วันอังคาร, ตุลาคม 31, 2566

เพราะ ส.ส.นักกลอนทะลุกลางปล้อง นายกฯ เลยต้องเบรค “ไม่เห็นต้องยุบ” นี่ กอ.รมน.

อ่า เพราะ ส.ส.นักกลอนทะลุกลางปล้อง นายกฯ คนเดียว ก็เลยต้องหยุดแคะจมูก หันมาตอบนักข่าว เรื่องที่อดิสร เพียงเกษ โวยให้ยุบ กอ.รมน. “ไม่เห็นต้องยุบ” นี่ เศรษฐา ทวีสิน ตอบนิดหน่อย แล้วให้รอไปฟังแถลงใหญ่

เสียงนักข่าวเซ้าซี้ต่อ ขณะนายกฯ เดินหนี “เป็นเรื่อง หนองวัวซอโมเดลใช่หรือเปล่าคะ” ก็น่าคิดนะ อันนั้นงานใหญ่ กองทัพคืนที่ราชพัสดุกว่าหมื่นไร่ให้กรมธนารักษ์ เอามาเปิดให้ชาวบ้านเช่าทำกิน ตามแผนงานของ กอ.รมน.

“ขับเคลื่อนนโยบายรัฐ มุ่งยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน” ที่มอบให้ รมว.กลาโหม สุทิน คลังแสง ลงพื้นที่แจ้งต่อประชาชนเรื่อง “พื้นที่นำร่อง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เนื้อที่ 10,476 ไร่ ซึ่งขณะนี้กองทัพบกได้ดำเนินการส่งคืนที่ดินดังกล่าวให้กับกรมธนารักษ์เรียบร้อยแล้ว”

จะเรื่องนี้หรือเปล่าไม่รู้นะ ที่ทำให้อดิสรเขียนทวิตเตอร์รุ่นๆ “กอ.รมน.คือองค์กรรัฐซ้อนรัฐ ทหารเข้ามาแทรกแซงและมีบทบาทเหนือข้าราชการส่วนอื่น สมควรยกเลิกกฎหมาย กอ.รมน.ครับ” มันพอดีคล้องจองกับที่ ส.ส.ก้าวไกลเสนอกฎหมายไว้

รอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยื่นร่าง พรบ.ยกเลิก พรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า กฎหมาย กอ.รมน. ไว้เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนรับฟังความเห็นประชาชน

“ยกเลิก กอ.รมน.เท่ากับมอบสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค ให้แก่ประชาชน สร้างประชาธิปไตย” นี่ไม่ใช่ ส.ส.ก้าวไกลพูดนะ แต่เป็น ส.ส.เพื่อไทยเขียน อดิสรยังบอกด้วยว่า กอ.รมน.แสดงถึงการที่ “ทหารยังมีอำนาจเหนือพลเรือน เหนือประชาชน”

ตัวอย่าง ไม่เฉพาะแต่เรื่องหนองวัวซอโมเดลนี่ ศปป.๔ กอ.รมน.เป็นคนจัดการ ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ ๑ กอ.รมน. หรือ ศปป.๑ กอ.รมน. ก็ยังเป็นผู้ “บูรณาการร่วมกับ พม. (กระทรวงพัฒนาสังคมฯ) ...กำหนดแนวทางการบริหารจัดการคนไร้ที่พึ่ง” ด้วย

(https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2734508, https://www.matichon.co.th/politics/news_4258423 และ https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG231028235709850) 

ที่สุดแล้วก็เป็นดัง #ก้าวไกล พูดไว้ปากเปื่อยปากแฉะ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ลดขนาดทั้งปริมาณและคุณภาพ

ไหมล่ะ ที่สุดแล้วก็เป็นดัง ส.ส.เท้งณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กับ คูมไหมศิริกัญญา ตันสกุล #ก้าวไกล พูดไว้ปากเปื่อยปากแฉะ รายการแจกเงินหมื่นของเพื่อไทย ท่าทางจะเดินตามนั้น นายกฯ ไม่พูดเอง ให้ที่ปรึกษาพูดแทน

พิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สรุปกรณี ดิจิทัลวอลเล็ตแล้วดังนี้ ประเด็นแรกเลยก็ จำนวนผู้รับแจก จะน้อยลงจากที่เคยเงื้อง่าไว้แต่แรกแน่นอน อ้างว่าถ้าแจกคนมีอันจะกินแล้ว เอาไปออม ไม่ยอมใช้จ่ายให้กระตุ้นเศรษฐกิจ

ข้อสอง เริ่มแจกได้เมื่อไร ไม่ใช่กุมภาพันธ์แล้วละ ต้องเลื่อนไปกันยายนโน่น “สาเหตุมาจากการที่จะใช้เงินงบประมาณเพียงอย่างเดียว โดยใช้งบทั้งปี 67 และ 68 รวมถึงต้องการให้ประชาชนใช้เงินช่วงปีใหม่ปี 67 และสงกรานต์ปี 68” NB News – Editor เผย

แล้วก็ สนับสนุนให้ใช้แอ็พ เป๋าตังค์“เพื่อเชื่อมโยงกับอีก Application หนึ่งที่รัฐบาลจะทำ เพื่อไม่ต้องเสียงบประมาณในการทำ Application และประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้ว” อันนี้พวกนังแบกหน้าแตกกันไปตามๆ ฐานที่อวดรู้ไม่จริงดีนัก

สุดท้าย จะได้เงินไม่พร้อมกัน “เพราะมีกระบวนการยืนยันสิทธิ์ แต่ระยะเวลาจะนับ 6 เดือน หลังจากได้การรับรองแล้ว” อย่างไรก็ดี คณะทำงานขอกั๊กไว้นิด รอข้อสรุปแน่นอนอีกที ส่วนทั่นรองฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ไปออกรายการพร้อมกัน แถอย่างเคย

“ไม่ได้เป็นการโยนหินถามทาง เมื่อมีความสนใจมากทำให้มีความเห็นหลากหลาย” และไม่มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของนโยบาย ยังไงก็ขอให้รอฟังนายกฯ หรือคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น เฮ้ย อย่างนี้หักหน้าที่ปรึกษานี่หว่า

(https://twitter.com/WatcharaR1112/status/1719201058914963968) 

ถ้าอยากเข้าใจ soft power…ถามตัวเองว่า คนญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมสวนที่ยิ่งใหญ่ของโลก ทำไมถึงบ้าสวนอันรกรุงรังของอังกฤษ เมื่อได้คำตอบ เธอก็จะเข้าใจคำว่า Soft power..


Pansak Vinyaratn
1d
·
ถ้าอยากเข้าใจ soft power…ถามตัวเองว่า คนญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมสวนที่ยิ่งใหญ่ของโลก ทำไมถึงบ้าสวนอันรกรุงรังของอังกฤษ
เมื่อได้คำตอบ เธอก็จะเข้าใจคำว่า Soft power..,

Pansak Vinyaratn
ถ้าอยากจะให้ ชัดเจนขึ้นไปอีก ก็ต้องถามว่า สวน อังกฤษตอบโจทย์ความรักธรรมชาติที่ถูกกักขังด้วยวินัยของคนญี่ปุ่น ถึงแม้จะปรุงแต่งอย่างละเมียดละไมถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นนั้น คือสวนอังกฤษเปิดเผยจิตใจของคนญี่ปุ่น

Rachaporn Choochuey
Pansak Vinyaratn ไม่ใช่เอะอะอะไรใส่ผ้าทอพื้นบ้าน อาจารย์เข้าใจสวนญี่ปุ่นได้และสวนอังกฤษได้ดีมากค่ะ จริงๆ มีหลักการที่ซ้อนทับ แต่ผลลัพธ์ต่างกันมากๆ

Pansak Vinyaratn
My dear comrades, that is the real Soft Power…

คาล รีอัล ·
แก่นของสวนญี่ปุ่นคือควบคุมธรรมชาติ จำลองป่าเขาให้อยู่ในพื้นที่จำกัด มีขนบของการจัดวางที่สืบต่อกันมา ส่วนสวนอังกฤษมีพื้นที่ว่างเปล่าเยอะกว่า เลยเอามาทำสวน จัดเอาจากป่าไม้เดิม เท่าที่พอจัดได้ ที่เหลือก็ปล่อยไปตามรูปทรงธรรมชาติอันรกรุงรังครับ
.....
English Garden

บันทึกจากเรือนจำ


Get Surariddhidhamrong
9h
·
บันทึกเยี่ยมเก็ท โสภณ
จดหมายของผมที่ผมเขียนออกมาไม่ผ่านอีกครั้ง เพราะผมเขียนเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ของผู้ถูกคุมขัง และโซ่ตรวน
สมัยก่อนทางเรือนจำเวลาผู้ถูกคุมขังถูกเบิกตัวไปที่ศาลจะต้องใส่โซ่ตรวนซึ่งมีน้ำหนักมาก แต่สมัยนี้ใครที่ถูกเบิกตัวไปศาลจะต้องใส่กุญแจเท้าแทนโซ่ตรวน ถึงจะมีน้ำหนักน้อยกว่า แต่ข้อเสียของกุญแจเท้าคือ มีเหลี่ยมและคมมาก ทำให้ผู้ถูกสวมใส่ต้องบาดเจ็บมีแผลถลอกทุกครั้ง และได้รับบาดแผลที่ลึกขึ้นสำหรับใครที่ใส่เป็นเวลานาน เมื่อถอดแล้วยังทิ้งบาดแผลและความเจ็บจากการเป็นแผลอยู่
ผมพยายามเขียนจดหมายออกมาบอกเล่าเรื่องนี้ แต่ผู้คุมไม่ให้ผ่าน เพราะเกรงว่าถ้าให้ผ่านตนเองจะถูกลงโทษเช่นกัน
ญาติผู้ถูกคุมขังต้องใจสลายทุกครั้งที่ต้องเห็นภาพคนเป็น ลูก เป็นพ่อ เป็นคนรักต้องใส่กุญแจเท้าไปศาล ญาติบางคนไม่ยอมไปเยี่ยมผู้ถูกคุมขังเพราะทำใจไม่ได้กับภาพที่ตนจะเห็นว่าผู้ถูกคุมขังถูกใส่กุญแจเท้า
ผมและผู้ถูกคุมขังบางคนไม่เคยมีพฤติกรรมการหลบหนีด้วยซ้ำ
ผมอยากบอกคนข้างนอกว่าอยู่ข้างในผมยังสู้ ขอบคุณทุกคนที่สู้เหมือนกัน อยู่ข้างในก็ต่อสู้ไปพร้อมคนข้างนอก
—————————————————
(30 ตุลาคม 2023, ประเทศเนเธอร์แลนด์)
นักเคลื่อนไหวชาวดัตช์และฮ่องกง เรียกร้องปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองชาวเบลารุส ฮ่องกง และไทย พร้อมถือโปสเตอร์แคมเปญ #LetsGetRights
Join us to Let’s Get Rights
https://bit.ly/letsgetrights
#MilkTeaAlliance MTAT - Milk Tea Alliance Thailand - พันธมิตรชานม
—————————————————
วันที่ 30 ตุลาคม 2566
เก็ทอยู่ในเรือนจำมา 68 วัน #LetsGetRights #Freeget
.....

อานนท์ นำภา
9h
·
ต้อนรับเดือนพ.ย. ที่จะถึงนี้ด้วยนัดสืบพยานจุกๆ จนต้องอุทานว่า ”เอาเวลาที่ไหนไปหนี!“ วันทำการมี 22 วัน นัดศาลไปแล้ว 19 วัน
.
พบปะ พูดคุย ให้กำลังใจกันได้ตามวัน เวลา ด้านล่างนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงเช่นการยกเลิกนัดหรือเลื่อนคดี จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
.
ขอบคุณทุกท่านที่ยังเดินทางร่วมกัน
.....
อานนท์ นำภา
9h
·
จดหมายจากเรือนจำ ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2566
.
ถึงปราณและอิสรานนท์ ลูกรัก
.
สิ่งหนึ่งที่เป็นคำถาทคาใจพ่อในขณะที่พ่อต้องอยู่ในเรือนจำคือ ความเข้าใจและภาพจำของพ่อซึ่งมีต่ออิสรานนท์จะเป็นอย่างไร อิสรานนท์จะบอกครูและเพื่อนๆ เมื่อต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาลอีก 3 ปี ข้างหน้าว่าพ่อของเขาคือใคร ทำงานอะไร จะกล้าบอกเพื่อนๆหรือไม่ว่าพ่อกำลังติดคุกอยู่ด้วยมาตรา 112
.
เพื่อนๆในชั้นเดียวกัน คงมีพ่อเป็นครูเป็นตำรวจทหารอัยการหรือศาล เด็กๆคงบอกเล่าคุยโม้เรื่องพ่อกันสนุกสนานตามประสา อิสรานนเล่าเจ้าจะอยู่อย่างไรในมุมห้องเรียนนั้น จะโดนเพื่อนล้อหรือไม่ ว่ามีพ่อติดคุก ความกังวลนี้ยังคงวนเวียนในความคิดพ่อทุกค่ำคืน
.
ปราณคงโตพอรู้ความแล้ว พ่ออยากให้ปราณบอกเล่าเรื่องราวของพ่อให้อิสรานนท์ฟัง บอกน้องว่าเหตุใดพ่อต้องติดคุก บอกน้องในสิ่งที่ครอบครัวเราต้องประสบและสิ่งที่พ่อและเพื่อนๆของพ่อต่อสู้ก่อนหน้านี้ บอกน้องว่ามันมีส่วนสำคัญต่อสังคมที่พวกเราอยู่อย่างไร พ่อภูมิใจที่ได้รับโทษทัณฑ์ในนามของการต่อสู้ คนรุ่นพ่อหวังว่าการต่อสู้ในรุ่นพ่อจะช่วยส่งต่อสังคมที่ดีงาม ไปสู่คนรุ่นลูกทั้งสองความทุกข์ยากในยามนี้ไม่อาจทำลายความฝันใฝ่เหล่านั้น
.
พ่ออยากให้ปราณเอารูปพ่อในรูปในการปราศรัยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 ให้อิสรานนท์ดูและบอกน้องว่า ”พ่อของเราคือแฮร์รี่พอตเตอร์ คือทนายอานนท์ นำภา“ เพียงเท่านี้พ่อก็จะยิ้มอย่างสุขใจในแดนตาราง สุขใจที่ได้เฝ้าดูลูกทั้งสองเติบโตในสังคมที่ดีกว่าในวันที่พ่อเขียนจดหมายฉบับนี้
.
รักและคิดถึงลูกทั้งสอง
.
อานนท์ นำภา เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แดน4

ฟังกันให้ชัดๆ "ทักษิณ" ป่วยจริงไหม? อุ๊งอิ๊งเผย "พ่อเครียดเวลาผ่าตัด โควิดทำปอดมีปัญหา" ไทยรัฐ คุยกับ แพทองธาร


Thairath - ไทยรัฐออนไลน์
19h ·
"อิ๊งค์" แพทองธาร แม่ทัพใหญ่คนใหม่ ของพรรคเพื่อไทย บอกจากใจ เผย อาการป่วยของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ สยบข่าวลือ ป่วยจริงหรือไม่?
“ขำ” ถูกถาม ถูกครอบงำโดยคุณพ่อ ส่วนหาก "ทักษิณ" พ้นโทษการเมืองแล้ว จะตั้งเป็นที่ปรึกษาฯช่วยงาน หรือ จะปล่อยให้กลับไปเลี้ยงหลานตามที่ตั้งในอยู่ที่บ้าน บอก ตามใจคุณพ่อเลย
เผย ชื่อนักการเมืองต่างประเทศ "ไอดอล" ในดวงใจ ทำไมถึงชอบ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงนิวซีแลนด์ "จาซินดา อาร์เดิร์น"
สนใจอ่านต่อที่:https://www.thairath.co.th/news/politic/2736317






ฟังจากปาก "อิ๊งค์" อาการ "ทักษิณ" ป่วย ยก อดีตนายกฯ หญิง นิวซีแลนด์ "ไอดอล" (คลิป)

30 ต.ค. 2566
ไทยรัฐออนไลน์

  • "อิ๊งค์" แม่ทัพใหญ่คนใหม่ ของพรรคเพื่อไทย เผย อาการป่วยของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ สยบข่าวลือ ป่วยจริงหรือไม่?
  • "หัวเราะ" ถูกถาม ถูกครอบงำโดยคุณพ่อ ส่วนหาก "ทักษิณ" พ้นโทษการเมืองแล้ว จะตั้งเป็นที่ปรึกษาฯช่วยงาน หรือ จะปล่อยให้กลับไปเลี้ยงหลานตามที่ตั้งในอยู่ที่บ้าน
  • เผย ชื่อนักการเมืองต่างประเทศ "ไอดอล" ในดวงใจ ทำไมถึงชอบ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงนิวซีแลนด์ "จาซินดา อาร์เดิร์น"
ฟังกันให้ชัดๆ จากปาก "อิ๊งค์" แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำคนใหม่ของพรรคเพื่อไทย กันชัดๆ ที่กล้าเปิดใจให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวไทยรัฐ จะได้ไม่ต้องไปลือ อาการ "ทักษิณ" ป่วยจริงหรือไม่ รวมถึงคำถามคาใจของสังคมปมถูกคุณพ่อครอบงำ ขณะ ยก อดีตนายกรัฐมนตรี หญิง นิวซีแลนด์ "ไอดอล" นักการเมืองต่างประเทศในดวงใจ ขณะนักการเมืองภายใน ชัวร์ ต้องเป็น"พ่อทักษิณ"

มีคนสงสัยกันเยอะ "อิ๊งค์" ถูกครอบงำโดยคุณพ่อทักษิณ หรือเปล่า

น.ส.แพทองธาร กล่าวกับ ไทยรัฐว่า "ยังเคยพูดตลกเลยว่า ทุกคนเขาจะคิดใช่ไหมว่า คุณพ่อครอบงำหรือเปล่า พอเราได้ยินเนี่ยเราก็ยิ้มเฉยๆ เพราะจริงๆ แล้ว คุณพ่อก็ยอมอิ๊งค์เหมือนกันนะคะ เหมือนที่ท่านเคยพูดในคลับเฮาส์ไงว่าคือเอาจริงๆ แล้วก็ยอมหมดทุกอย่าง เราก็จะไม่พูดแบบนั้นแต่ว่าคุณพ่อก็ ใจดี อิ๊งค์คิดว่า ใครเป็นคุณพ่อแล้วแพ้ทางลูกสาวก็มีบ้างนะคะ หรือว่าต้องมีเวลาต้องเข้าใจ"



หากคุณพ่อพ้นโทษ จะตั้งเป็นที่ปรึกษาฯ หรือมาช่วยงานไหม?

ตั้งในเรื่องของตำแหน่งเหรอคะ หรือไม่เป็นทางการตั้งในใจก็ได้นะ ในใจที่เป็นทุกตำแหน่งอยู่แล้วค่ะ ถ้าในเรื่องของตำแหน่งจริงๆ ไม่ทราบนะคะ อิ๊งค์คิดว่าคุณพ่อคงไม่ได้อยากมีตำแหน่งหรืออะไร เพราะว่าท่านก็อยากที่จะถ้ามีโอกาสถือว่าท่านก็อยากจะแบบคือ ท่านจะเสมออยากเป็นอาจารย์ อยากสอน อยากเลี้ยงหลานเป็นเบอร์ 1 ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จะเอาไปนอนบ้านคุณตาหรืออะไรอย่างนี้ ก็จะคิดว่าจะทำแบบนั้นนะคะ แต่ว่าคุณพ่อเนี่ยออกมาคงอยากเขาอยากเหมือนแนวคิดในการทำงานเขาชอบ แล้วก็ยังคุณพ่ออัปเดตตัวเองตลอดจริงๆ แบบเรื่องใหม่ๆ หนังสือใหม่ๆ นะชอบมากเขาอาจจะเขาไม่อ่านทุกหน้านะ เขาอ่านแบบรีบๆ อ่านแบบเอาใจความแล้วพี่เขา Take Note ออกมาแล้วเอามาสอนลูก

"ทักษิณ"ออกมาสิ่งแรกที่จะให้ทำคือไปรับส่งหลานอะไรอย่างนี้เลยไหม

ยัน "แล้วแต่เขาเลย"

อาการป่วยคุณพ่อ (ทักษิณ) เป็นอย่างไรบ้าง รับ เป็นความดัน ผลจากการผ่าตัด

"แพทองธาร" กล่าวว่า ตอนนี้ใช่ไหมคะ ก็เดี๋ยวนะเราต้องพูดในแง่กฎหมายด้วยนะ พูดแบบเจเนอร์รัล ช่วงนี้เป็นปัญหาเรื่องความดัน "อิ๊งค์" คิดว่าน่าจะเป็นผลจากการผ่าตัด ซึ่งโอเคค่ะ โอเค เขาสู้ เขาสู้มัน คนก็จะพูดแหละ โอ๊ยอยู่เมืองนอกทำไมแข็งแรงอย่างนี้ "อิ๊งค์" ก็คิดเหมือนกันนะคะ
 


ชี้ พ่ออายุ 74 ไม่สบายหลายครั้ง ยัน เครียดเวลาที่ต้องผ่าตัด โควิดทำปอดมีปัญหา
 
ปีนึงที่ผ่านมาเนี่ย เขาอายุ 74 เขามีการไม่สบายเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ว่าแน่นอนคุณพ่อไม่ชอบหรอกที่จะแสดงความอ่อนแอ แล้วก็ไม่ชอบให้ลูกแสดงถึงความอ่อนแอด้วย แต่คนอายุ 74 การไม่สบายไม่ใช่เรื่องไม่ปกติ ค่อนข้างปกติ คุณพ่อพยายามรักษาสุขภาพ ตอนกลับมาเนี่ย อิ๊งค์มั่นใจว่า เกิดจากความเครียด ค่อนข้างเยอะ ซึ่งความเครียดเรื่องหนึ่ง อดีตที่เคยป่วยเยอะมาก ของการเป็นโควิด คุณพ่อผอมลง 10 โล เพราะว่าอยู่ ICU ไป 9 วัน แอดมิตโรงพยาบาลไปเกือบเดือนหนึ่ง แล้วออกมาเนี่ยผมร่วงเลย ผมร่วงไปเยอะมาก ผอมลง เขาต้องใช้สเปรย์ใช้อะไรพ่นเพื่อให้ Recover กลับมาค่ะ คิดว่าอยู่ใน IG ตอนนั้น เขาผอมลงเห็นๆ เลย แล้วซึ่ง น่าจะพูดได้แหละ อาการในปอดก็ยังมีปัญหาในเรื่องของสกาที่มันเกิดขึ้น ทำให้เรื่องการหายใจ อยู่ไหนที่ไม่สบาย เวลาที่ต้องผ่าตัด



ข่าว คุณพ่อไม่ป่วยจริง วิจารณ์ในโซเชียลกันน่าดู "อิ๊งค์" เป็นลูกเครียดไหม


"อิ๊งค์" ต้องเครียดไหมคะ อิ๊งค์ว่าทุกคนมีทางออกของตัวเองนะคะ เรื่องความคิด เพราะฉะนั้นเนี่ยเมื่อเขาเห็นข่าวแล้วเขาไม่ชอบ เขาก็เขียนบางอย่าง ซึ่งอิ๊งค์คิดว่ามันก็แฟร์ ไม่เป็นไร เราเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว ใครอยากแสดงความเห็นอะไร แต่ถามว่าอิ๊งค์รู้ว่าความจริงมันคืออะไรใช่ไหมคะ แล้วอิ๊งค์รู้ความจริงมันคืออะไร แต่คงไม่ต้องอธิบายทุกอย่างออกมา เพราะมันมีเรื่องของกฎหมายด้วย มันมีเรื่องของต่างๆ นานา ที่บางที "อิ๊งค์" ก็ไม่อยากจะพลาดในการพูดไปแล้วมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณพ่อ อิ๊งค์ที่เป็นลูกน่ะใช่ แต่นั่นมัน คือ ส่วนของเขา ใช่ไหมคะ ถ้าเขามีโอกาสได้ออกมาแล้วเนี่ย สัมภาษณ์เขาเลยให้เขาตอบในสิ่งที่เขาอยากตอบเลย นั่นคือแฟร์ที่สุดใช่ไหมคะ
 
ทั้งหมดหลอมรวมให้ตัดสินใจมาสู่หัวหน้าเพื่อไทย พร้อมเผชิญความท้าทายในอนาคต

ถ้าพูดตรงๆ ชีวิต"อิ๊งค์" ก็ท้าทายมาเรื่อยๆ เหมือนกัน "อิ๊งค์" คิดว่าในวันนี้ ที่อิ๊งค์ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกพรรคเนี่ย ให้เป็นหัวหน้าพรรคอิ๊งค์คิดว่าอิ๊งค์พร้อมมาทำตรงนี้ให้มันเต็มที่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าความท้าทายจะเข้ามายังไงในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคอ่ะ อิ๊งค์ก็จะพร้อมรับมือกับมันแล้วอิ๊งค์คิดว่าอิ๊งค์ก็จะพาไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง อย่างเข้มแข็งเพราะว่าการเข้ามาตรงนี้เนี่ยอิ๊งค์ประสบการณ์เรื่องหนึ่งอิ๊งค์ใช้ใจเยอะ ยิ่งใช้ใจเยอะมากๆ ไม่ได้เข้ามาเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สนุก หรืออะไร แต่คิดว่ามันต้องมันต้องทำมันท้าทายในแง่ของความที่ว่าเราต้องพัฒนาไปสู่จุดที่ดีขึ้นทั้งหมด บางทีเราแข่งขันเราอยู่คนเดียวแข่งคนเดียวมันอาจจะง่าย แต่เนี่ยทำยังไงให้ทั้งทีมมันไปด้วยกัน อันนี้ ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไป

โครงสร้างคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ หลายคนมันบ่งบอกอะไรกับสังคมและประเทศ

"อิ๊งค์" เชื่อว่าในหลายๆ คนในในพรรค กก.บห.เนี่ยไม่ใช่แค่ว่า เอ่อดังหรือว่าอะไรนะคะ คือคนเหล่านี้ ได้มีการสัมภาษณ์คนในพรรค ได้มีการถามคนในพรรค ก่อนที่จะที่จะตั้งแต่ละคน อิ๊งค์ไม่ได้สนิทกับใคร แล้วตั้งคนนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เวลาเอ่ยชื่อขึ้นมา แล้วคนในพรรค ต้องคนนี้ต้องคนนี้คนที่ทำงานหนัก ต้องคนนี้คนนี้ มันเป็นเสียงแบบนั้นในพรรคมันทำให้ "อิ๊งค์" รู้สึกว่าชุดนี้เข้มแข็งเพราะว่าเป็นเสียง feedback กับคนในพรรค



โครงสร้างอำนาจลงตัว "เศรษฐา" เป็นนายกฯ "อิ๊งค์" ก็มาเป็น Back เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เชื่อ อยู่ยาว 4 ปี

ในส่วนตัวอันนั้นเป็นความหวังอยู่แล้วเพราะว่าพูด พอเวลาเปลี่ยนรัฐบาลแบบแบบกลางคันเนี่ยมันมีปัญหาถึงเรื่องนโยบายที่มันต่อเนื่องกันแล้วก็คนด้วยค่ะ คนที่จะแครี่นโยบายนั้นๆ ไปมันขาดตอน คุยกับรัฐมนตรีหลายท่าน เรื่อง Project เก่า Project ใหม่มันมี เรื่องธรรมดา Project เดิมที่เคยทำไว้จากรัฐบาลที่แล้ว เราต้องการโปรเจกต์นี้เข้าไปคืออันนี้เขายังเหมือนอยู่ในช่วงการแบบเปลี่ยนผ่านนิดนึงอ่ะ ซึ่งอิ๊งค์ว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วซึ่งถ้าเราสามารถอยู่จนครบเทอมได้เนี่ย เป็นเรื่องดีกับประเทศมากๆ อันนี้เป็นเรื่องดีกับประเทศ จริงๆ ทุกๆ ประเทศ รัฐบาลที่มั่นคงมันก็นำมาซึ่งเสถียรภาพของประเทศด้วย



นักการเมืองต่างประเทศ คนไหนเป็น ไอดอลของ อิ๊งค์-แพทองธาร

หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ กล่าวยอมรับว่า นักการเมืองในประเทศ ก็ต้องยกให้ คุณพ่อ (ทักษิณ) แน่ หากเป็นนักการเมืองต่างประเทศ เพราะอะไร ที่ทำให้ชอบนักแสดงคนนั้นก็จริงๆ "จาซินดา อาร์เดิร์น" อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ คือ ชอบตั้งแต่เขาเข้ามา ตอนนี้เราชอบ เขาเป็นผู้หญิงแล้วเขาก็ท้อง อุ้มลูกเข้าสภาเลยตอนนั้นน่ะ แต่ว่าตอนนั้นอีกเนี่ยท้องก่อน แล้วตอนนั้นที่มันเป็นแนวร่างกายที่เราออกไปเยอะใช่ไหมคะ แต่ของเขาเนี่ยต้องรับความกดดัน เพรชเชอร์มากเลยเพราะอยู่ในตำแหน่ง เออมันก็เป็นความคิดมันก็เป็นความยากอีกแบบนึงที่เขาทำได้ และตอนที่เขาจะออกจากตำแหน่ง เขาก็เท่มาก ประทับใจแล้วก็รู้สึกว่า ตรงไปตรงมาอ่านแล้วมัน make sense ในตัวของมัน



แสดงว่า "อิ๊งค์" ทำงานได้ชิมลาง ถ้า 4 ปีข้างหน้าได้เป็นนายกรัฐมนตรี คุณพ่อ-คุณแม่ ไม่ห้ามแล้ว

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า "อย่างที่บอกไม่เคยห้าม ไม่เคยห้าม แต่ห่วงนะคะ ไม่เคยห้ามจริงๆ ตั้งแต่เด็กแต่เล็กเนี่ยไม่เคยห้ามการตัดสินใจสุดท้ายเป็นของอิ๊งค์เสมอ อันนั้นทำให้อิ๊งค์รู้สึกว่ามีตัวตน แล้วก็มั่นใจอิ๊งค์เชื่อว่าทั้งคุณพ่อคุณแม่หวังดี แล้วก็อยากให้อิ๊งค์มีตัวตนเช่นกัน"

ผู้เขียน:เดชจิวยี่
กราฟิก:sathit chuephanngam

ทำไม ‘พวกนายแบก-นางแบก’ จึงมี ‘บทบาท’ ในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทย ???



Matichon Weekly - มติชนสุดสัปดาห์
.....
Fahroong Srikhao ฟ้ารุ่ง ศรีขาว
19h
·
ทำไม ‘แบก’ จึงมี ‘บท’ ???
มติชนมีคำตอบ
https://www.facebook.com/100064566254770/posts/707230328105836/?mibextid=cr9u03
แต่ใช่ว่า “วิธีการทำงานการเมือง” ของ “นางแบก-นายแบก” จะเป็น “คุณ” ต่อ “รัฐบาล” ไปทุกเรื่อง
เมื่อใดที่ “นางแบก-นายแบก” ทำผิดพลาดทางการเมืองอย่างฉกรรจ์ เมื่อนั้น ผู้ที่จะถูกทวงถามความรับผิดชอบด้วย ย่อมเป็น “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งไม่ยอมแสดงบทบาท “ผู้นำทางการเมือง” ตั้งแต่ต้น






‘ผู้นำรัฐบาล-ผู้นำการเมือง’ : บทบาท ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และ ‘นางแบก-นายแบก’

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2566

ต้องให้ความเป็นธรรมกันก่อนว่า เรายังไม่สามารถประเมินผลงานของ “รัฐบาลเพื่อไทย-เศรษฐา” ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย หลังจากที่นายกรัฐมนตรี และ ครม. เพิ่งมีเวลาทำงานเพียงหนึ่งเดือนนิดๆ

ผลลัพธ์ที่เริ่มปรากฏออกมาบ้าง ล้วนเป็นแค่แนวโน้มหรือจุดเริ่มต้นของภาพใหญ่ ไม่ก็เป็นกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ

นโยบายเรือธงอย่าง “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ก็ยังอยู่ในกระบวนการปรับเปลี่ยนปรับปรุงเพื่อให้ลงมือทำ-ลงมือแจกได้จริง

การประเมินผลนโยบายนี้ คงต้องไปวัดกันตรงที่ว่า “การจ่ายเงินดิจิทัล” จะกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้มากน้อยแค่ไหน?

ส่วนเรื่องบุคลิกภาพ-การแต่งกายของ “นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน” ยิ่งเป็นประเด็นจิ๊บจ๊อยปลีกย่อย ไม่ใช่สาระ-แก่นแกนหลักทางการเมือง

(เหมือนที่เราเคยหยอกล้อเล่นหัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เรื่องชอบพูดคุยกับสรรพสัตว์และปาข้าวของใส่คน แต่สุดท้าย เขาก็ครองอำนาจอยู่ได้ยาวนานถึง 9 ปี)

ประเด็นที่รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงมากกว่า คือ การที่นายกรัฐมนตรี (และทีมงานเบื้องหลัง) วางโจทย์ไว้อย่างชัดเจน ว่าตนเองจะสวมบทเป็น “ผู้นำรัฐบาล” แต่หลีกเลี่ยงจะเป็น “ผู้นำทางการเมือง”

ยิ่งเมื่อรัฐบาลชุดนี้วางเป้าหมายหลัก ว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้องกันก่อน

สังคมไทยยิ่งได้มองเห็นบทบาทหลักของ “นายกฯ เศรษฐา” ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และ/หรือ “หัวหน้าผู้แทนการค้าไทย” ที่ออกเดินสายไปต่างประเทศโดยต่อเนื่อง

ส่วนประเด็นใหญ่ๆ ทางการเมือง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดูเหมือนผู้รับผิดชอบหลักจะเป็น “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ (ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีช่วยทำภารกิจหลังให้เรียบร้อยแล้ว)

แต่ “พี่อ้วน ภูมิธรรม” ของคนเดือนตุลา ก็มีลักษณะการทำงานเป็น “ผู้อยู่เบื้องหลัง” ไม่ใช่ “ตัวละครนำ” ที่จะออกมาแอ๊กชั่นทางการเมืองได้ทุกวี่วัน

ปัญหาที่เริ่มปรากฏวี่แวว ณ ตอนนี้ คือ เราไม่มี “ผู้นำทางการเมือง” ที่คอยชี้นำประเด็นต่างๆ ในทางการเมือง หรือรับหน้าที่กำกับหางเสือว่าสังคมการเมืองไทยควรจะเคลื่อนไหวไปในแนวทางไหน

ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ “อดีตนายกฯ ประยุทธ์” แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ระหว่างปี 2557 ถึงก่อนการเลือกตั้งครั้งล่าสุด “พล.อ.ประยุทธ์” นั้นพยายามเล่นบท “ผู้นำทางการเมือง” อย่างเข้มข้นจริงจัง

นี่คือบทที่ “เศรษฐา” คล้ายยังไม่ค่อยอยากเล่น

โจทย์ท้าทาย ก็คือ อย่างไรเสีย “เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ของรัฐบาลเพื่อไทย จะต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นทั้ง “ผู้นำรัฐบาล” และ “ผู้นำทางการเมือง”

สภาวะปัจจุบัน ที่ “นายกรัฐมนตรี” อยากเป็น “ผู้นำรัฐบาล” โดยเน้นหนักไปยังภารกิจเรื่องการเจรจาธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ จึงส่งผลให้ศักยภาพในการสื่อสารประเด็นทางการเมืองกับประชาชนภายในประเทศ พลอยเงียบหายสาบสูญไปเสียเฉยๆ

แถมถ้ามองไปที่บุคลากรรายอื่นๆ ของรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทย ก็ไม่มีใครที่จะสามารถ “สื่อสารทางการเมือง” แทนนายกฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ช่องว่าง-รูโหว่เช่นนี้นี่เอง ที่ค่อยๆ เกื้อหนุนผลักดันให้ “นางแบก-นายแบก” กลายมาเป็น “บุคลากรทางการเมือง” ระดับสำคัญ สำหรับพรรคเพื่อไทย แม้พรรคจะไม่ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการก็ตาม

ในทางปฏิบัติ “นางแบก-นายแบก” จึงเป็นกลุ่มสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อ “ทำงานการเมือง” อย่างแข็งขันเอาเป็นเอาตาย ยิ่งกว่าคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี และพรรคการเมืองที่ตนเองโหวตให้เสียอีก

แต่ใช่ว่า “วิธีการทำงานการเมือง” ของ “นางแบก-นายแบก” จะเป็น “คุณ” ต่อ “รัฐบาล” ไปทุกเรื่อง

เมื่อใดที่ “นางแบก-นายแบก” ทำผิดพลาดทางการเมืองอย่างฉกรรจ์ เมื่อนั้น ผู้ที่จะถูกทวงถามความรับผิดชอบด้วย ย่อมเป็น “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งไม่ยอมแสดงบทบาท “ผู้นำทางการเมือง” ตั้งแต่ต้น •

คอลัมนฺ : ของดีมีอยู่

Stand Together ครั้งที่สอง : จากข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ สู่วันพิพากษาคดี 112


Stand Together ครั้งที่สอง : จากข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ สู่วันพิพากษาคดี 112

29 ตุลาคม 2023
Ilaw

เดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2566 ผู้ที่ถูกดำเนินคดีด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลายคนที่จะต้องฟังคำพิพากษา โดยในเร็วๆ นี้จะมีอย่างน้อยสองคดีที่จะถึงเวลาพิพากษา คือคดีของ เบนจา อะปัญ ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 และสัปดาห์ถัดไป 8 พฤศจิกายน ศาลจังหวัดธัญบุรี นัดอ่านคำพิพากษาคดี 112 ของณัฐชนน ไพโรจน์

29 ตุลาคม 2566 iLaw และสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงาน Stand Together ครั้งที่สอง ส่งใจให้ผู้ต้องหาก่อนเผชิญคำพิพากษา 112 โดยมี เบนจา อะปัญ นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SIIT) อดีตสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และณัฐชนน ไพโรจน์ อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ร่วมเล่าที่มาของคดี และแลกเปลี่ยนความรู้สึกจากการถูกดำเนินคดีด้วยข้อหามาตรา 112

สำหรับที่มาของคดี 112 ที่ณัฐชนน และเบนจาต้องเผชิญกับคำพิพากษาในระยะเวลาอันใกล้นี้ ณัฐชนนเล่ามูลเหตุของคดีว่า คดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของตนมีหนึ่งคดีที่กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลและศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ที่มาของคดีนี้สืบเนื่องจาก การชุมนุม 10 สิงหาคม 2563 ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดการชุมนุมและออกประกาศฉบับที่หนึ่ง ที่มีข้อเรียกร้อง 10 ข้อเพื่อการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากนั้นมีผู้หวังดีจัดพิมพ์หนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” ซึ่งเป็นหนังสือถอดเทปถ้อยคำปราศรัยในการชุมนุมดังกล่าวมาให้



ในการชุมนุมครั้งต่อมาที่นัดหมาย 19 กันยายน 2563 ที่ท้องสนามหลวง ขณะที่รถขนของสำหรับการจัดการชุมนุมรวมถึงขนหนังสือดังกล่าวที่ณัฐชนนนั่งอยู่บนรถด้วย กำลังจะออกเดินทางจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามหลวง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดักไว้และแจ้งว่าภายในรถขนของมีสิ่งผิดกฎหมาย หลังจากนั้นตนก็ถูกดำเนินคดีด้วย มาตรา 112 โดยอัยการระบุว่าหนังสือดังกล่าวมีถ้อยคำที่ผิด มาตรา 112 ณัฐชนนถูกฟ้องเป็นจำเลยเพียงคนเดียวในคดีนี้

ด้านเบนจา อะปัญ เล่ามูลเหตุของคดี มาตรา 112 ว่า สืบเนื่องจากการชุมนุมคาร์ม็อบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นวันครบรอบหนึ่งปีการชุมนุม 10 สิงหา เบญจาอ่านประกาศแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่สอง ซึ่งมีเนื้อหาพูดถึงปัญหาการบริหารของประเทศภายใต้รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเรียกร้องให้ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างสถาบันการเมือง ต่อมาเบนจาถูกดำเนินคดี มาตรา 112 เพียงคนเดียวในคดีนี้

การที่ถูกดำเนินคดีขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทั้งสองต้องเผชิญ ขณะที่ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 ณัฐชนยังคงเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์อยู่ เขาเล่าว่าปัญหาสำคัญคือ การที่ถูกดำเนินคดี ชีวิตก็จะไม่ได้เป็นกิจวัตรเหมือนกันทุกวัน เวลาจะนัดหมายหรือทำงานร่วมกันกับเพื่อนๆ จึงต้องจัดการเวลา หากวิชาไหนที่ต้องนำเสนองาน แล้วชนกับวันที่มีนัดศาล ก็จะคุยกับเพื่อนเพื่อขอทำงานให้ก่อนและให้เพื่อนเป็นคนนำเสนอ ส่วนเบนจาเล่าว่า โชคดีที่ของคณะ SIIT มีอัดวิดีโอการสอนให้ดูย้อนหลังได้ แต่ก็ต้องจัดการตัวเอง โดยเธอจะทำเครื่องหมายในปฏิทินว่าวันไหนที่มีนัดคดีบ้าง พบว่ามีแค่เดือนหน้า (พฤศจิกายน) ที่ไม่มีนัดหมายคดีอะไร ที่ผ่านมาก็รู้สึก Suffer มากแต่ก็ต้องจัดการให้ผ่านมันไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะแย่ และการที่คดีอยู่ภายใต้อำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ ก็ทำให้มีภาระในการเดินทางจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ฝ่ารถติดและระยะทางไกลไปถึงศาล (อยู่เขตสาธร) บางทีก็รู้สึกแย่จนอยากจะกรี๊ดออกมา



สำหรับวิธีรับมือกับปัญหาจิตใจ เบนจาเผยว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าภาวะหรือความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นกับเราขณะนั้นคืออะไร เช่น โกรธ เสียใจ ทำความเข้าใจมัน และต่อสู้กับมันไป ชีวิตนี้มันคือการแก้ไขปัญหา โลกกำลังทดสอบอยู่แล้ว บางครั้งที่เจอปัญหาหนักๆ ก็รู้สึกว่าเรียนผูกเรียนแก้กับมันไป ถ้าหากต่อสู้กับสิ่งที่หนักไปได้ เมื่อเจอสิ่งที่หนักน้อยกว่านี้เราก็จะผ่านมันไปได้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถย้อนไปแก้ไขได้ ก็ทำใจยอมรับมัน สุดท้ายก็ต้องยืนยันว่าสิ่งที่กำลังต่อสู้คืออะไร

เบนจาเล่าว่า คดีอื่นๆ ที่ไม่ใช่คดี มาตรา 112 เปรียบเสมือนการชกต่อยกันบนสนามมวย ก็ต้องต่อสู้กันไป ด้านณัฐชนนระบุว่า ในการต่อสู้ทางการเมืองต้องใช้เวลา ถ้าเราแข็งแรงและทำให้จิตใจของตัวเองไปต่อได้ เรายังไม่ตาย ถ้าเขาตายก่อน โอกาสที่เราจะชนะก็มีมากกว่า สิ่งที่คิดในหัวก็เลยมักคิดว่า จะทำยังไงให้ตัวเองไม่ตาย ยังได้มีชีวิตต่อ

เมื่อถูกถามว่า หากไม่ได้ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 อยากทำอะไร ณัฐชนนเล่าว่า ก่อนหน้านี้ศาลเพิ่งนัดพิพากษาคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็มานั่งคิดว่าตัวเองต้องจ่ายค่าเดินทางไปศาลมาก คิดว่าถ้าไม่ถูกดำเนินคดี ก็อยากไปเข้าเรียน และเอาเงินไปใช้ทำอย่างอื่น

เบนจา กล่าวว่า ถ้าไม่ถูกดำเนินคดีก็คงอยากจะไปทำโปรเจค หรือแคมเปญอะไรสักอย่างในมหาลัย เบนจา กล่าวต่อไปว่า อยากเห็นสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่ากันในเรื่องที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การศึกษา สาธารณสุข อยากให้คนได้ทำตามความฝันของตนเอง ทุกวันนี้ประเทศนี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้คนทำตามความฝันเท่าไหร่เพราะมันต้องใช้เงินและเราไม่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ มากนัก การเล่นไวโอลิน เปียโน การวาดรูป อ่านหนังสือที่มีประโยชน์ มันยากสำหรับคนที่ไม่มีเงิน คนที่ได้ทำอะไรแบบนี้เพราะคุณมีโอกาสได้ทำมัน อย่างก็ตาม ทุกคนควรมีโอกาสได้เลือก ไม่ใช่เพราะแค่ชีวิตมีข้อจำกัด เลยต้องต้องเลือกเส้นทางนี้

หลังจากจบช่วงที่ให้ผู้ถูกดำเนินคดีทั้งสองมาแลกเปลี่ยนความคิดและชีวิต จากนั้นก็เป็นช่วงให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112



ชลธิชา แจ้งเร็ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เช่นกัน กล่าวว่า การที่มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ไม่ใช่ราคาที่ต้องจ่าย แต่สะท้อนว่าสังคมนี้มันผิดปกติที่ มาตรา 112 มีปัญหาทั้งตัวบทกฎหมาย และปัญหาการบังคับใช้ จากประสบการณ์ของตนช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มีประชาชนบางคนสงสัยว่าทำไมพรรคก้าวไกลจะต้องแก้ไขมาตรา 112 เมื่อค่อยๆ อธิบายไปก็มีคนที่เข้าใจมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าจริงๆ แล้วก็มีประชาชนที่พร้อมเปิดใจ

อยากให้กำลังใจทั้งสองคนว่า สิ่งที่ทำมาไม่สูญเปล่า ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็จะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวกับเสรีภาพและสิทธิประกันตัวต่อ และผลักดันให้สภาเป็นพื้นที่ที่สามารถพูดได้ทุกเรื่อง

สุวรรณา ตาลเหล็ก หรือ ลูกตาล ตัวแทนประชาชน กล่าวให้กำลังใจว่า ขอบคุณทั้งสองคนที่มาต่อสู้เพื่อยกเลิก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่สุดท้ายแล้วกำลังใจต้องมาจากตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ

บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ไม่ใช่ความผิดของพวกคุณ แต่เป็นความผิดของประเทศที่ทำให้พวกคุณต้องถูกดำเนินคดี เมื่อประเทศเป็นอย่างนี้ คนหนุ่มสาว เลยต้องออกมาต่อสู้ แทนที่จะได้ใช้ชีวิตทำอย่างอื่นที่อยากทำ



บันทึกเยี่ยม 5 ผู้ต้องขังคดี ม.112 “เก็ท-กิ๊ฟ-อารีฟ-วุฒิ-น้ำ” ระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค. 2566


บันทึกเยี่ยม 5 ผู้ต้องขังคดี ม.112 “เก็ท-กิ๊ฟ-อารีฟ-วุฒิ-น้ำ” ระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค. 2566

30/10/2566
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

24-27 ต.ค. 2566 ทนายความได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังทางการเมืองซึ่งถูกคุมขังในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้แก่ ‘เก็ท’ โสภณ, ‘กิ๊ฟ’ ทีปกร, ‘อารีฟ’ วีรภาพ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ, และ ‘วุฒิ’ ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี นอกจากนั้นยังได้เยี่ยม ‘น้ำ’ วารุณี ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ด้วย

บรรยากาศโดยรวมผู้ต้องขังทุกคนยังพูดถึงการดูแลด้านสุขอนามัยและการรักษาพยาบาลในเรือนจำ ว่าเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากและล่าช้า แม้ได้พบหมอกว่าจะได้รับยาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยอยากให้เรือนจำคำนึงถึงสุขภาพของผู้ต้องขังอย่างจริงจังเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็น-ความตาย

‘อารีฟ’ วีรภาพเป็นหนึ่งในคนที่ป่วยและมีไข้สูงอาทิตย์นี้ ขณะที่ ‘วุฒิ’ เริ่มหายเป็นปกติหลังจากป่วยมาราว 2-3 อาทิตย์ ส่วน ‘น้ำ’ วารุณี ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์กำลังรอดูว่าตนเองจะถูกย้ายตัวกลับทัณฑสถานหญิงกลางเมื่อใด

ขณะที่ ‘กิ๊ฟ’ ทีปกร เป็นคนที่รู้สึกมีความหวังเป็นอย่างมากเมื่อทราบว่าเพื่อนผู้ต้องขังคดีการเมืองได้ประกันตัวสองคน เขาจึงอยากให้ทนายยื่นประกันตัวอย่างต่อเนื่อง ทางด้าน ‘เก็ท’ มีเรื่องที่อยากวิพากษ์วิจารณ์และร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับการสกรีนจดหมาย domimail และ การใส่กุญแจข้อเท้านักโทษการเมือง

.
วุฒิ: เรือนจำให้เซ็นรับรองเอกสาร ซึ่งระบุว่าตนเองมีความเป็นอยู่ที่ดีในเรือนจำ

ในวันที่เยี่ยม ห้องเยี่ยมของทนายความโทรศัพท์เสีย จึงต้องมาเยี่ยมที่ห้องญาติเยี่ยมแทน วุฒิบอกว่าตอนนี้ตัวเองหายจากอาการไข้แล้ว แต่ยังมีไอบ้างเล็กน้อย ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เรือนจำมีเอกสารมาให้ตนเซ็นรับรอง 3 ฉบับ

“เนื้อหาที่ผมจำได้คือ สอบถามว่าผมได้รับการดูแลจากเรือนจำพิเศษมีนบุรีตามสิทธิพึ่งมี ไม่มีอาการเครียด กินอิ่มนอนหลับ จำเนื้อความเป๊ะ ๆ ไม่ได้ แต่มีประโยคที่บอกว่า ‘ดูแลพฤติกรรม’ ในเอกสารไม่มีส่วนให้ตอบคำถาม หรือทำเครื่องหมายถูกต้อง มีเพียงให้เซ็นรับทราบ ทั้ง 3 ฉบับ มีเนื้อหาอย่างเดียวกันจำนวน 1 หน้า ผมสอบถามเจ้าหน้าที่ ว่าทำไมต้องทำ เค้าบอกว่าราชทัณฑ์ให้ทำ”

วุฒิถามถึงสถานการณ์ข้างนอก เมื่อทราบว่ามีการทำกิจกรรมทวงสิทธิผู้ต้องขังเมื่อวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา วุฒิบอกว่า “รู้สึกขอบคุณน้อง ๆ มาก ๆ ที่ยังคงติดตามและเคลื่อนไหวเพื่อคนในเรือนจำ มันเป็นกำลังใจให้เขามาก ๆ และขอบคุณคนที่คอยส่งอาหารมาให้ ผมได้รับทุกวัน มันเป็นกำลังใจมาก ๆ ผมทำได้แค่ขอบคุณจากใจจริง ๆ

“ผมยังเชื่อในน้อง ๆ นักกิจกรรม ตราบใดที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม และมันคือสิ่งเดียวกันที่ทำให้ผมมาม็อบ พวกเค้าไม่ได้เรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่เรียกร้องเพื่อสังคมร่วม ผมรู้ว่าน้องไม่หยุดหรอก ผมเองก็เช่นกัน”

วุฒิวิพากษ์วิจารณ์การเมืองเหมือนเช่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน

“สิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ ว่าจะแก้ตรงนั้นนี่ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ ประชาชนเค้าเห็น เค้ารู้แล้วว่าไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง สิ่งที่ควรแก้ไม่แก้ สุดท้ายมันก็วนลูป คนก็จะออกมาเรียกร้องอีก ประชาชน นักกิจกรรมเค้าไม่ทนกับการโดนโกหก เค้าก็จะออกมาเรียกร้องสัญญาที่เคยให้ไว้

“อย่างดิจิตอลวอลเล็ทผมก็สงสัยจะจัดการยังไงกับคนจนจริง มันก็เหมือนเงินประยุทธ์ สุดท้ายจนจริงไม่ได้ เพราะไม่มีมือถือ เข้าถึงไม่ได้ หรือคนแก่ที่อยู่ต่างจังหวัดไม่มีลูกหลาน เค้าก็ไม่ได้ สุดท้ายเงินหายไปไหน แก้ปัญหาอะไร ผมก็งง”

วุฒิทิ้งท้ายถึงสิ่งที่ต้องการว่า “ตอนนี้อยากได้แว่นสายตายาว 270-300 หากแฟนส่งมาให้ไม่ได้ ก็อยากให้หามาให้ในวันที่ออกศาล”

วุฒิ ถูกขังมาแล้ว 218 วัน คดีของเขามีกำหนดนัดสืบพยานที่ศาลอาญามีนบุรีในวันที่ 22-24 พ.ย. นี้

.
กิ๊ฟ ทีปกร: ได้ยินข่าวเพื่อนได้ประกันตัว ก็หวังถึงตนเองบ้าง


กิ๊ฟ ยังคงออกมาพบปะทนายด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แม้จะมีการใส่แมสแต่ยังคงเห็นร่องรอยการยิ้มได้ชัดเจน

กิ๊ฟบอกว่าเพิ่งคุยกับแม่เสร็จ ก็เดินมาฝั่งเยี่ยมกับทนายต่อ

กิ๊ฟบอกว่าเพิ่งหายจากอาการไข้ แต่ยังมีการไออยู่ เขาเล่าด้วยอาการเบื่อหน่ายอีกว่า “ก่อนหน้านี้ได้รับยาพาราฯ และยาแก้ไอมากินบ้าง แต่ยังคงมีไข้อยู่ การหาหมอในเรือนจำเป็นเรื่องยากมาก ก่อนจะได้พบหมด จะต้องมีการลงชื่อขอเข้าพบไว้ล่วงหน้า 1 วัน พบหมอในวันถัดไป และหลังจากพบหมอ วันถัดไปถึงจะได้รับยา”

นอกจากนี้เขาเองก็ได้ทราบข่าวจากในเรือนจำว่ามีผู้ต้องขัง 2 คน ที่ได้รับการประกันตัวเมื่อวันก่อน จึงอยากทราบเรื่องเงื่อนไขและเงินวางประกันของทั้งสอง ทนายจึงเล่าให้ฟังว่าธีรภัทรและปฐวีกานต์ ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น ตีราคาหลักประกันคนละ 500,000 บาท

กิ๊ฟแจ้งกับทนายว่า ในส่วนของตนเอง ถ้ายื่นประกันครั้งหน้า ขอให้เพิ่มวงเงินจากเดิม อีก 50,000 บาท จะได้หรือไม่ เพราะตนอยู่ในเรือนจำมาหลายเดือนแล้ว

“อยากออกไปช่วยที่บ้านทำมาหากิน ตอนนี้พ่อกับแม่ต้องหารายได้เข้าบ้าน ซึ่งตอนนี้พ่อมาเปิดร้านขายโรตี และแม่เปิดร้านขายชากาแฟโบราณ เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมเป็นเสาหลักของครอบครัวในการหาเลี้ยงชีพ พ่อกับแม่อายุมากแล้ว จะไม่ได้ทำงาน แต่อยู่บ้านช่วยเลี้ยงหลาน”

กิ๊ฟบอกว่าคดีของตนเอง เป็นคดียังไม่เด็ดขาด น่าจะสามารถยื่นขอประกันได้


“เราไม่ได้อยู่ในยุคของประยุทธ์ อะไร ๆ น่าจะง่ายกว่าเดิม เพราะอำนาจเผด็จการแบบเก่าหมดลง ส่วนตัวอยากให้มีการประสาน สส.ก้าวไกล มาช่วยประกันนักโทษคดี 112 แล้วค่อยผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และเสนอฝ่ายการเมืองว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร”


กิ๊ฟเล่าถึงเรื่องที่นักโทษในแดน 5 ถูก ผบ.แดนเรียกเข้าไปคุย โดยเป็นการเรียกทีละคน ซึ่งตนเองก็โดนเรียกไปคุยและถามเกี่ยวกับเรื่องสารทุกข์สุกดิบ

กิ๊ฟถูกขังมาแล้ว 134 วัน

.

น้ำ วารุณี: สิทธิการเข้าถึงการรักษาในเรือนจำ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน

น้ำอัปเดตว่าสภาพร่างกายของเธอปกติดี และรู้สึกแปลกใจที่ฟื้นตัวเร็วทั้งที่เธอตัวเล็กมาก สิ่งที่น้ำยังคิดมากอยู่ก็เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา มีความหวังว่าถ้าผลอุทธรณ์ออกช้าสุดเดือนเมษาปีหน้า

น้ำยังกังวลว่าหากย้ายกลับเรือนจำแล้ว สภาพจิตใจจะกลับมาย่ำแย่อีก แต่ก็พยายามทำใจไว้ ตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าจะถูกย้ายแดนวันไหน น้ำเล่าว่า เมื่อวันศุกร์ที่แล้วมีการส่งตัวผู้ต้องขังกลับแดน 16 คน แต่เธอไม่ได้ถูกส่งตัวไปด้วย ก่อนหน้านั้นเคยไปถามเจ้าหน้าที่แล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบ

ทนายเล่าให้น้ำฟังว่าเมื่อวันจันทร์ (23 ต.ค.) กลุ่มทะลุแก๊สได้จัดกิจกรรมยื่นหนังสือเรื่องความปลอดภัยของผู้ต้องขังหน้าเรือนจำ เมื่อทางกลุ่มประกาศว่าจะมีกิจกรรม เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็ประกาศงดเยี่ยมญาติรอบพิเศษทันที ซึ่งกิจกรรมไม่ได้มีความวุ่นวายอะไร ใช้เวลาไม่นาน คนเข้าร่วมกิจกรรมก็ไม่เยอะ

ทนายเล่าเรื่องทั่วไปให้ฟังว่า ตอนนี้มีหนังเข้าใหม่ที่ทำรายได้สูงแล้วชื่อเรื่อง “สัปเหร่อ” น้ำบอกว่าถ้าได้ออกไปคงต้องไปดู

“ปกติน้ำจะดูแต่หนังสืบสวนสอบสวน แต่ตอนอยู่ในคุก คิดถึงเรื่อง The Shawshank Redemption เรื่องเดียว ไม่ได้คิดจะแหกคุกนะคะ (หัวเราะ) แต่คิดเรื่องมิตรภาพในคุก มันเศร้ามากนะ

“คือวันนี้มีผู้ต้องขังอายุ 58 ปี เราเรียกเค้าว่า แพ็คเกอร์ เพราะเค้ามีแฟนเป็นฝรั่ง แล้วเค้าก็ขายของงี้ แพ็คเกอร์ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนดเพราะเป็นโรคไต นางก็มาพูดกับน้ำว่า กลับไปก็ไม่เจอเพื่อนแล้ว ถ้าออกไปไลฟ์ขายของ ใครจะมาช่วยแพ็คของที่บ้าน น้ำก็เลยบอกว่า งั้นแพ็คเกอร์อยู่ต่อไหม เอาโทษน้ำไปเลย นางก็ตอบว่า จะบ้าเหรอ (หัวเราะ)”

ทนายได้นำรูปภาพที่ศิลปินกราฟฟิตี้วาดรูปภาพของน้ำบนกำแพง โดยมีแคปชั่นว่า “girl with liberty earrings” มาให้ดู น้ำเห็นแล้วก็ร้องออกมา แววตาเป็นประกายสดใสขึ้นทันที

“เขาทำจริง ๆ เหรอคะ เลือกรูปสวยด้วยนะ (หัวเราะ) สุดยอดเลย น้ำจำได้ว่า รูปนี้น้ำเป็นแบบให้เพื่อนแต่งหน้าทำผมเจ้าสาว นานมากแล้ว เขาทำออกมาสวยกว่าตัวจริงอีก ต่างหูนั่นเขาก็ออกแบบเองใช่ไหมคะ อยากเอาไปอวดเพื่อนข้างในเลยอะ ฝากบอกเขาด้วยว่า สวยมาก ขอบคุณมากค่ะ น้ำเห็นแล้วก็ว้าวเลย (ชูนิ้วโป้ง) ไม่คิดว่าเขาจะใช้รูปคนธรรมดาแบบเรา”

ในส่วนกิจกรรมหน้าเรือนจำวันจันทร์ น้ำบอกว่า เห็นรูปแล้วขนลุก “เจ้าหน้าที่ข้างในเยอะมากเลย คนที่ถูกคุมขังก็เยอะด้วย เราไม่ใช่อาชญากร แต่ต้องมาถูกคุมขังเพราะความบิดเบี้ยวของกฎหมาย ทั้งที่กฎหมายข้อนี้มันไม่ควรมีด้วยซ้ำ เห็นแล้วก็สงสารเพื่อนผู้ต้องขัง แล้วก็สงสารตัวเองด้วย ที่ต้องถูกพรากออกจากครอบครัวและคนรัก”

“น้ำเป็นห่วงเรื่องการเข้าถึงการรักษามาก ๆ” เธอพูดด้วยความกังวลใจ

“มันสำคัญและจำเป็นกับชีวิตมาก เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นปัจจัย 4 เลย น้ำไม่รู้ว่าเรือนจำชายเป็นยังไง แต่เรือนจำหญิงก็เข้าถึงการรักษายากมาก ไม่ว่าคนในห้องจะมี 18 คน หรือ 60 คน โควต้าของคนป่วยที่ขอยาฉุกเฉินได้ก็จะน้อยมาก ๆ และไม่ทั่วถึง

“ตอนน้ำอยู่แดนโควต้าได้ขอแค่ 5 คน เกิดอาการป่วยกำเริบขึ้นมาตอนกลางคืนจะทำยังไง พยาบาลก็ไม่มี น้ำเคยปวดท้องจนตัวบิด รอเป็นชั่วโมงกว่าพยาบาลจะมา จนน้ำหายปวดท้องเองอะ นี่พูดถึงแค่คนอายุน้อยนะคะ ห้องทับทิม 7-8 ชั้นล่าง เป็นห้องที่รวมคนอายุมากที่มีโรคไว้ เขาจะจัดการยังไง ชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญนะคะ ถ้าผู้ต้องขังเป็นอะไรไป ราชทัณฑ์จะรับผิดชอบยังไง กว่าจะได้ยาก็ยาก”

น้ำยังเล่าถึงเรื่องปัญหาของแพงในเรือนจำ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการซื้อค่อนข้างมาก “ของข้างในเรือนจำแพงมากค่ะ แมสก์แผ่นละบาท บอบบางมาก ใช้ ๆ อยู่เหล็กโผล่ก็มี กับข้าวก็แพง ได้นิดเดียว อย่างสะโพกไก่ทอดชิ้นเล็ก ๆ น้ำหนักไม่เกิน 90 กรัม กับข้าวเหนียวห่อเล็ก ที่ข้างนอกขายห่อละ 5-10 บาท ในเรือนจำขายชุดละ 60 บาท กับข้าวถุงเล็ก ขนาดไม่เกิน 100 กรัมกับข้าวสวย ขายชุดละ 45-50 บาท คือถ้าอยากกินอาหารดี ๆ ก็ต้องซื้อ อาหารของเรือนจำกินไม่ได้เลย รสชาติแย่มาก แล้วแต่ดวงอีกว่าจะได้เนื้อสัตว์บ้างไหม”

น้ำถูกขังมาแล้ว 125 วัน

.
เก็ท โสภณ: การยกเลิกวันเยี่ยมญาติโดยอ้างว่ามีการชุมนุมเป็นสิ่งที่ไร้วุฒิภาวะ

หลังจากยิ้มทักทายกับทนายความ เก็ทก็เริ่มพูดถึงเรื่องการยกเลิกการเยี่ยมญาติของเรือนจำในวันที่ 23 ต.ค. โดยเก็ทมองว่าเป็นสิ่งที่ไร้วุฒิภาวะมากที่ประกาศยกเลิกโดยอ้างว่าเพราะมีการชุมนุม ทั้งที่สามารถจัดการได้หลายวิธีที่ดีกว่าการยกเลิกการเยี่ยม ซึ่งจะทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย เช่น ลางานไปแล้ว หรือเสียค่าตั๋วเดินทางไปแล้ว

“คุณสามารถจัดการมันได้ตั้งหลายวิธี แต่คุณเลือกวิธียกเลิก แล้วประกาศโยนความผิดให้คนอื่นทันที มันดูไร้ความสามารถ ไร้ศักยภาพ”

เก็ทยังได้พูดถึงเรื่องการขาดแคลนยาในเรือนจำอีกครั้งหนึ่ง หลังจากพยายามพูดเรื่องนี้มาโดยตลอด

“อยากเรียกร้องไปถึง ผอ.เรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม อยากให้มียาสามัญประจำบ้านติดไว้ในทุกแดน ถ้ารอเขียนเบิกโรงพยาบาล ก็คงนอนป่วยพะงาบ ๆ รอกันอยู่แบบนี้ หรือถ้ากลัวยาหายก็ให้แต่ละแดนเป็นคนดูแลไหมในการเบิกยา”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องหน้ากากอนามัยในเรือนจำหมด โดยเก็ทบอกว่า “ช่วงอาทิตย์นี้เรือนจำแอคทีฟเรื่องสาธารณสุขมากขึ้น อยากให้เปิดรับการบริจาคจากภายนอกเผื่อว่าจะแก้ปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายล่าช้าได้ดีขึ้น ”

เก็ทยังอยากฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ว่าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวกับตัวเขา อยากให้มีการสื่อสารกับเขาโดยตรง โดยไม่ต้องไปว่ากล่าวเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย

เก็ทเล่าให้ทนายฟังว่าช่วงหยุดยาวที่ผ่านมามีคนมาชวนคุย โดยเขาสงสัยว่าพวกเราอยากยกเลิก 112 เหรอ จะปล่อยให้ใครด่าก็ได้เหรอ เขาจึงตอบไปว่า “ไม่ได้จะไม่คุ้มครอง แต่ในเมื่อมันมีกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทอยู่แล้ว ก็ใช้กฎหมายเดียวกับประชาชนทั่วไป”

เก็ทยังฝากบอกว่าจดหมายของเขาถูกสกรีนอย่างเข้มงวด เขาจึงอยากจะให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเข้ามาดูแลเรื่องนี้ด้วย

เก็ทยังพูดถึงปัญหาเรื่องการถูกใส่กุญแจข้อเท้าเมื่อไปศาลว่า “มันบาดจนเป็นแผลเป็นได้เลย” โดยตัวเขาเองก็เป็นแผลเป็นที่หน้าแข้ง

“นอกจากผลที่เกิดกับร่างกายแล้ว กับจิตใจมันก็ส่งผลให้รู้สึกหดหู่กับการต้องใส่ตรวนเหมือนสัตว์ที่โดนล่ามทั้งที่เรื่องการใส่ตรวนเท้านี้ คณะกรรมการสิทธิฯ เคยทักท้วงและห้ามแล้ว ซึ่งเรือนจำก็รับเรื่องไว้” เขาไม่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้วทำไมยังคงทำเช่นเดิมอยู่

สุดท้ายเก็ทฝากให้สังคมให้ความสนใจกรณีตากใบที่ครบรอบ 19 ปีกันด้วย “อีกปีเดียวก็จะหมดอายุความแล้ว”

เก็ทถูกขังมาแล้ว 68 วัน

.
อารีฟ วีรภาพ: ไม่สบายแต่ลงชื่อไปหาหมอไม่เคยทัน-ทุกคนในเรือนนอนล้วนเจ็บป่วย

อารีฟเล่าให้ฟังว่าเขามีอาการป่วย โดยเป็นมา 2-3 วันแล้ว อาการดูเหมือนจะเป็นไข้หวัดใหญ่เพราะในแดนมีคนเป็นไข้หวัดใหญ่เต็มไปหมด ทั้งนี้อารีฟยังไม่ได้พบแพทย์เพราะว่าลงชื่อไม่ทันสักวัน เขาเล่าว่าแต่ละวันเจ้าหน้าที่จะประกาศให้คนไปลงชื่อขอพบแพทย์ แล้วทุกคนก็ต้องรีบไปลงชื่อ ซึ่งจะมีโควตาจำกัดจำนวนไว้ ซึ่งอารีฟลงไม่ทันสักวัน จึงยังไม่ได้เจอหมอ โดยปัจจุบันเขาน้ำหนักลดลงจาก 70 กว่ากิโล เหลือ 64 กิโลแล้ว

เขาเล่าว่าคนที่ได้ไปเจอหมอกลับมา ก็จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่กันหมดและได้ยาฆ่าเชื้อมากิน

“ตอนนี้ขอยาพาราฯ จากหน้าแดนเอา แค่พาราฯ ยังหายากเลย หาไม่ได้ทุกวัน” เขาว่า “วันก่อนก็เป็นไข้สูง 39.5 องศาก็ยังไม่ได้เจอหมอ ทำได้แค่ทนเอา ส่วนวันนี้อาการยังทรง ๆ” อารีฟบอกว่าส่วนใหญ่เขาจะมีอาการตอนขึ้นเรือนนอน

“ปวดหัว มีไข้ ก็จะพยายามรีบ ๆ นอนให้หลับ ๆ ไปเลย แต่เรือนนอนมี 40 กว่าคน ทุกคนก็นอนป่วยนอนไอปนกันอยู่ในนั้น สุขภาพในเรือนจำ ป่วยขนาดไหนก็ไม่ได้รับการดูแลที่ควรจะเป็นเหมือนอยู่ข้างนอก” และบอกอีกว่า “พาราฯ รักษาทุกโรค คนในแดนป่วยเยอะมาก แต่อยู่ในนี้ได้พาราฯ มากิน 1 เม็ด ไข้สูง 39-40 องศา ยังได้รับแค่พาราฯ 1 เม็ด”


สำหรับสุขภาพใจ อารีฟยังนั่งเหม่อ ๆ ดาวน์ ๆ คนเดียวอยู่บ้าง ช่วงเย็น ๆ บางทีก็เหม่อจนเลยเวลาขึ้นเรือนนอน จนเจ้าหน้าที่ต้องเรียกซ้ำ ๆ แต่ทางเรือนจำ ก็ยังมียาซึมเศร้าให้กินทุกวัน เขาเล่าว่าช้วงเช้าจะได้รับยาต้านซึมเศร้าและยาคลายเครียด รวม 3 เม็ด และตอนเย็น จะได้รับยาลดแพนิกและยาคลายเครียด รวม 2 เม็ด

อารีฟว่า เวลารับยาซึมเศร้า เรือนจำจะประกาศออกไมค์ให้นักโทษที่มีอาการจิตเวชออกมารับยา และทุกคนที่ต้องรับยาก็จะวิ่งกรูไปที่ธุรการเพื่อรอรับยา “กลายเป็นว่าทุกคนก็รู้หมดเลยว่าใครมีอาการป่วยบ้าง แล้วนักโทษคนอื่นก็จะมาถามว่าป่วยอะไร สงสัยเรื่องอาการซึมเศร้าเป็นยังไง”

อารีฟยังเล่าสภาพทั่วไปให้ฟังว่าช่วงนี้เวลาที่เขาคุยกับเพื่อน ๆ ผู้ต้องขังการเมืองในแดน ก็จะมีผู้ช่วยมายืนมองแบบมองให้รู้ตัว “เหมือนคอยมาจับตาดูตลอดเวลา ทั้งที่เราก็แค่คุยกันเฉย ๆ”

เขายังพูดขำๆว่า “ผมอยากทราบข่าวโลกภายนอกบ้าง อยู่ในนี้ดูแต่ช่องโมโนและช่องทรูฟอร์ยู พอข่าวมาทีไรจะต้องเปลี่ยนช่องหนีตลอด”

อารีฟได้ทิ้งท้ายว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 ต.ค.) ผบ.แดนได้เรียกนักโทษทางการเมืองเข้าไปคุยรายบุคคล โดยบอกประโยคแรกเมื่อเห็นหน้าว่า มีอะไรก็ให้บอกเจ้าหน้าที่ได้ โดยเขายังไม่ได้ทำอะไรและไม่ได้วุ่นวายกับใคร โดยเพื่อน ๆ ในแดนก็ถูกบอกคล้ายกัน

อารีฟถูกขังมาแล้ว 33 วัน

ร่วมฟังเสียงจากจำเลยคดี ม.112 สดจากลานพญานาค ม.ธรรมศาสตร์รังสิต สดจากลานพญานาค “เล่าประสบการณ์จากจำเลย 112 ” เบนจา ตี้ บอล


🛑Live‼️ สดจากลานพญานาค “เล่าประสบการณ์จากจำเลย 112 ” เบนจา ตี้ บอล

Friends Talk คุยกับเพื่อน

Streamed live 6 hours ago 

30 ต.ค..66 สดจากเวทีลานพญานาค ธรรมศาสตร์รังสิต 





TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน @TLHR2014

ศาลสมุทรปราการให้รอการลงโทษจำคุก คดี ม.112 “มณีขวัญ” กรณีแชร์เฟซบุ๊กจาก KonthaiUk 2 ข้อความ 

ศาลพิพากษาให้จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษตามมารตรา 112 ซึ่งเป็นบทหนักสุด คิดเป็นทั้งหมด 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษจำคุกเหลือกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวมโทษจำคุก 2 ปี 12 เดือน 

แต่พิจารณารายงานการสืบเสาะ จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี ให้รายงานการคุมประพฤติเป็นระยะเวลา 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 2 เดือน และทำงานบริการเพื่อสังคมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง 

https://tlhr2014.com/archives/61041


 



TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน @TLHR2014
 ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษาว่า "บัสบาส มงคล" มีความผิดตาม #ม112 จากการโพสต์เฟซบุ๊ก 2 ข้อความ 

ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือกระทงละ 2 ปี ให้บวกโทษจากคดีส่วนตัวที่จำเลยเคยถูกลงโทษมาก่อน 6 เดือน รวมโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน 

อยู่ระหว่างยื่นประกันตัวในชั้นอุทธรณ์

ย้อนอ่านคดีนี้ https://tlhr2014.com/archives/60984






TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน @TLHR2014

ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก “เบนจา” 4 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี 8 เดือน และให้รอลงอาญา คดี 112 – พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เหตุกล่าวชื่อ ร.10 ในการปราศรัยวิจารณ์รัฐบาล หน้าอาคารซิโน-ไทย ในชุมนุม #คาร์ม็อบ10สิงหา64 

ทั้งนี้ ในส่วนของค่าปรับนั้น เนื่องจากเบนจาถูกขังในระหว่างสอบสวนและพิจารณาคดีเป็นเวลา 99 วันแล้ว แต่เมื่อศาลไม่ได้พิพากษาลงโทษจำคุก จึงให้หักค่าชดเชยการถูกขังชำระแทนค่าปรับ วันละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 49,500 บาท เกินกว่าค่าปรับในคดีจำนวน 8,000 บาท ทำให้เบนจาไม่ต้องชำระค่าปรับอีก 

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ทำให้ตั้งข้อสงสัยต่อดุลพินิจของศาลที่ไม่อนุญาตให้ประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในระหว่างการต่อสู้คดีว่า ไม่ได้สัดส่วนและเกินกว่าที่จำเป็นหรือไม่ เพราะหากในที่สุดศาลไม่ได้มีคำพิพากษาจำคุกเช่นในคดีนี้ แต่จำเลยถูกขังไปในระหว่างการต่อสู้คดี และได้รับผลกระทบต่อการศึกษาหรือหน้าที่การงานไปแล้ว กระบวนการยุติธรรมจะชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดแล้วได้หรือไม่

อ่านบนเว็บไซต์ : https://tlhr2014.com/archives/61065

กอ.รมน. จะยุบหรือไม่ยุบก็ค่อยว่ากัน แต่เราไม่ควรปล่อยให้ กอ.รมน. ทำงานแบบนี้ต่อไปอีกแล้ว


thaiarmedforce.com
17h ·

กอ.รมน. จะยุบหรือไม่ยุบก็ค่อยว่ากัน แต่เราไม่ควรปล่อยให้ กอ.รมน. ทำงานแบบนี้ต่อไปอีกแล้ว
สำหรับ TAF แล้ว ไม่ว่าจะยุบหรือจะเปลี่ยนโครงสร้างของ กอ.รมน. ก็เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันได้ แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ กอ.รมน. ไม่ควรจะทำในสิ่งที่ทำอยู่แบบนี้ต่อไปได้
แม้จะมองแค่ประเด็นสามจังหวัดชายแดนใต้ บทบาทของ กอ.รมน. ก็ซ้ำซ้อนกับหน่วยอื่น และมีหน่วยงานอื่นที่ทำหน้าที่ได้ตรงกว่า งานด้านการข่าวหรือการสร้างมวลชนก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จนัก การดำเนินการที่ผ่านมาก็เป็นไปในเชิงโฆษณาชวนเชื่อเสียมาก จนเมื่อสองปีก่อน Facebook ถึงขั้นออกรายงานว่าได้ลบบัญชีจำนวนมากของ กอ.รมน. ที่มุ่งเป้าไปในสามจังหวัดชายแดนใต้ หรืองานที่บอกว่าเป็นความมั่นคงภายใน จริง ๆ แล้ว มีหน่วยงานราชการอื่นที่มีหน้าที่โดยตรง โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนใต้
มองมาในภาพกว้างของทั้งประเทศ กอ.รมน. กลับเล่นบทบาทในทางการเมือง เป็นเครื่องมือการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของรัฐบาลหรือกองทัพต่อกลุ่มการเมืองที่รัฐบาลหรือกองทัพเชื่อว่าอยู่ตรงข้ามฝ่ายตน โดยใช้เงินภาษีของประชาชนในการดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการทางการเมือง ไม่ควรเป็นหน้าที่ของทหารหรือกองทัพอย่างสิ้นเชิง เพราะหมดยุคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นเหตุผลในการตั้ง กอ.รมน. แล้ว
----------------------
ความไร้สาระขั้นสุดของการดำเนินการของ กอ.รมน. คือการตีความทุกอย่างเป็นความมั่นคงภายใน เช่น ขนมอาลัวพระเครื่อง กอ.รมน. ก็ยกทีมไปกดดัน คิวรถตู้ภูเก็ตมีปัญหา กอ.รมน. ก็ไปทำตัวเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย แม้แต่เซ็กส์ทอยด์ กอ.รมน. ก็นำกำลังพลไปสร้างผลงาน ทำแม้กระทั่งไปลงนาม MoU กับ สพฐ. เพื่อจัดการการสอนประวัติศาสตร์ชาติไทยใหม่ ทั้งที่เรื่องเล่าของ กอ.รมน. ก็ถูกตั้งคำถามอย่างมากว่าเป็นการพยายามเขียนประวัติศาสตร์ใหม่เพื่อตอบสนองวาระทางการเมืองของกองทัพ เช่น ยกพระยาศรีสิทธิสงครามขึ้นมาเป็นฮีโร่ หรือเปลี่ยนให้กบฎบวรเดชเป็นกบฎประชาธิปไตย ทั้งที่จริง ๆ มันคือกบฎเพื่อนำสมบูรณาญาสิทธิราษฎร์กลับมาอีกครั้ง เพราะตัวเอกอกหักจากตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้ภาพลักษณ์ของคณะราษฎร์นั้นอยู่ตรงข้ามกับสถาบัน
ทั้งที่เรื่องเหล่านี้ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบชัดเจนอยู่แล้ว แต่ กอ.รมน. ก็เข้าไปเกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งได้ว่า กอ.รมน. ไม่มีงานทำ เลยต้องพยายามหางานเพื่อจะได้มีบทบาท
นี่คือผลของการตีความคำว่าความมั่นคงให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเองมีบทบาทให้กว้างที่สุด ซึ่งจะนำมาสู่การของบประมาณจำนวนมากไปดำเนินการตามวาระทางการเมืองของกองทัพเอง
---------------------
จริง ๆ แล้ว หลายรัฐบาลมีความพยายามที่จะยุบ กอ.รมน. เช่น รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ที่ยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการกระทำกันเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว และกำลังจะดำเนินการยุบ กอ.รมน. ต่อ เพราะไม่มีภัยคอมมิวนิสต์ให้จัดการแล้ว แต่เกิดปัญหาต้องยุบสภาเสียก่อน
สมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ก็มีข้อเสนอยุบทั้ง กอ.รมน., ศอ.บต., และ พตท. 43 แต่กลายเป็นสองหน่วยงานหลังที่ยุบสำเร็จ แต่ กอ.รมน. กลับรอดมาอยู่ และมีบทบาทมากขึ้นโดยเฉพาะหลังรัฐประหารหลายครั้งที่ผ่านมา อาจจะเพราะกองทัพมองว่านี่คือองค์กรการเมืองถูกกฎหมายที่สามารถใช้งบประมาณมาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามวาระของกองทัพได้ และมีกลไกลอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งนำมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทั้งแบบปิดลับและเปิดเผยได้ รายละเอียดมากกว่านี้อาจจะนอกประเด็นของเพจ แต่ลองไปหาดูก็ได้ว่า กอ.รมน. เล่นการเมืองอย่างไรบ้าง
ทั้งที่หน้าที่ของกองทัพ ควรจะเป็นการป้องกันประเทศจากภักคุกคามนอกประเทศ แต่กองทัพก็ยังบอกว่า กอ.รมน. สำคัญ ทั้งที่ตามหลักการที่ถูกต้อง มันไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพเลยด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อกองทัพอยากจะเล่นการเมือง กองทัพเลยพยายามทุกทางที่จะบอกว่า กอ.รมน. สำคัญ ทั้งที่สิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่หน้าที่ หรือไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
อุปสรรคที่สำคัญของการยุบ กอ.รมน. ก็คือการต่อต้านจากกองทัพ ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องการรักษาอำนาจในการดูแลทั้งความมั่นคงภายในและภายนอกไว้เหมือนเดิม อย่างหนึ่งก็เพื่อรักษาอัตราและงบประมาณของตนเอาไว้ มีอัตราให้ผ่องถ่ายเพื่อเพิ่มเส้นทางการเติบโตให้กับกำลังพลที่มีล้นกองทัพ อีกอย่างหนึ่งก็คือการตีความคำว่าความมั่นคงที่กว้างขวาง ทำให้ทุกอย่างสามารถเข้านิยามของความมั่นคงได้ ซึ่งทำให้กองทัพขยายขอบเขตการทำงานได้แทบจะทุกเรื่องที่ต้องการ
--------------------------
โอเค ในเมื่อเรื่องยุบ กอ.รมน. นี้เป็นเรื่องความเชื่อไปแล้วว่า ถ้าเราเชียร์การเมืองฝ่ายนี้ต้องยุบ ถ้าเชียร์การเมืองฝ่ายนั้นต้องคงเอาไว้ มันก็เลยยากที่จะเอาเหตุผลมาคุยกัน
TAF เคยเสนอไปแล้ว และขอย้ำข้อเสนออีกครั้งว่า ถ้าจะไม่ยุบก็ไม่เป็นไร แต่ กอ.รมน. เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ดังนั้นควรจะปรับโครงสร้างของ กอ.รมน. แทน ด้วยการตั้งเป็นหน่วยงานที่คล้ายกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิหรือ Department of Homeland Security ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะอยู่ใต้กระทรวงมหาดไทย หรืออยู่ใต้สำนักนายกรัฐมนตรีเหมือน ศรชล. ซึ่งคล้ายกับ กอ.รมน. ภาคทะเลก็ได้
แต่ข้อสำคัญก็คือ การปรับโครงสร้างต้องเป็นไปเพื่อดึง กอ.รมน. ออกจากกองทัพ เพราะกองทัพต้องดูแลภัยคุกคามจากนอกประเทศเท่านั้น การดำเนินการทางการเมืองและสังคมซึ่งอ้างว่ามันคือความมั่นคงภายในนั้น ควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น
สิ่งนี้จะทำให้กองทัพคล่องตัวมากขึ้น ลดภารกิจและหน้าที่ลดเพื่อที่จะสามารถมุ่งความสนใจไปยังการป้องกันประเทศได้ และเป็นการลดข้อครหาว่ากองทัพยุ่งกับการเมืองในประเทศลงได้ เพราะหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ด้านการเมืองในประเทศคือ กอ.รมน. ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของกองทัพแล้ว
แต่ถ้าจะไม่ยุบหรือไม่ทำอะไรเลยกับ กอ.รมน. เพราะกลัวจะเสียฟอร์มทางการเมือง ก็มีสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และไม่ว่าใครก็ต้องทำก็คือ TAF เสนอให้ร่วมกันนิยามก่อนว่า ความมั่นคงคืออะไร มีกี่ด้าน และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความมั่นคงด้านไหนบ้าง เพราะความมั่นคงไม่ใช่เรื่องของกองทัพแต่เพียงอย่างเดียว หรือกองทัพก็ไม่ควรจะต้องดูแลความมั่นคงในทุก ๆ ด้านครับ
#ยุบกอรมน

พิธาเปิดอกคุยกับนักศึกษาไทย ‘MIT’ พร้อมบรรยายที่ ‘ฮาร์วาร์ด’ ก่อนไปกรุงวอชิงตัน


พิธาเปิดอกคุยกับนักศึกษาไทย ‘MIT’ พร้อมบรรยายที่ ‘ฮาร์วาร์ด’ ก่อนไปกรุงวอชิงตัน

VOA Thai

Oct 29, 2023

ในการเดินทางมาเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เดินทางไปพูดคุยกับนักศึกษาไทยที่ MIT มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ พร้อมไปบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และชมนวัติกรรมใหม่จากสตาร์ทอัพในรัฐแมสซาชูเซ็ตส์


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์พูดคุยกับนักศึกษาไทยที่มหาวิทยาลัย MIT

ตุลาคม 30, 2023
Warangkana Chomchuen
VOA Thai

ในการเดินทางมาเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เดินทางไปพูดคุยกับนักศึกษาไทยที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ พร้อมไปบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และชมนวัติกรรมใหม่จากสตาร์ทอัพ

ส่วนหนึ่งของการเดินทางของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล คือการกลับมาเยือนถิ่นเก่าอย่างมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซ็ตส์ หรือ MIT สถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าของสหรัฐฯ ที่อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลเคยใช้ชีวิตนักศึกษาปริญญาโทเมื่อหลายปีก่อน

ในวันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการพูดคุยกับนักศึกษาไทยและคนไทยที่อยู่ในบอสตันและรัฐอื่น ๆ ซึ่งจัดขึ้นที่ MIT Sloan (สะ-โลน) School of Management เป็นการถามตอบเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น บทเรียนทางการเมือง นโยบายเศรษฐกิจ และบทบาทของไทยท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ร้อนระอุในปัจจุบัน

พิธายังได้ตอบคำถามผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 คน โดยส่วนใหญ่สนใจการเมืองและปัญหาสังคม เช่น การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาของไทย อนาคตของการใช้สิทธิชุมนุมประท้วง และประเด็น sex worker หรือผู้ให้การบริการทางเพศในไทย

นฤมล ปักเข็ม จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มาเยี่ยมลูกชายที่มหาวิทยาลัย MIT กล่าวว่าเธอดีใจที่ได้ฟังพิธา พูดคุยกับคนไทยในต่างประเทศ และขอให้คนไทยมีความหวังกับประชาธิปไตย

“ได้ฟังคุณทิมพูดเกือบทุกเรื่องที่เราอยากฟัง ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยหมด คุณทิมก็รับคำถามและตอบคำถามได้เยี่ยม” นฤมลกล่าวกับวีโอเอไทย และเสริมว่า

“เราอยู่อเมริกานาน มองว่าประชาธิปไตยมันต้องค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ...ยิ่งมีพรรคก้าวไกล สร้างความหวังให้คนไทย โดยเฉพาะคนไทยในต่างประเทศให้เห็นว่า มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่สามารถเห็นการพัฒนาจากอเมริกาหรือว่าประเทศที่เขาเจริญแล้ว สามารถทำได้ด้วยประชาธิปไตย แล้วพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ยืนหยัดช่วยในเรื่องนี้มาก ๆ ยืนหยัดในเรื่องประชาธิปไตยมาก ๆ ก็เลยรู้สึกมีความหวัง”

อนุพงศ์ ตั้งพีรชัยกุล นักวิจัยยารักษาโรคมะเร็งที่บอสตัน และศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดและ MIT ผู้ทำหน้าที่พิธีกร กล่าวว่าจำนวนผู้ที่ต้องการเข้าร่วมงานมีเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ และตนมองว่านั่นเป็นเพราะหลายคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง

“คนโดยเฉพาะคนไทยในอเมริกา เราก็จะได้ซึมซับความเป็นหัวก้าวหน้ามากพอสมควร แล้วเรารู้สึกว่าคุณพิธาเป็นคนที่สามารถ represent แนวคิดตรงนี้ได้ เป็นคนที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก เป็นคนที่ประชาชนเข้าถึงได้ค่อนข้างใกล้ชิด และสามารถ represent ชุดความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี” อนุพงศ์บอกกับวีโอเอไทย


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์พูดคุยกับนักศึกษาไทยที่มหาวิทยาลัย MIT

ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี พิธาได้บรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อ “Moving Forward: Thailand, ASEAN & Beyond” ที่ศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งนอกจากจะมีชาวไทยที่เดินทางมาจากรัฐต่าง ๆ เพื่อมาฟังจนแน่นห้องเลคเชอร์แล้ว นักศึกษาและอาจารย์ต่างชาติก็ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องการนำทหารออกจากการเมือง การทลายทุนผูกขาด การกระจายอำนาจ และวัฎจักรรัฐประหารในไทย

เควิน ผู้ไม่เปิดเผยนามสกุล นักศึกษาหลักสูตรสองปริญญาที่ฮาร์วาร์ดและ MIT กล่าวว่า "ผมเคยทำงานในกัมพูชาและสิงคโปร์ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา และเห็นว่าไทยเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในภูมิภาค ผมจึงต้องการทราบและศึกษามุมมองจากพิธา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นนายกฯ​ในตอนนี้ เขาอาจจะเป็นนายกฯ ในอนาคตของไทย จึงสำคัญมากที่ต้องมาฟังความคิดของเขา"

ส่วนติยะ ซอโสตถิกุล นักศึกษาปริญญาโทที่ฮาร์วาร์ดและ MIT กล่าวว่าเขาให้คะแนนพิธา 8 เต็ม 10 ในการตอบคำถามจากผู้เข้าฟังบรรยาย ซึ่งไม่ใช่คำถามที่ง่ายนัก แต่ชื่นชมที่พิธาเปิดโอกาสให้ถามได้ทุกอย่าง

“มีคนไทยมาพูดทุกปี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพิธา เป็นศูนย์กลางการเมืองปีนี้ที่สุด การที่คน ๆ นั้นได้มาถึงที่ เปิดโอกาสให้ได้ถาม คุยแบบเปิดเลยไม่เหมือนนักการเมืองทัวไปที่สกรีนคำถาม ผมมองว่าเป็นการพัฒนาในการพูดคุย ที่สามารถพูดโดยตรง เป็นความรู้สึกที่น่าดีใจที่ไทยค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า" ติยะกล่าว

"ผมว่าการเมืองแนวใหม่ควรยืนอยู่บนความโปร่งใส เราสามารถถามนักกการเมือง ถามนายกฯ ถามนายกฯ ในอนาคตได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่ควรจะมีฟิลเตอร์ และนักการเมืองก็ควรจะตอบได้ตรง ๆ ชัดเจน"


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถ่ายรูปคู่กับนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาฟังบรรยาย ที่ศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

การบรรยายดังกล่าวยังทำให้อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้พบกับ แดเนียล กินสเบิร์ก เพื่อนเก่าสมัยเรียน Harvard Kennedy School ทีรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาฟังบรรยายจากเพื่อนเก่า ผู้เป็นถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของไทย

แดเนียลบอกกับวีโอเอไทยว่า เขารู้สึกทึ่งและดีใจที่พิธาพยายามที่จะเป็นผู้นำที่ตั้งมั่นในค่านิยมและความเชื่อ เพราะนักการเมืองหลายคน่พูดแต่ไม่ทำ บางครั้งเขารู้สึกห่วงอยู่บ้างที่เห็นข่าวพิธาท้าทายฝั่งอนุรักษ์นิยมและกองทัพไทย แต่โดยรวมเขาประทับใจและภูมิใจกับเพื่อนคนนี้มาก

นอกจากนี้ พิธายังได้เยี่ยมชมนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่พิพิธภัณฑ์ MIT และ MIT Media Lab และได้ไปดูงานของสตาร์ทอัพที่มองว่าเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาของไทยอีกด้วย โดยหลังจากนี้ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลจะเดินทางต่อไปยังกรุงวอชิงตัน





 

งานสกปรกของทหาร ? 101 ก็พบว่ามีแฟนเพจ FB ราว 15 เพจ โพสต์ข้อความเหมือนกันเป๊ะในเวลาใกล้กัน โดยมีเนื้อหาเชิญชวนให้ ปชช. โหวตคัดค้าน พร้อมทั้งประณาม สส. รอมฎอน ปันจอร์ ผู้เสนอร่างกฎหมาย ว่าคิดแบ่งแยกดินแดน


the101.world
 @the101_world

ขณะที่สังคมสงสัยว่ามี #ไอโอ ปั่นยอดความเห็นคัดค้าน #ยุบกอรมน 101 ก็พบว่ามีแฟนเพจ FB ราว 15 เพจ โพสต์ข้อความเหมือนกันเป๊ะในเวลาใกล้กัน โดยมีเนื้อหาเชิญชวนให้ ปชช. โหวตคัดค้าน พร้อมทั้งประณาม สส. รอมฎอน ปันจอร์ ผู้เสนอร่างกฎหมาย ว่าคิดแบ่งแยกดินแดน (มีต่อ)





 

งบ กอ.รมน. ปีละ 7.7 พันล้าน เปลืองมาก ยุบเถอะ เอาเงินไปใช้โครงการอื่นที่ประชาชนได้ประโยชน์โดยดีกว่า


@klaikong
เปิดงบ กอ.รมน. ปีงบประมาณ 66 ได้งบไป 7,772,273,500 บาท งบบุคคลากร 780 ล้านบาท งบต่อต้านยาเสพติด 145 ล้านบาท งบแก้ปัญหาภาคใต้ 1.4 พันล้านบาท




 

วันจันทร์, ตุลาคม 30, 2566

จนแล้วจนรอด “ปัญหามันคือเงินตั้งต้นไม่มี” โครงการแจกเงินดิจิทัล ๑ หมื่นนั่นละ แถมผู้ว่าฯ แบ๊งค์ชาติบอก ถ้าลดงบฯ จีดีพียิ่งตก

จนแล้วจนรอด รัฐบาลเศรษฐาก็ยังไม่ตอบ หรือตอบไม่ได้ว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล ๑ หมื่นบาท จะเอางบประมาณมาจากไหน วีระ ธีรภัทร ถึงได้โพล่งในรายการ คุยให้คิด ทางช่องไทยพีบีเอส ว่าตลาดหุ้นไม่ขึ้น เพราะดิจิทัลวอลเล็ต

“เรื่องของเรื่องไม่มีอะไรหรอก ถ้าคุณมีเงินมาใส่ มันก็จบไปตั้งนานแล้ว ปัญหามันคือเงินตั้งต้นไม่มี” ศิริกัญญา ตันสกุล ยืนยันกับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่าถึงอย่างไร “จะไม่ได้เป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน โดยปกติแล้วการลงทุนจะมีตัวคูณที่สูงกว่าการแจกเงิน”

ฝ่ายนังแบกนายแบกก็เอาไปโจมตี ว่าท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง “ไหนล่ะเงินลงทุน” พวกแบกขั้น I และ E ไปสุดกู่ ใช้วิธีด้อยค่า โจมตีคุณไหมแค่จบปริญญาโท มีหน้ามาวิพากษ์พวกรัฐมนตรี ทั้งที่ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เธอเอามาพูดก็เถียงกันไม่ขึ้น

ไม่วายอวดฉลาดเอาที่ผู้ว่าฯ แบ๊งค์ชาติเผย “การขยายตัวเศรษฐกิจในปีหน้า ประมาณการไว้ที่ ๔.๔%” เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ชี้ว่า “ถ้างบประมาณลดลงไปจาก ๕๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมาณการก็จะลดลงไปอีก”

จากที่ตั้งไว้ต่ำกว่าตัวเลข ๕% ที่รัฐบาลคาดหวัง ยิ่งถ้าเป็นตัวเลขของสำนักงบประมาณ จะยิ่งต่ำลงไปใหญ่เหลือแค่ ๓.๒% ตรงข้ามกับที่พวกแบกพยายามประโคม เห็นไหมผู้ว่าแบ๊งค์ชาติยังบอกเลยว่า ถ้ามีแจกเงินหมื่นละก็ จีดีพีจะโตขึ้น

ทว่า ตอนนี้รัฐบาลทำท่าเป๋ เปลี่ยนนั่นลดนี่ เหมือนหารูไม่เจอ รอแต่วันที่ ๓๑ ตุลา บอร์ดใหญ่ชงออกมาว่าไง แล้วค่อยว่ากันต่อไป ส่วนที่เตี๊ยมๆ เอาไว้เผื่อใช้เป็นทางหนีทีไล่ ก็มี แจกเฉพาะคนรายได้น้อยราว ๑๕-๑๖ ล้านคน ใช้งบฯ แค่ ๑๖๐,๐๐๐ ล้าน

แต่นั้นต้องไม่ให้ผู้มีรายได้ ๒๕,๐๐๐ บาทต่อเดือนขึ้นไป หรือใครที่บัญชีเงินฝากเกิน ๑ แสนบาท ก็จะมีผู้ได้สิทธิรับเงินแจกราว ๔๓ ล้านคน นี่จะใช้งบประมาณแค่ ๔๓๐,๐๐๐ ล้าน หากขยายออกไปเป็นตัดคนที่เงินเดือน ๕ หมื่นขึ้นไปออก

จะเพิ่มจำนวนผู้รับแจกเป็น ๔๙ ล้านคน ก็งบประมาณ ๔๙๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมแล้วขนาดลดงบประมาณลง ตามที่ผู้ว่าฯ บอกจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยกว่านั้น รัฐบาลก็ยังไม่ยอมบอกว่าจะเอาเงินจากไหนมาเป็นสารตั้งต้น

ศิริกัญญาถึงได้บอกว่า “เรื่องงบประมาณนี่มันเถียงกันไปต่อไม่ได้จริงๆ ยกเว้นแต่จะกู้เงิน ออก พรก.กู้เงินเลยก็ทำได้ทันที แต่คิดว่าเขาคงไม่ทำ”

(https://twitter.com/Jniisss_zJo/status/1718813754262192158 และ  https://twitter.com/ThaiEnquirer/status/1718179999449305120)