะลงจากรถ เพื่อจะเข้าบ้านพร้อมเพื่อนอีก 2 คน โดยกลุ่มชายชุดดำดังกล่าว ได้แอบซุ่มตัวอยู่ข้างบ้านก่อนที่ โกตี๋จะมาถึง และเมื่อโกตี๋ กำลังจะก้าวลงจากรถ พร้อมเพื่อนอีก 2 คน กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวก็ได้กระจายกำลังกัน เข้าจับกุมทั้ง 3 คน โดยเอาผ้าคลุมหน้าทุกคน พร้อมเอาผ้ายัดปาก และมัดมือไพล่หลัง จากนั้นก็แยก โกตี่ พาไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ ส่วนเพื่อนโกตี๋อีก 2 คน ถูกลากมาขังไว้รวมกันไว้ภายในบ้าน จากนั้น กลุ่มชายชุดดำก็ออกจากบ้านไป

หลังจากเพื่อนโกตี๋ทั้ง 2 คน ดิ้นหลุดจากการถูกมัด ก็ได้เรียกให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงช่วย โดยแจ้งให้ตำรวจในพื้นที่ทราบแล้ว

เพื่อนโกตี๋ที่ถูกจับ เล่าให้ฟังว่า ชายชุดดำที่เข้ามาจับกุมพวกตนนั้น พูดภาษาไทย และใช้ที่ช๊อตไฟฟ้า ช๊อคเข้าที่ต้นคอตน จากนั้นก็ซ้อมแต่ละคน พร้อมขู่ไม่ให้พูด ไม่ให้ร้อง ขณะเดียวกันเขาบอกว่า ยังได้ยินเสียง โกตี๋ พูดว่า "โอ้ย หายใจไม่ออก" จากนั้น เสียงโกตี๋ ก็เงียบไป

ซึ่งตอนนี้เพื่อนทั้งสองคนได้แจ้งความกับตำรวจในพื้นที่แล้ว แต่ยังไม่มีใครทราบว่า ถึงตอนนี้โกตี๋ อยู่ที่ไหน และยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่จากคำบอกเล่าของคนใกล้ชิดโกตี๋เชื่อว่า ตอนนี้ โกตี๋ น่าจะยังมีชีวิตอยู่และน่าจะถูกนำตัวข้ามไปฝั่งไทยเรียบร้อยแล้ว

( ภาพประกอบ - เป็นอุปกรณ์ที่กลุ่มชายชุดดำใช้ในการอุดปาก ปิดหน้า และมัดมือ )

ปล..แม้ว่าหลายกลุ่มในขบวนที่กำลังต่อสุ้กับอำนาจเผด็จการในประเทศไทย จะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการต่อสุ้ของ โกตี๋ แต่สำหรับผม ผมชื่นชมในความกล้าด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อต่อสู้ในสิ่งที่เขาคิดและเขาเชื่อ ... ขอให้ปลอดภัยนะครับ

ที่มา FB



Jom Petchpradab









.....

เรื่องเกี่ยวข้อง...

ด่วน! ข่าวร้าย สหายหมาน้อย (โกตี๋) ถูกจับตัวไปแล้ว... ๓๐ ก.ค. ๒๕๖๐
https://www.youtube.com/watch?v=of02wXC_M8k&feature=youtu.be

ในอนาคตเราอาจจะเห็น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดนจำคุกหรือยึดทรัพย์ สำหรับผู้ที่อยากเห็นคณะรัฐประหาร เข้าคุกในอนาคต เราอาจจะต้อง "เสียสละ" ให้ยิ่งลักษณ์ เข้าคุกก่อน...




โดย Thanapol Eawsakul


ชนชั้นนำไทย ไม่เคยเล่นงานกันถึงติดคุกติดตะราง
(บทเรียน ครบ 9 ปี ทักษิณหนีไปต่างประเทศ กับความผิดพลาดในชีวิตที่ยิ่งลักษณ์เอามาเป็นบทเรียน ถึงเวลาหยุดปรองดอง/เกี้ยเซียะกันเสียที)

....................

1. ย้อนอดีต จอมพลป. พิบุูลสงคราม นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องเข้าคุกและการ ปรองดอง/เกี้ยเซียะ

เมื่อสงครามสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงคราม ได้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ฝ่ายอักษะ และประกาสสงครามกับ อังกฤษ และอเมริกา รวมทั้งได้รุกราน ยึดครองดินแดนของฝรั่งเศส อังกฤษ แม้ทั่วโลกจะมีการ ตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นเพื่อพิจารณาความผิดของฝ่ายอักษะที่เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ทหารนาซีของประเทศเยอรมนีถูกแขวนคอ จำนวน 12 คน และทหารญี่ปุ่นถูกแขวนคอ จำนวน 7 คน รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีโตโจ

ในส่วนของประเทศไทยนั้นก้ได้มีการตั้งศาลอาชญากรสงคราม มีผู้ต้องหา จำนวน 4 คน คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หลวงวิจิตรวาทการ พลตรีประยูร ภมรมนตรี และนายสังข์ พัธโนทัยหรือนายมั่น ชูชาติ แม้พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488 จะระบุว่า
"อาชญากรสงครามเป็นภัยอันร้ายแรงต่อความสงบของโลก สมควรที่จะจัดให้บุคคลที่ประกอบได้สนองกรรมชั่วที่ตนได้กระทำตามโทษานุโทษ เพื่อเป็นการผดุงรักษาความสงบของโลก อันเป็นยอดปรารถนาของประชาชาติไทย "

แต่ด้วยการช่วยเหลือกัน ต่อมาได้มีคำวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488 เฉพาะที่บัญญัติย้อนหลังให้การกระทำความผิดก่อนวันที่ใช้พระราชบัญญัติเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติด้วยนั้น ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 14 และเป็นโมฆะตามมาตรา 61 เมื่อบทบัญญัติที่โจทก์ฟ้องขอให้เอาผิดแก่จำเลย ศาลวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโมฆะ อันจะลงโทษจำเลยไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่ศาลจะฟ้องคำพยานหลักฐานโจทก์ในเรื่องนี้ต่อไปอีก จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสีย ปล่อยจำเลยทั้งสามพ้นข้อหาไป ส่วนคดีอาชญากรสงครามที่หลวงวิจิตรวาทการ จำเลย ยังไม่ได้สืบพยานเลยก็ได้รับการพิพากษาโดยเหตุผลเช่นเดียวกัน จึงส่งผลให้คดีอาชญากรสงครามทุกคนถูกปล่อยทั้งหมด "
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=อาชญากรสงคราม

เป็นอันว่าแม้จอมพลป. พิบุูลสงคราม จะติดคุก แต่ก็รอดออกมาอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น ยังไม่มีนายกรัฐมนตรีไทยคนไหน ต้องเฉียดกรายเข้าคุกเลย

ไม่ว่าจะก่ออาชญากรรม เช่นไร
ไม่ว่าจะเป็น สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ตายคาเก้าอี้) ถนอม กิตติขจร สุจินดา คราประยูร

เหตุผลที่ชนชั้นนำ ไม่เล่นกันแรงขนาดติดคุก ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขา ใจดี อะไรหรอก แต่ชนชั้นนำไทย คิดว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ถ้าไปเอาใครติดคุก ไม่แน่ว่าอนาคตตัวเองจะติดคุกด้วย

2. บทเรียนทักษิณ ชินวัตร กับการปรองดอง/เกี้ยเซียะ ไม่ต้องเข้าคุก

นอกจากความผิดพลาดในทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตรคือ การ ยอมให้มีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้ง ๆ ที่ตัวเองถือไพ่ที่ได้เปรียบอยุ่ในมือคือการอยู่ที่เวทีสหประชาชาติ แค่การขึ้นเวทียืนยันว่าตัวเองยังเป็นผุ้นำที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ประเทศมหาอำนาจทุกประเทศก็ยอมรับแล้ว

เพียงแค่นั้น คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ที่นำโดย พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ก็จะกลายเป้นตัวตลกในหมู่ชาวโลก

หลังจากนั้นไพ่ก็หลุดจากมือทักษิณ ถึงแม้เลือกต้้ง 23 ะันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนจะชนะ และมีนายบกชื่อสมัคร สุนทรเวช ทำให้เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ทักษิณ ชินวัตร "ก้มลงกราบผืนแผ่นดิน" ที่ "สนามบินสุวรรณภูมิ"

ระหว่างนั้นมีการขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อสืบพยาน ปกติ ระหว่างนั้นมีการไซโค ว่าทักษิณจะติดกคุกยาว จะมีคดีอื่น ๆ อีกจำนวนมากรออยู่ จนทำให้ทักษิณถอดใจ

ซึ่งนั่้นก็เข้าทางที่ฝ่ายอำมาตย์คิดไว้ตลอดคือให้ทักษิณหนี

เมื่อสมการตรงกันคือ
1.ทักษิณ กลัว เลยคิดหนี
และ 2 .ฝ่ายอำมาตย์ต้องการให้ทักษิณหนี

กรกฎาคม 2551 ทักษิณ ขออนุญาต "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" เดินทางออกนอกประเทศไปเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2551 โดยระบุว่า จะเดินทางไปชม มหกรรมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วจะเดินทางกลับมาประเทศไทยในวันที่ 11 สิงหาคม 2551

พ.ส.นั้นใครก็รู้ว่าการที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อนุญาติให้ออกนอกประเทส คือการที่อำมาตย์อนุญาตให้หนีนั่นเอง

หลังจากนั้นผ่านไป 9 ปี (กรกฎคม 2551-2560) ทักษิณ ก็ไม่ได้กลับเมืองวไทยอีกเลย

3. กรณียิ่งลักษณ์ ไม่หนี โยนภาระให้กับฝ่ายอำมาตย์แก้ปัญหาเอง

เช่นกันเมื่อมีรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 คณะรัฐประหารก็มามุกเดียวกันคือจะใช้คดีจำนำข้าวมาขู่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ซึ่งก็ใช้การขู่มารเป็นเวลา 3 ปีแล้ว ทั้งจำคุก ทั้งยึดทรัพย์ แต่กลายเป็นว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่หนี

ดังนั้นภาระทั้งหมดก็จะตกไปที่ฝ่ายอำมาตย์เอง ที่จะบอกให้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินออกมาอย่างไร

เอาเข้าจริงตอนนี้คนที่ร้อนใจที่สุดคือฝ่ายอำมาตย์ ไม่ใช่ยิ่งลักษณ์
เพราะถึงจะติดสินจำคุกหรือยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ คนจะเดือดร้อนต่อไปคือ ฝ่ายอำมาตย์คือคณะรัฐประหารเองนั้นแหละ

เพราะเท่ากับว่าหลังจากนี้จะหมดเวลาปรองดอง /เกี๋ยเซี้ยะแล้ว

ถ้าจำคุกหรือยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ ได้ คิดหรือว่าในอนาคตคณะรัฐประหารจะไม่โดน จำคุกหรือยึดทรัพย์

ใครจะกล้ารับประกันว่า ในอนาคตเราอาจจะเห็น

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดนจำคุกหรือยึดทรัพย์
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดนจำคุกหรือยึดทรัพย์
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดนจำคุกหรือยึดทรัพย์
พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดนจำคุกหรือยึดทรัพย์
พลอากาศเอก ดร.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดนจำคุกหรือยึดทรัพย์
พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดนจำคุกหรือยึดทรัพย์

อย่าลืมนะครับ ต่ำที่สุดคนเห่านี้ทำผิดประมวลกฎหกมายอาญา มาตรา 113 ที่ว่า

ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ทุกวันนี้ความผิดยังมีอยู่ เพียงแต่ว่ามีการนิรโทษกรรมเทานั้น

สุดท้ายสำหรับผู้ที่อยากเห็นคณะรัฐประหาร เข้าคุกในอนาคต
เราอาจจะต้อง "เสียสละ" ให้ยิ่งลักษณ์ เข้าคุกก่อน แล้วเราจะหมดเวลาปรองดอง/เกี้ยเซียะกันเสียที

ที่มา FB

Thanapol Eawsakul


ประยุทธ์ต้องมีคำตอบ น้ำท่วมสกลนคร ทำไมต้องปิดข่าวอ่างเก็บน้ำแตก



.....

น้ำท่วมสกลนคร ตอนทำไมต้องปิดข่าวอ่างเก็บน้ำแตก

น้ำท่วมสกลนคร ตอนทำไมต้องปิดข่าวอ่างเก็บน้ำแตก (มีคลิปและเรื่องราว)

ภาพหลังอ่างเก็บน้ำแตกไปแล้ว ภาพภายหลัง ในตอนเย็นวันที่ 29 ก.ค 60

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่...
(https://thai-cybernews.blogspot.tw/2017/07/blog-post_30.html)

.....

.....

  สกลนครน้ำท่วมอ่วม ล่าสุด อ่างเก็บน้ำห้วยทราย บ้านน้อยหัวคู ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.สกลนคร แตกแล้ว



https://www.youtube.com/watch?v=9qQtrrGQG0w

Ruliya ketsin

Published on Jul 28, 2017

สกลนครน้ำท่วมอ่วม ล่าสุด อ่างเก็บน้ำห้วยทราย บ้านน้อยหัวคู ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.สกลนคร แตกแล้ว

.....

ตีแสกหน้ากรมชลฯ ฐปณีย์พาพิสูจน์สกลฯอ่างแตก



https://www.youtube.com/watch?v=z8R8QT6rWKQ

มา มาดู

Published on Jul 29, 2017

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย บุกพิสูจน์หลัง กรมชลประทาน (28 ก.ค.60) ระบุว่า ทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ชี้แจงว่า ฝนที่ตกหนักจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนเซินกา ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ตั้งแต่ 27 ก.ค. วัดปริมาณฝนสูงสุดในเขต อ.เมืองสกลนคร ได้มากถึง 130 มิลลิเมตร ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ (28 ก.ค. 60) รวมปริมาณฝนตกสะสมมากถึง 245 มิลลิเมตร ส่งผลให้มีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำบ่อ อ่างเก็บน้ำห้วยเดียก อ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น และอ่างเก็บน้ำภูเพ็ก สรุปได้ดังนี้

อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำบ่อ ความจุเก็บกักสูงสุด 2.43 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีความจุมากกว่าระดับเก็บกัก ร้อยละ 107 ระดับน้ำสูงกว่าระดับเก็บกัก 0.20 เมตร เหลืออีก 0.10 เมตร น้ำจะไหลข้ามทำนบดิน เร่งระบายน้ำออกจากอ่างฯอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มระดับน้ำลดลง ยังไม่มีส่งผลกระทบต่อตัวทำนบดินของอ่างฯ แต่อย่างใด

อ่างเก็บน้ำห้วยเดียก ความจุเก็บกักสูงสุด 4.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างฯ 4.53 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 108 ของความจุเก็บกัก ระดับน้ำสูงกว่าระดับเก็บกัก 1 เมตร เหลืออีกประมาณ 0.50 เมตร น้ำจะต่ำกว่าระดับสันเขื่อน ได้เร่งระบายน้ำออกจากอ่างฯอย่างต่อเนื่อง ตัวทำนบดินยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

อ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น ความจุเก็บกักสูงสุด 2.66 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันปริมาณน้ำในอ่างฯลดลงเหลือ 1.33 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากก่อนหน้านี้มีน้ำล้นทำนบดิน และกัดเซาะสันเขื่อนลึกประมาณ 4 เมตร ยาว 20 เมตร ทำให้มีน้ำไหลออกจากอ่างฯลงสู่ด้านท้าย ไปรวมกับปริมาณน้ำในลำนำธรรมชาติที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่ด้านท้ายอ่างฯและถนนบางส่วน กรมชลประทาน ได้เร่งตรวจสอบความเสียหาย พร้อมหาแนวทางซ่อมแซมและแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนแล้ว

อ่างเก็บน้ำภูเพ็ก ความจุเก็บกักสูงสุด 3.0 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างฯมากถึง 2.91 ล้านลูกบาศก์เมตร ได้เร่งระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง และทำนบดินยังไม่ได้รับผลกระทบในขณะนี้ เส้นทางการไหลของน้ำในเขตเมืองสกลนคร เกือบทั้งหมดจะไหลไปรวมลงสู่หนองหาร และระบายออกทางลำน้ำก่ำเพียงลำน้ำเดียว ก่อนจะไหลไปลงแม่น้ำโขง แต่เนื่องจากลำน้ำก่ำมีปริมาณน้ำเต็มความจุของลำน้ำแล้ว ทำให้การระบายน้ำจากหนองหาร ไม่สามารถระบายได้อย่างสะดวก จึงทำให้เกิดการท่วมขัง ในเบื้องต้น กรมชลประทาน ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำจำนวน 2 จุด ที่บ่อบำบัดน้ำเสีย จ.สกลนครและหนองสนม เพื่อเร่งระบายน้ำ หากไม่มีปริมาณน้ำมาเพิ่มเติมคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติในเร็ววันนี้

กรณีที่มีข่าวลือเรื่องของอ่างเก็บน้ำห้วยทราย ที่อยู่ใกล้กับพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์แตกแล้ว นั้น กรมชลประทานขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า อ่างเก็บน้ำทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ที่มีเต็มอ่างฯนั้น ยังไม่มีอ่างเก็บน้ำใดที่แตกร้าว ทุกอ่างฯยังมีควมมั่นคงแข็งแรงดี

สำหรับการแก้ปัญหาในเบื้องต้น กรมชลประทาน ได้ระดมเจ้าหน้าที่และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าพื้นที่ เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่อย่างเร่งด่วนแล้ว ทั้งนี้ กรมชลประทาน ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สั่งการให้โครงการชลประทานในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งระดมเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ และกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมกับประสานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในครั้งนี้

ooo




Thailand: Critics say royal family law is stifling dissent





Thailand: Critics say royal family law is stifling dissent


Source: Al Jazeera

Thailand's military government is increasing efforts to stop people insulting or criticising the royal family.

The law is designed to prevent criticism of the monarchy.

But critics say it is being used to stifle dissent.

Over the past three years, there have been more than 100 cases of people being charged or convicted under tough laws that carry jail sentences of up to 15 years.

Al Jazeera's Wayne Hay reports from Khon Kaen, Thailand.

นักเศรษฐศาสตร์เตือน คสช."ประมูลข้าวเหมาโกดัง"อาจสร้างความเสียหาย




https://www.youtube.com/watch?v=oUewd_Sd7y8

นักเศรษฐศาสตร์เตือน คสช."ประมูลข้าวเหมาโกดัง"อาจสร้างความเสียหาย

jom voice

Published on Jul 30, 2017

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ Thais Voice เกี่ยวกับการประมูลเพื่อระบายข้าวจากโกดัง ซึ่งเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเพื่อไทยที่ผ่านมา โดยเกิดปัญหากับเจ้าของโกดังข้าวว่า รัฐบาลคสช.ตั้งใจดีที่จะเร่งระบายข้าวในโกดัง เพื่อไม่ให้ข้าวฤดูกาลใหม่ออกมาเพิ่มเติมอีก และเป้าหมายการประมูลเพื่อไม่ให้กดราคาข้าวในตลาดต่ำไปกว่านี้ แต่การประมูลเหมาโกดัง โดยหากมีข้าวเกรดซี มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ให้ขายเป็นข้าวอาหารสัตว์ทั้งโกดัง ทั้ง ๆ ที่อีก 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เป็นข้าวเกรด เอ และ บี สามารถรับปรุงให้เป็นอาหารคนได้ แทนที่จะแยกกองประมูลตามคุณภาพข้าว แต่ให้ประมูลทั้งโกดัง แบบนี้จะทำให้เกิดความเสียหายขึ้น และใครจะรับผิดชอบความเสียหายของเจ้าของโกดัง จะฟ้องร้องรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ได้ เพราะมี ม.44 ให้การคุ้มครองอยู่ ซึ่งหากประมูลลักษณะนี้ รัฐบาล คสช.เข้าข่ายสร้างความเสียหายด้วยเช่นเดียวกับรัฐบาลเพื่อไทย แต่ คสช.กลับไม่ถูกฟ้องร้องเอาผิดถามว่าความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 30, 2560

ห่านอู-วินธัย วัวสันหลังหวะแก้ตัวแก้ต่างกันระห่ำ

วัวสันหลังหวะ ละสิ ดาหน้ากันออกมาแก้ตัว แก้ต่างกันระห่ำ โน ไม่ใช่เรื่องนางนราพร จันทร์โอชา แต่งชุดดำทำพิธีวันเฉลิมฯ ร.๑๐ (เห็นที่ปารีสเขาก็แต่งกัน คงเอาอย่างราชธิดาละมัง)

แต่เป็นเรื่องข้าวดีขายเป็นข้าวเน่า เพราะใช้มาตรฐานหม่อมหลานคิดเอง กับเรื่องน้ำท่วมอีสาน บานเบอะที่สกลนคร ใครๆ ก็อยากลงไปช่วย ยกเว้นลุงตูบไม่ว่าง ทหารอากาศก็ไป นายตำรวจหย่ายเอาบ้าง

แล้วก็ อ้อ ทหารเรือยังยุ่งไปไม่ได้ (ไม่ใช่รอเรือดำน้ำจีนหรอกนะ หากแต่) ต้องไล่เก็บคลิปเมียด่าพวกพลทหาร ๒๐ นาย ที่เกณฑ์ไปใช้งานในร้านอาหารของตน ใครไม่รู้แอบปล่อยออกมานองเน็ต

ประเด็นคลังข้าว ๘ แห่งร้องให้ทางการตรวจสภาพใหม่ หลังจากที่มีทั้งคลิป ทั้งหนังสือร้องเรียนทางการ ระบุว่าทหาร-ตำรวจตรวจข้าวแบบปกปิดไม่ให้เจ้าของเห็น ข้าวเป็นพันๆ กระสอบ ตรวจแค่ ๕ แล้วบอกว่าข้าวเน่า ตามมาตรฐานของ ม.ล.ปนัดดา ดิสกุล ปลัดสำนักนายกฯ คนก่อนที่โด่งดังซื้อไม้ค์ทองคำใช้ในทำเนียบฯ
 
มอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดฉากปฏิเสธ อ้างว่า ๕ ใน ๘ แห่งมีข้าวต่ำกว่ามาตรฐาน (เกรด ซี) ปนอยู่เกินร้อยละ ๒๐ อีก ๓ โกดัง เป็นข้าวเสียเกินกว่าร้อยละ ๘๐ ใช้บริโภคไม่ได้ทั้งคนและสัตว์ ต้องใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงานเท่านั้น


ด้านโฆษกรัฐบาลทหารพล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เอาเชียว หาว่าออกมาเรียกร้องกัน “ในช่วงใกล้วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินคดีโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคพวก

ซึ่งอาจตีความได้ว่า หวังให้เกิดผลทางคดีหรือเรียกร้องความเห็นใจจากสังคม” นั่นละสิ โดนกลั่นแกล้งรังแก หากไม่มีทางสู้ก็ต้องเรียกร้องความสนใจของสังคมในทางสาธารณะ

ทั่น ห่านอู ยังกระแนะกระแหนเป็นทำนองว่า พวกรัฐประหารสืบทรัพย์พบเงินของอดีตนายกฯ หญิง ๑๖ บัญชี ตอนโดนยึดทรัพย์นี่ไหงมีจำนวนน้อยกว่าเมื่อตอนพ้นตำแหน่งได้ปีเดียว


ตอนนั้นแจ้งไว้ ๖๑๒ ล้าน ตอนนี้เท่าที่กรมบังคับคดีถอนเอาไปเก็บไว้ในพกตัวเอง รออายัด ๗ บัญชี มีแค่หลักแสน

ยิ่งกรณียึดทรัพย์นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ พอลิ่วล้อ คสช. ล้วงเข้าไปถึงบัญชี พบว่ามีเหลือแค่ ๒,๗๐๐ บาท

โธ่ ถัง จะกล่าวอ้างโจมตีว่าเขาหมกทรัพย์หรือผ่องถ่าย อย่างใดๆ ก็แล้วแต่ มัน justified สมควรอยู่นะ คนจะโดนตบทรัพย์ จะให้เขาเอาเงินมากองไว้รอโจรอย่างนั้นหรือ

แล้วนี่อีกคน โฆษกคณะยึดอำนาจ คสช. บอก เรื่องน้ำท่วมอีสานอย่าโยนบาปรัฐบาล ฝนตกหนักบางพื้นที่ปริมาณมากเกินไป การระบายน้ำตอบสนองไม่เต็มที่ มันก็ต้องท่วม

การให้ข้อมูลในบางลักษณะอาจทำให้สังคมเข้าใจได้ว่า อาจมีเรื่องการเมืองผสมมาด้วย อย่างในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา”

พล.อ.วินธัย สุวารี อ้างด้วยว่าอุทกภัยครั้งนี้ “มีความต่างอย่างมากกับเมื่อครั้งปี ๕๔ เพราะครั้งนั้นปริมาณฝนไม่ได้ตกมาในลักษณะฉับพลันแบบนี้”


แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ อย่างนี้ไม่ใช่สองมาตรฐานหรอกนะนี่ แต่ไม่มีเลยซักมาตรฐาน ถึงได้มีคอมเม้นต์จาก โลกแม่งดัดจริต shared Wassana Nanuam's post.

“น้ำท่วมยุคอีปูว์ = อีโง่ นายกควาย บริหารเหี้ยๆ จนน้ำท่วม น้ำท่วมยุคท่านตูบ = น้ำท่วมเป็นเรื่องธรรมชาติ วอนอย่าโยนบาปให้รัฐบาล”

ตัวหัวหน้ายิ่งแล้วไปใหญ่ วันก่อนเอาอีก พูดเรื่องราคายางพารา บลา บลา รู้ดีไปถึงมาเลย์-อินโด แถมมุสา “รัฐบาลนี้กล้าพูดความจริง” โทษรัฐบาลโน้น “แก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ หรือเลี้ยงไข้เพื่อเรียกคะแนนเสียง


สามปีกว่ามานี่เคยรับผิดชอบอะไรบ้างไหม ทำอะไรผิดพลาดโทษรัฐบาลที่แล้วก่อ พอแก้ไขอะไรไม่ได้อ้างเป็นปัญหาสะสม นี่ดีนะยังไม่เผลอพูดว่าที่น้ำท่วมชักจะหนักในปีนี้เพราะสะสมมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนเมื่อสามปีที่แล้ว

กับเรื่องอะไรที่เข้าเนื้อตัวเองละเงียบกริบ อย่างกรณีคลิปหลุดภรรยานาวาเอกยืนบริภาษณ์พวกพลทหารที่เอาไปใช้งานในร้านอาหารส่วนตัวที่ระยอง ไม่มีเงินเดือนแต่ให้อยู่กินที่ร้าน แล้วหักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๓๐๐ บาทต่อเดือนเป็นค่าเช่า

ที่ร้ายก็ตรงที่ไอ้เณรถึง ๒๐ คนเหล่านี้ ไม่มีใครกล้าฮึดฮัดขัดขืน ไม่งั้นจะถูกส่งลงใต้ให้อยู่เขตอันตรายชายแดน นับเป็นพฤติกรรมกดขี่เยี่ยงทาส เข้าข่าย ค้ามนุษย์ดังที่ Siriphon Kusonsinwut ประจานว่า


“ไม่มีความชั่วร้ายใดที่จะต่ำทรามไปกว่า การกดหัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกันลงเป็นทาสแบบนี้” และมี Social Hunter ช่วยรณรงค์วิงวอน #ผู้มีอำนาจโปรดช่วยเหลือพลทหาร @ร้านอาหาร จ.ระยอง ด้วย

ภาพที่เราจะไม่เห็นในรัฐบาลนี้ เพราะรัฐบาลนี้ไม่สร้างภาพ 🤣🤣🤣





ภาพที่เราจะไม่เห็นในรัฐบาลนี้ เพราะรัฐบาลนี้ไม่สร้างภาพ 🤣🤣🤣 น้ำท่วมฉิบหายทั้งอีสานทั้งเหนือ อย่าว่าแต่นายกฯ เลย รัฐมนตรีก็ยังไม่มีลงพื้นที่ซักคน


Atukkit Sawangsuk

ooo

เธอผู้หยั่งรู้อนาคต




"ปิยบุตร"ชำแหละ"ศาลฯนักการเมือง"อำนาจพิเศษ ทำลายหลักยุติธรรม




https://www.youtube.com/watch?v=8s29SQGXVG0

"ปิยบุตร"ชำแหละ"ศาลฯนักการเมือง"อำนาจพิเศษ ทำลายหลักยุติธรรม


Published on Jul 28, 2017
ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ Thais Voice เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า เป็นศาลพิเศษ ตั้งขึ้นเพื่อเอาผิดนักการเมืองทุจริต ทั้งๆ ที่มี ปปช.อยู่แล้ว เมื่อให้น้ำหนักในเรื่องที่จะจับกุมนักการเมืองทุจริตเป็นสำคัญ การรักษาไว้ซึ่งหลักความยุติธรรมจึงลดน้อยลงไป รวมทั้งองค์กรอิสระ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็เช่นกัน กลายเป็นอำนาจที่ 4 แม้จะปลอดจากการแทรกแซงจากนักการเมืองแทรกแต่ก็มีอำนาจอื่นแทรกแซง องค์กรเหล่านี้สร้างปัญหาทั้งปัจจุบันและอนาคต


อีกแล้ว! ลองหัดโทษตัวเองดูบ้างได้ไหม คุยนักหนาว่าสมองทหารเก่ง... "บิ๊กตู่"ซัด"รบ.ก่อน"เลี้ยงไข้แก้ปัญหา"ยาง"เรียกคะแนนเสียง!!



ooo

"บิ๊กตู่"ซัด"รบ.ก่อน"เลี้ยงไข้แก้ปัญหา"ยาง"เรียกคะแนนเสียง!!





ที่มา คมชัดลึก

"บิ๊กตู่" โว กล้าพูดความจริง ใช่แก้ปัญหายางแบบหวังคะแนนเสียง ชี้เป็น"สินค้าการเมือง" ส่วน "ข้าว" ยิ่งใส่เงิน เหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ แขวะประกันราคา แค่ชะลอปัญหา


28 ก.ค.60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า ประเทศมาเลเซียเพื่อนบ้านของเราที่เป็นประเทศผู้ผลิตยางพาราเช่น เดียวกับไทย แต่ไม่ประสบปัญหาราคายางราคาตกต่ำ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาผลิตยางพาราเกือบล้านกว่าตัน เป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เขาคาดการณ์ความต้องในการใช้ยางจะถึงทางตัน เพราะมีอย่างอื่นมาแทน เขาตัดสินใจโค่นต้นยางตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จนเมื่อปี 2545 เขามียางพาราอยู่แค่ 7 แสนตันเท่านั้น และเขาเพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ยางในประเทศ 4–5 แสนตัน นั่นคือผลิตออกมาพอดีกับที่ใช้ภายในประเทศ ส่วนอินโดนีเซีย เขาปลูกยางมาก แต่ใช้ในประเทศน้อย ไม่ต่างจากไทย แต่ก็ไม่มีปัญหาเหมือนเรา เพราะยางของเขาอยู่ในป่าเป็นต้นยางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ชาวบ้านเห็นว่าราคาดี ก็เลยไปกรีดเอาออกมาขายตอนไหนเห็นราคาไม่ดีก็ไม่ไปกรีด เขาก็ไปทำอาชีพอย่างอื่น ดังนั้น แม้ราคายางพาราขึ้นลงก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเพื่อนบ้านเราเนื่องจากผลิตให้พอดีกับการใช้ภายในประเทศ ที่เหลือก็ส่งออก พร้อมกับแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า

"เราต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ โดยประเทศไทย ในปี 2545 มียางพาราอยู่ 3 ล้านตัน ปัจจุบันมี 5.4 ล้านตัน แต่การใช้ยางในประเทศ ใน 15 ปีที่ผ่านมา เรายังอยู่ที่ 4–5แสนตัน ไม่เพิ่มขึ้นจากเดิมนัก นั่นก็แปลว่า เราต้องส่งออกมากขึ้นๆ ทุกปีแต่ถ้าวันหนึ่งโลกนี้ไม่ต้องการใช้ยางพารา มีสิ่งอื่นทดแทนที่ถูกว่า หรือดีกว่าแล้วยางพาราส่วนเกิน ราว 4–5 ล้านตัน เราจะทำอย่างไร ราคาก็ต้องตกแน่นอนอยู่แล้ว ที่แย่กว่านั้น เกษตรกรชาวสวนยางของเราปรับตัวทันหรือไม่ แรงงานในสวนยางจะทำอย่างไร หากเราไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ มีเพียงแต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริง ถ้าวันนี้เรายังใช้การแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวันๆ หรือ เลี้ยงไข้ เพื่อเรียกคะแนนเสียง เพราะยางพารา ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่กลายเป็นสินค้าการเมืองไปแล้วและเกิดขึ้นในบ้านเราเท่านั้น" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ข้าวก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง จำนวนส่งออก 20 ล้านตัน ถูกกำหนดราคาโดยตลาดโลก ถ้าเรายังแก้ปัญหาโดยการหว่านงบประมาณลงไปอุดหนุน ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรรู้ถึงการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ยิ่งเราใส่เงินลงไปก็เหมือนใส่น้ำมันเข้าไปในกองไฟ เหมือนสนับสนุน หรือชอบให้แห่กันปลูกยาง แล้วปัญหาก็ไม่จบ ขยายตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยการประกันราคา พยุงราคา มันก็แค่ชะลอปัญหาเท่านั้น ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนของรัฐบาลคือ 1.ปรับสมดุลการผลิตกับความต้องการใช้ 2. เพิ่มปริมาณการใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น ลดการเพาะปลูกในพื้นที่บุกรุก



วันเสาร์, กรกฎาคม 29, 2560

อดีตหัวหน้าคลัง อคส. ชี้ รัฐบาลคสช.กำหนดมาตรฐานข้าวตามความเห็น 'ปนัดดา' ทำธุรกิจพังทั้งประเทศ ย้ำเหตุที่มาของข้าวเน่า -ข้าวเสื่อม เพราะพาณิชย์ปิดโกดัง เลิกรมยา ถอนกล้องวงจรปิด ชะลอการระบายข้าว ตั้งราคาขายต่ำกว่า 5บาท




ชี้ 'รัฐบาลคสช.' อิงตาม 'ม.ล.ปนัดดา' กำหนดมาตรฐานข้าว ทำธุรกิจพังทั้งประเทศ


By วันเพ็ญ แถวอุดม
21 กรกฎาคม 2560
Voice TV


อดีตหัวหน้าคลัง อคส. ชี้ รัฐบาลคสช.กำหนดมาตรฐานข้าวตามความเห็น 'ปนัดดา' ทำธุรกิจพังทั้งประเทศ ย้ำเหตุที่มาของข้าวเน่า -ข้าวเสื่อม เพราะพาณิชย์ปิดโกดัง เลิกรมยา ถอนกล้องวงจรปิด ชะลอการระบายข้าว ตั้งราคาขายต่ำกว่า 5บาท

นายพศดิษ ดีเย็น อดีตหัวหน้าคลังสินค้า องค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวภายหลังการเบิกความเป็นพยานปากแรกของวันนี้(21ก.ค.) ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาตามคำฟ้องของ อัยการสูงสุด ว่า ในช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคลังสินค้าและรับผิดชอบในการกำกับดูแลสต๊อกข้าวในโครงการรับจำนำ ตั้งแต่ ปี 2554 จนถึงปี 2559 เห็นว่า ขั้นตอนในการตรวจรับข้าวเข้าสู่โครงการรับจำนำ เป็นไปตามมาตรฐานและขั้นตอนที่กำหนดโดยรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยในส่วนของ อคส.เป็นหน่วยงานโดยตรงที่รับมอบนโยบายจากกระทรวงพาณิชย์ และปฏิบัติตามคู่มือการรับจำนำข้าวของกรมการค้าภายใน ที่มีหน้าที่โดยตรงตั้งแต่การออกใบประทวน ตรวจสอบตาชั่ง ตรวจสอบเอกสารเกษตรกร จัดเก็บข้าวเปลือก จัดเก็บข้าวสาร เบิกจ่ายระบายข้าว ตั้งแต่เริ่มโครงการปี 2554 ในสมัยรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โกดังและคลังสินค้าในความดูแลของ อคส.ได้ปฏิบัติตามขั้นตอน และคู่มือเพื่อเก็บรักษาสภาพข้าวเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมาโดยตลอด ตั้งแต่ การตรวจสอบคุณภาพข้าว การรมยากำจัดแมลงและศัตรูพืช เป็นต้น

อย่างไรก็ตามจุดสังเกตในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ข้าวในโครงการรับจำนำมีหลายเรื่องหลายประเด็น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องข้าวหายไปจากโกดัง ในโกดังมีข้าวเสื่อมคุณภาพปะปน ข้าวไม่ตรงสเป็คตามโครงการรับจำนำ และอีกหลายปัญหา ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าหลังการรัฐประหาร รัฐบาล คสช.ได้มีคำสั่งโดยกระทรวงพาณิชย์ให้มีการยกเลิกการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่เคยติดตั้งอยู่ที่โกดังเก็บข้าวในโครงการรับจำนำ สั่งเปลี่ยนคณะบุคคลที่ถือกุญแจ และตั้งแต่ ปี 2557-2559 กระทรวงพาณิชย์ห้ามมิให้มีการเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา ตามปกติ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าวในโครงการรับจำนำได้รับความเสียหาย

สำหรับปัญหาเรื่องข้าวเน่า ข้าวเสียและข้าวเสื่อมคุณภาพ นั้นโดยข้อเท็จจริงแล้วข้าวที่เก็บไว้ในโครงการรับจำนำยังมีสภาพที่สามารถจำหน่ายได้ตามปกติ แต่ปัญหาเกิดจากการกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ม.ล.ปนัดดา กำหนดเอง ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ เอามาตรฐานการกำหนดคุณภาพข้าวเพื่อการส่งออกมาเป็นเกณฑ์ตรวจวัด ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวต้องเป็นข้าวที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพแล้ว จึงทำให้ข้าวในคลังและโกดังรับจำนำ ทั้งประเทศเป็นข้าวที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของ ม.ล.ปนัดดา ประกอบกับบุคลากรที่ออกไปตรวจสอบนั้นเป็นบุคลากรที่ไม่มีประสบการณ์ไม่มีความรู้เรื่องข้าวขั้นตอนการตรวจสอบไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน จนทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล และกลายเป็นที่มาของนโยบายการสั่งขายข้าวคุณภาพดี ในราคาข้าวเสื่อมคุณภาพ หรือข้าวเน่า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการบางรายประมูลข้าวได้ในราคาที่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 5 บาท ทั้งที่ข้าวในคลังบางแห่งสามารถขายในราคาที่สูงกว่า 10 บาท ทำให้ประเทศได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก

ขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพข้าวตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ ต้องตรวจข้าวให้ได้ปริมาณตัวอย่าง อย่างน้อย 5 % ของข้าว 1 กอง เช่นข้าวสาร 1 กองมีจำนวน 20,000 กระสอบ การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ต้องฉ่ำข้าวอย่างน้อย 1,000 กระสอบ แต่ในทางปฏิบัติของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นโดย ม.ล.ปนัดดา ฉ่ำข้าวแต่ละกอง ไม่ถึง 200 กระสอบ อีกทั้งยังไม่ทั่วทั้งกองข้าว แต่กลับบอกว่าข้าวที่ตรวจสอบเป็นคุณภาพต่ำ ที่แบ่งเกรดเป็น เอ บี และซี ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ตั้งขึ้นเองโดยไม่เคยมีมาก่อน

ส่วนปัญหาเรื่องการทุจริตข้าวถุง ที่เป็นข้อกล่าวหาว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้มีการทุจริตเมื่อปี 2556 นั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว ในเวลานั้นการจัดทำข้าวถุงเป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการทำข้าวถุง เพื่อจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย และไม่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรีเลย เป็นการปฏิบัติในระดับของกรมการค้าต่างประเทศ และองค์การคลังสินค้า (อคส.) แต่ อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งให้กระทรวงพาณิชย์ยกเลิก และดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่เกิดเรื่อง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2556 และ อคส.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2556 ในปีเดียวกัน วุฒิสภาได้หยิบยกเรื่องนี้มาอภิปรายในสภาฯ ตอนนี้เรื่องอยู่ระหว่างการสอบสวน และดำเนินการของ ป.ป.ช.

...

เรื่องเกี่ยวข้อง...

เปิดคำให้การพยาน 3 ปากสุดท้ายคดีรับจำนำข้าว

(http://news.voicetv.co.th/thailand/509287.html)

ooo

ใคร? ทำข้าวเสื่อม / หม่อมปนัดดากำหนดมาตรฐานขึ้นมาเอง


https://www.youtube.com/watch?v=nB0GERNd0z0&feature=share