วันเสาร์, พฤษภาคม 31, 2568

ความผิดพลาดทางนโยบายของพรรคประชาชน จะเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งไม่ให้ผลงานการตรวจสอบทุจริตภาครัฐของ ส.ส.ไปโลดโดดเด่นเท่าที่ควร

ไม่ต้องใช้แบก (มีน้าถึกคนเดียวพอ) ก็เห็นได้ ว่าผลงานของ ส.ส.พรรคประชาชนในการตรวจสอบการใช้งบประมาณของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งรัฐสภาเอง นั้นโดดเด่นยิ่งนัก และไม่จำเพาะต้องรังสิมันต์ วิโรจน์ หรือ ไอ๊ซ์ หน้าใหม่หลายคนเรียกได้ว่า ลงตัว

ดังกรณีของ ภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส.กทม. ที่อภิปรายร่าง พรบ.งบประมาณปี ๖๙ ของรัฐบาล พาดพิงถึงรองประธานสภาผู้แทนฯ จากพรรคเพื่อไทย เรื่องให้ที่ปรึกษาเขียนโครงการเพื่อของบฯ เอาไปกระจุกไว้เฉพาะจังหวัดของตน

“และได้มีการโยกงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในโครงการอื่น” ซึ่งเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย (รัฐธรรมนูญ) มาตรา ๑๔๔ วรรค ๓ และ วรรค ๒ เรื่องนี้ ส.ส.ภัณฑิล ใช้ช่องทางในการตรวจสอบผ่านกลไกของคณะกรรมการปราบทุจริต (ปปช.) อีกทางด้วย

การทำงานอย่างนี้ รวมทั้งอีกหลายญัตติ การร้องเรียน หรือเพียงขั้นตอนเปิดโปง ประจาน โดย ส.ส.พรรคคนอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้น จะไปได้คล่อง และเพิ่มผลงานได้เป็นทวีคูณ หากไม่มีเรื่องราวความผิด พลาดพลั้ง หรือแม้แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เข้ามาแทรก

“พรรคประชาชนกำลังร่างกฎหมาย จะให้อัยการเข้ามามีอำนาจตรวจสอบการสอบสวนคดีสำคัญ หรือคดีที่มีปัญหาตั้งแต่เกิดเหตุ” Atukkit Sawangsuk กล่าวถึงกรณีนี้ในโพสต์ประจำวันของเขา “ตำรวจค้าน ไม่ใช่ตำรวจแย่ๆ นะ”

เขาว่าเป็นตำรวจพนักงานสอบสวน ที่ขึ้นชื่อว่า “เข้มแข็งหลังตรง” แล้ว “คืออย่าไปคิดว่าตำรวจเลว อัยการเข้ามาคุม แล้วจะดีขึ้น อัยการไทยอะนะ สั่งไม่ฟ้องในคดีที่น่าสงสัยเยอะไป โดนจับเรียกรับเงินก็หลายราย” ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น

พ้องกับการแสดงความเห็นของอดีตนายตำรวจผู้หนึ่ง Siriphon Kusonsinwut บอก “​ผมตอนนั้นเป็น สว. (สารวัตร) งาน​ ๖ กองคดี​ ตร....เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ​ ๒๕๔๐ มีคดีด้านการเงินมากมายเกิดขึ้น...อัยการสั่งไม่ฟ้องจำนวนมาก”

เขาเล่าว่า “ในคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ​ อัยการสั่งไม่ฟ้องโดยใช้เวลาตั้งแต่​ ๒ ถึง ๕ ปี...ชั้นตำรวจรวบรวมหลักฐานราว​ ๑ ปี​ถึง​ ๒ ปี” อัยการใช้เวลา ๒-๕ ปีสั่งไม่ฟ้องคดี ผู้บังคับบัญชาตำรวจใช้เวลาอีกครึ่ง ปีแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง​ แล้วอีก​ ๑-๒ ปีอัยการสูงสุดชี้ขาด”

ในช่วงเวลาเหล่านั้น เปิดกว้างให้เกิดการ บิดสำนวนตำรวจหรืออัยการบิดได้เหมือนกัน อธึกกิตว่า “ซ้ำอัยการไทย ยังเป็นอิสระ อยู่เหนือการตรวจสอบ ซึ่งผิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ” ก็เพราะคณะรัฐประหารทำให้บรรลัย

(https://www.facebook.com/baitongpost/posts/0x6WjgWwyo, https://www.facebook.com/pol.kusonsinwut/posts/2nAYBJRaS9 และ https://www.facebook.com/ThePoliticsByMatichon/posts/Gr8u2tMVS)

เห็นโพสต์นี้ เซ็งเลย... หลายปีที่ผ่านมาแทบไม่มีผู้นำ ตปท. มาเยือนไทยเลย

https://www.facebook.com/analayo/posts/23908290522116010

ขนาดผู้นำเราไป ตปท ด้วยเงินภาษี นอกจากไปเดินร้านไทย เยี่ยมค่ายมวย ยังไม่ไปพบผู้นำเค้าเลย
..
จริงครับ ไม่ว่าผู้นำโลกฝ่ายซ้ายหรือขวา ก็ไม่เห็นมาเยือนเราเลย


หรือประเทศนี้ เป็นของผู้รับเหมา - Rocket Media Lab ชวนไปส่องงบก่อสร้างในร่างงบ 69 กระทรวงไหนตั้งงบก่อสร้างอะไรไว้สูงสุด


Rocket Media Lab
13 hours ago
·
ส่องงบก่อสร้างในร่างงบ 69 กระทรวงไหนตั้งงบก่อสร้างอะไรไว้สูงสุด
.
ประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากอีกหนึ่งเรื่องในการอภิปรายร่างงบประมาณประจำปี 2569 ในครั้งนี้ก็คือ งบก่อสร้างที่แต่ละกระทรวงหรือหน่วยงานมีการตั้งไว้ว่าจะก่อสร้างอะไร งบเท่าไร รายละเอียดมีอะไรบ้าง ซึ่งเป็นผลพวงที่เกิดจากประเด็นเรื่องตึก สตง. ที่ผ่านมา ที่ทำให้ผู้คนเริ่มจับตาโครงการก่อสร้างต่างๆ ของรัฐว่าคุ้มค่าคุ้มประโยชน์กับภาษีประชาชนหรือไม่
.
Rocket Media Lab ชวนไปส่องงบก่อสร้างในร่างงบ 69 กระทรวงไหนตั้งงบก่อสร้างอะไรไว้สูงสุด โดยพบว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการตั้งงบการก่อสร้าง โครงการขุดคลองระบายน้ำหลาก อ.บางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา สูงสุด 17,777,919,000 บาท รองลงมาก็คือ กระทรวงมหาดไทย กับโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย เขตคลองสาน กทม. 8,907,310,200 บาท กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับโครงการโครงการก่อสร้างอาคาร รพ.รามาธิบดี กทม. 7,014,000,000 บาท กระทรวงสาธารณสุข กับโครงการก่อสร้างสถาบันมะเร็งแห่งชาติแห่งใหม่ (สาขาบางขุนเทียน) กทม. 5,579,063,650
บาท กระทรวงคมนาคม กับโครงการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงคมนาคม แห่งใหม่ เขตบางซื่อ กทม. 3,945,000,000 บาท
.
ในขณะที่กระทรวงที่มีการตั้งงบก่อสร้างในโครงการที่สูงที่สุดในกระทรวงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับกระทรวงอื่นๆ ยังถือว่าน้อยที่สุด คือ กระทรวงแรงงาน กับโครงการก่อสร้างอาคารพักอาศัยข้าราชการ จังหวัดภูเก็ต 12,843,000 บาท กระทรวงพาณิชย์ กับโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการ สำนักงานพาณิชย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 21,250,000 บาท กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย 30 ครอบครัว สูง 4 ชั้น พร้อมส่วนประกอบ ของกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 จังหวัดเชียงใหม่ 47,840,000 บาท กระทรวงการคลัง กับโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ 2 จังหวัดตาก 141,604,400 บาท และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับชุดที่พักอาศัย กรมอุตุนิยมวิทยา กทม. 171,485,600 บาท
.
นอกจากประเด็นเรื่องงบก่อสร้าง Rocket Media Lab ยังชวนไปสำรวจร่างงบ 69 รายกระทรวงว่าแต่ละกระทรวงมีการตั้งงบในโครงการแบบไหนที่ใช้เงินเยอะที่สุด พร้อมทั้งข้อสังเกตในโครงการที่น่าสนใจในแต่ละกระทรวง เพื่อจับตาการใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนไปพร้อมๆ กัน
.
อ่านทั้งหมดได้ที่ : https://rocketmedialab.co/insight-draft-budget-69/

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1217381257069926&set=a.432217842252942




ภคมนจัดหนักงบจังหวัด มุ่งแต่สร้าง ‘ถนน-สะพาน-อาคาร’ ทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังจนมีแต่ความเหลื่อมล้ำ


THE STANDARD
·
UPDATE: ภคมนจัดหนักงบจังหวัด มุ่งแต่สร้าง ‘ถนน-สะพาน-อาคาร’ ทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังจนมีแต่ความเหลื่อมล้ำ
.
วันนี้ (30 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ที่มี ภราดรปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาทวาระแรก เป็นวันที่สาม
.
ภคมน หนุนอนันต์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณปี 2569 ว่าเป็นงบประมาณที่มีความเหลื่อมล้ำ เราพูดเรื่องนี้กันมาอย่างยาวนาน เนื่องจากปัญหา ความเหลื่อมล้ำมีต้นตอของความยากจน และความตกต่ำคุณภาพชีวิตของประชาชน ทุกคนทราบดีว่าโอกาสของคนในเมืองใหญ่กับโอกาสของคนในชนบทนั้นไม่เท่ากัน
.
เนื่องจากรัฐบาลมักทุ่มทรัพยากร และงบประมาณให้หัวเมืองใหญ่ก่อน ซึ่งเป็นการ เพิ่มช่องว่างระหว่างชนชั้น ดังนั้นพื้นที่ในต่างจังหวัดส่วนมากมีศักยภาพในการสร้างเม็ดเงินและเติบโตได้ดี แต่ไม่มีสนับสนุน จึงไม่แปลกที่ในวันนี้คนต่างจังหวัดต่างทิ้งบ้านทิ้งครอบครัวมาทำงานในเมืองใหญ่ เพราะจังหวัดบ้านเกิดนั้นไม่มีโอกาส
.
รัฐบาลโดย แพทองธาร ชินวัตร ทราบถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี เนื่องจากได้มีการแถลงไว้ต่อรัฐสภา “จะทำให้ทุกตารางนิ้วของประเทศไทย เป็นโอกาสของคนทุกคน” แต่ก็เป็นเพียงคำพูด ที่ไม่เห็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือรัฐบาลปล่อยให้งบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดถูกจัดสรรแบบเดิม ไร้ประสิทธิภาพในการยกระดับชีวิตของประชาชน
.
ที่ผ่านมางบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด มีโครงสร้างการใช้จ่ายที่เน้นง่าย ไม่ว่าจะจะมีชื่อโครงการที่สวยหรูขนาดไหน แต่สุดท้ายก็จบที่การสร้างถนน ทำสะพาน ติดไฟฟ้าส่องแสงสว่าง เขื่อนป้องกันตลิ่ง และการก่อสร้างเล็กๆ น้อยๆ และกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อทำ Pocket Money ประมาณ 700 ล้านบาท ติดกระเป๋าผู้ว่าราชการจังหวัดไว้จัดสรรเมื่อเกิดกรณีจำเป็น ซึ่งถูกระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ให้ความสำคัญเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง
.
แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลจัดสรรงบ 10,000 ล้านบาท ไปกับการก่อสร้างนับเป็นการกระทำที่ละเลยของประชาชนขณะเดียวกันงบประมาณที่นำไปใช้ในการก่อสร้างนั้น มีความซ้ำซ้อน กับงบประมาณของงบประมาณกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งถือเป็นล้มเหลวและไม่ตอบโจทย์ ไม่คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน
.
ภคมนยกตัวอย่าง ยกตัวอย่างโครงการที่มีความล้มเหลว เช่น แหล่งท่องเที่ยวลำน้ำทวนจังหวัดยโสธร เป็นเงิน 24 ล้านบาท แต่ไม่สามารถส่งมอบให้กับเทศบาลได้ เนื่องจากติดขัดระเบียบกรมที่ดิน, โครงการก่อสร้างอาคารแสดงศิลปวัฒนธรรม จังหวัดตรัง ใช้งบ 39 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างอเนกประสงค์ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้งบประมาณ 23 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างศูนย์โอทอปจังหวัดอุตรดิตถ์ใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท ที่ปัจจุบันต่างถูกทิ้งร้างไว้
.
โครงการเหล่านี้ล้วนมีความล้มเหลวในการใช้งบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
เนื่องจากไม่ตอบโจทย์กับพื้นที่ ถือเป็นความผิดพลาดของคนที่มีอำนาจในการใช้งบประมาณ โดยที่ยังไม่เห็นว่าจะต้องมีใครเป็นผู้รับผิดชอบ
.
ภคมน กล่าวอีกว่า การจัดสรรงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดนั้น ก็มีวิธีการที่ตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำเช่นกัน เนื่องจากมีการใช้เกณฑ์จังหวัดใหญ่รวย จะได้รับงบประมาณมากกว่า เนื่องจากมีการกำหนดสัดส่วนคนจน แต่กำหนดไว้เพียง 10% และรายได้ครัวเรือน 25% รวมเป็น 35% ซึ่งเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลนั้นให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำน้อยเกินไป
.
รัฐบาลทราบถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี หากมีเจตนาในการพัฒนาท้องถิ่นจริง ควรเริ่มต้นด้วยการจัดการงบประมาณในส่วนนี้ก่อน เนื่องจากงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ในปีงบประมาณ 2569 ได้รับทั้งสิ้น 26,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณปี 2568 เป็น 10% ซึ่งทำให้งบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดนั้นเป็นก้อน ที่ได้รับจัดสรรเป็นอันดับสองของหน่วยรับงบประมาณทั้งหมด
.
ภคมนกล่าวว่า งบจังหวัดและงบกลุ่มจังหวัด 26,525 ล้านบาทนี้ ถูกนำไปสร้างถนนการก่อสร้าง เป็นวงเงิน 13,760 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลล้มเหลวในการกระจายอำนาจตั้งแต่เริ่มต้น โดยที่จังหวัดที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดคือ กลุ่ม จังหวัดภาคเหนือตอนล่างสอง งบประมาณ 395 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ประมาณ 43% ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่นั้น ไม่ใช้สำหรับการสร้าง ก็นำไปใช้กับการซ่อม
.
ภคมนกล่าวว่า วันนี้การพัฒนาที่รัฐบาลคิดมีแต่การสร้างถนน สร้างอาคาร สร้างสะพาน สร้างแหล่งน้ำ สร้างทุกอย่าง แต่สร้างเดียวที่ไม่ทำคือ ‘สร้างสรรค์’ รัฐบาลไม่เคยสร้างสรรค์การใช้งบประมาณเพื่อคนที่รอคอยการพัฒนารัฐบาล ควรที่จะคำนึงถึงปัญหาที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน
.
ดังนั้นตนเองขอเสนอให้มีการจัดการงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดอย่างสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่ให้มากกว่านี้ ไม่ใช่มีเพียงการสร้างถนนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรเริ่มจากการสร้างสมดุลหลายด้าน
.
ทั้งการพัฒนาคมนาคม ขนส่งสาธารณะ, การศึกษา, ระบบสาธารณสุข, เครื่องมือทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ให้ลงพื้นที่ไปถามประชาชน ไม่ใช่คิดเอาเอง รวมถึงให้เปลี่ยนสูตรการจัดสรรงบประมาณ คำนึงถึงการพัฒนาจังหวัดจากการจัดสรรงบประมาณเป็นเค้กอำนาจ เป็นกำหนดยุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะยาว วางงบประมาณในการพัฒนาแต่ละพื้นที่ และดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไร
.
ภคมนกล่าวต่อว่า เมื่อเราต้องการเห็นการกระจายอำนาจ อยากเห็นการถ่ายโอนงบประมาณ ควรให้อำนาจการตัดสินใจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองที่มีความเชื่อมโยงกับประชาชน ที่สามารถมาตรวจสอบได้โดยประชาชนได้อย่างใกล้ชิด
.
“แม้ดิฉันจะมีพลังไม่มากพอ ขอเรียกร้องและฝากไปยังเพื่อนสมาชิกที่ต้องกลับไปมองหน้าประชาชนของท่าน เมื่อได้ฟังการชำแหละของดิฉันแล้วว่างบประมาณก้อนนี้ถูกใช้โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก หากเป็นผู้แทนของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ควรที่จะนิ่งเฉย และควรที่จะหันกลับไปที่รัฐบาลของท่าน ถามนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของท่าน จะให้ประชาชนเผชิญกับความเหลื่อมล้ำแบบนี้จริงๆ เหรอ แต่หากเพิกเฉยประชาชนก็จะได้ทราบว่าท่านเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการปล่อยให้พวกเขารับภาระในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลแบบนี้ เกียรติยศของท่าน ศักดิ์ศรีของท่านในฐานะผู้แทนราษฎรก็อาจจะเหลือน้อยลง พอๆ ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ดิฉันจึงไม่สามารถเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2569 ที่ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำจัดสรรงบประมาณ ด้วยการทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังแบบนี้ได้” ภคมนกล่าวทิ้งท้าย
.
ภาพ: ฐานิส สุดโต

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1050604707198872&set=a.586524703606877

https://www.youtube.com/watch?v=G_ylte3rrxM

ภคมน: งบจังหวัด ไม่ทั่วถึง ไม่เท่าเทียม ไม่มีประสิทธิภาพ

พรรคประชาชน

May 30, 2025

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 1 ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งจังหวัดที่ใหญ่และรวยกลับได้รับการจัดสรรงบมากกว่า แล้วเป้าหมายในการลดความเหลื่อมล้ำนั้นจะทำได้เมื่อไร ขณะเดียวกัน งบส่วนใหญ่มักถูกใช้ไปกับการก่อสร้างถนน สะพาน ไฟส่องสว่าง และไฟจราจร พรรคประชาชนจึงเสนอว่า จังหวัดและกลุ่มจังหวัดควรใช้งบให้สร้างสรรค์กว่านี้ โดยลงทุนกับการศึกษา สาธารณสุข และขนส่งสาธารณะมากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลต้องปลดล็อกกฎระเบียบ และจังหวัดต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ มากขึ้น



ข้อคิดจาก พุธิตา ชัยอนันต์ สส.พรรคประชาชน อภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณว่า รัฐบาลมีปัญหาในการดูแลชีวิตประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มแม่และเด็ก


Thairath - ไทยรัฐออนไลน์ 
12 hours ago
·
พุธิตา ชัยอนันต์ สส. #พรรคประชาชน ซัดรัฐบาลมีปัญหาดูแลแม่และเด็ก ชี้อัตราฝากครรภ์ การเสียชีวิตของแม่และเด็ก รวมถึงพัฒนาการเด็กปฐมวัยตกเกณฑ์ทั้งหมด แต่ #งบประมาณ2569 ที่ดูแลเรื่องนี้กลับน้อยนิด เงินอุดหนุนเด็กก็ไม่เพิ่ม ลั่นขอนายกฯ ที่แสดงบทบาทแม่ลูก 2 แสดงบทบาทแม่ให้เด็กๆ ทุกคนในประเทศนี้⁣
.....

Phuthita Chaianun - พุธิตา ชัยอนันต์
4 hours ago
·
วันนี้จีนได้ร่วมอภิปรายงบประมาณปี 2569 โดยชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำรุนแรงตั้งแต่ “ต้นทางของชีวิต” ทั้งแม่และเด็กยังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความตาย ทุกวันมีทารกเสียชีวิตเฉลี่ย เกือบ 6 คนต่อวัน เด็กปฐมวัยกว่า 75% ของพื้นที่เขตสุขภาพมีพัฒนาการไม่สมวัย และเด็กไทย 7 ใน 10 เติบโตมาในครอบครัวยากจน
แต่รัฐบาลกลับจัดสรรงบประมาณอย่างไม่สอดคล้องกับความรุนแรงของปัญหา เช่น งบส่งเสริมการตั้งครรภ์ปลอดภัย และพัฒนาการของเด็กปฐมวัย กรมอนามัยเขียนของบไปที่ 514 ล้าน แต่ถูกตัดเหลือเพียง 45 ล้านบาท ทั่วประเทศ และงบคัดกรองพัฒนาการเด็กหน่วยงานของบไป 2.3 ล้านบาท ครม.ตัดงบออกไปเหลือเพียง 1.8 ล้านบาท ขณะที่งบเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้ายังไม่มีความชัดเจน แม้รัฐบาลจะเคยประกาศว่าจะดำเนินการให้ทันภายในปีนี้
หากต้องการให้คนไทยมีลูกมากขึ้น ต้องไม่ใช่แค่การรณรงค์หรือออกแคมเปญ แต่ต้องเริ่มจากการลงทุนในระบบสวัสดิการที่สร้างความมั่นใจให้ กับคนเป็นพ่อแม่ว่ารัฐจะช่วยเลี้ยงดูลูกๆของพวกเขาอย่างมีคุณภาพ
จากนี้จีนและพรรคประชาชนจะขอผลักดันตัดงบจากโครงการที่ไม่จำเป็น เพื่อไปเติมให้กับ “ชีวิต” ของคนตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ในชั้นกรรมาธิการ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงาน แต่นี่คือ “ชีวิตของคน” และ “อนาคตของชาติ”
ดูคลิปการอภิปรายฉบับเต็มได้ที่นี่นะคะ https://youtu.be/sM_FPwVKQH8?si=X-sIXhd0rlklWWy0



https://www.facebook.com/photo/?fbid=722467776970758&set=a.121146613769547


พุธิตา: งบพัฒนาคุณภาพชีวิตแม่และเด็ก ยังไม่ได้รับการเหลียวแล

พรรคประชาชน

May 30, 2025

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 1 พุธิตา ชัยอนันต์ สส.เชียงใหม่ เขต 4 พรรคประชาชน กล่าวถึงงบประมาณพัฒนาคุณภาพชีวิตแม่และเด็ก ที่ปัจจุบันประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งผู้เป็นแม่ยังเข้าไม่ถึงการฝากครรภ์ที่มีคุณภาพ ปัญหาทารกตาย แม่เสียชีวิต และพัฒนาการของเด็กไม่สมวัย แต่การจัดงบของรัฐบาลกลับไม่สะท้อนความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังเสียที


คลิปเสวนา “สภาวะไร้มนุษยภาพในสังคมไทย”


เสวนา สภาวะไร้มนุษยภาพในสังคมไทย สดจาก #ธรรมศาสตร์ 30พ.ค.68

Friends Talk

Streamed live 12 hours ago
เนื่องในการตีพิมพ์หนังสือ 
📖 มนุษยภาพ : รวมบทความเชิงวิพากษ์เพื่อเป็นเกียรติแก่ธงชัย วินิจจะกูล โดย ธนาพล ลิ่มอภิชาตและพวงทอง ภวัครพันธุ์ บรรณาธิการ 
แนะนำหนังสือ โดย ✺ พวงทอง ภวัครพันธุ์ บรรณาธิการ 
วิทยากร 
✺ ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
✺ มุนินทร์ พงศาปาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
✺ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ . ดำเนินรายการ 
✺ อรอนงค์ ทิพย์พิมล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
กล่าวปิด/ขอบคุณ 
✺ ธงชัย วินิจจะกูล

https://www.youtube.com/live/8zn_sQXCd7o



“เรายังยืนรอพวกเขาอยู่ด้านหน้า”: ‘กลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน’ กับภารกิจยืนหยุดขังเพื่อผู้ต้องขังทางการเมือง

30/05/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

นับตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. 2568 เป็นต้นมา เวลาได้ผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้ว ที่กลุ่มประชาชนที่เรียกตัวเองว่า ‘เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน’ ออกมาทำกิจกรรมยืนหยุดขัง พร้อมส่งกำลังใจให้กับผู้ต้องขังทางการเมืองที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันจันทร์ถึงเสาร์ ในช่วงเวลา 17.00-20.00 น. หลังจากเคยยืนหยุดขังที่หน้าศาลอาญามาก่อนหน้านี้

ความมุ่งมั่นครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่หลายคนอาจมองว่ากระแสเรียกร้องทางการเมืองค่อนข้างซาลง แต่เบื้องหลังความเงียบสงบนั้น ตัวเลขอย่างน้อย 48 รายชื่อของผู้ต้องขังทางการเมืองในปัจจุบัน และแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังคงสะท้อนถึงปัญหาการไร้อิสรภาพทางความคิดที่ยังคงอยู่ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งเพื่อนยืนหยัดในภารกิจนี้อย่างต่อเนื่อง



“แม่อัญ” ตัวแทนกลุ่มเปิดใจว่า “เพราะเห็นความไม่ยุติธรรม และมันยังเกิดขึ้นอยู่ซ้ำ ๆ มันไม่มีเหตุผลในการจับคนไปขังเพราะคำพูดหรือการกระทำที่แสดงออกทางการเมือง เขามีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือมีสิทธิที่จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้”

เธอเน้นว่าการออกมาทำกิจกรรมครั้งนี้ ต้องการให้สังคมรู้เรื่องความไม่ยุติธรรมของประเทศ ก่อนจะกล่าวย้ำถึงกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ที่ทำให้มีคนถูกคุมขังในตอนนี้อย่างน้อย 31 คน “มาตรา 112 ยังเป็นปัญหาที่ใครจะแจ้งจับใครก็ได้ มันโดนกลั่นแกล้งมากเกินไป อยากให้ยกเลิก 112”

“รำพึง” หรือ “ป้ากุ้ง” ที่เดินทางมาย่านลาดพร้าว เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการยืนหยุดขังว่า “เริ่มมาตั้งแต่สมัยปี 2563 ตั้งแต่ผู้นำกิจกรรมกลุ่มราษฎรถูกจับ แล้วพวกเราก็ไปยืนหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อาเล็ก, ขุนแผน และประชาชนอีกจำนวนหนึ่งเริ่มช่วยกันทำ เริ่มจากกีต้าร์และลำโพง เครื่องเสียงเล็ก ๆ ก่อนจะมีคนมาเรื่อย ๆ”

ป้ากุ้งซึ่งเคยถูกดำเนินคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากเหตุชุมนุมทางการเมือง ในช่วงปี 2564 อธิบายเหตุผลที่มายืนหน้าเรือนจำว่า “เพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมืองบางคนที่ถูกนำตัวไปออกศาล หลังจากกลับมาเรือนจำเขาจะได้เห็นเรา และเห็นว่าพวกเราไม่ทิ้งเขาให้โดดเดี่ยวเดียวดาย”

ป้ากุ้งสะท้อนถึงกลุ่มว่า แม้จะมีกันไม่กี่คน แต่ยังเป็นห่วง ยังรอวันที่ผู้ต้องขังได้รับอิสรภาพ เพราะพวกเขาไม่ใช่อาชญากรรม เป็นผู้ถูกดำเนินคดีทางความคิด

“พวกเราก็มีสิ่งที่ทำได้เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ถึงพวกเขาไม่เห็นเรา แต่พวกพ้องที่เห็นเขาก็จะเข้าไปบอกกันเองในเรือนจำ อย่างเก็ทก็รู้แล้วว่าพวกเราอยู่ตรงนี้ เขาก็ให้กำลังใจพวกเรา เราอยากให้รับรู้ว่าพวกเราอยู่ตรงนี้”

เธอกล่าวถึง “ขุนแผน” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ขณะนี้ถูกย้ายสถานที่คุมขังไปเรือนจำกลางบางขวาง “เวลาเราจะนึกถึงขุนแผนจะนึกถึงเพลง ‘ตายร้อยเกิดล้าน’ ที่เขาชอบ ตอนทำกิจกรรมขุนแผนมักจะร้องตอนปิดรายการ พอเขาไม่อยู่เราก็ใจหายและเป็นห่วง”

ป้ากุ้งแสดงความเห็นว่า “กฎหมาย 112 ไม่น่ามาใช้อย่างฟุ่มเฟือย มันควรรู้จริงเห็นแจ้ง ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ไปแจ้ง ทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ บางทีเรารู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่นักโทษ แต่เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหา”



“ลุงสมชาย” อายุ 69 ปี หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมกล่าวว่า “อยากให้สังคมรับรู้ว่าผู้ต้องขังไม่ได้รับความเป็นธรรมเกี่ยวกับมาตรา 112 เขาประกันตัวไม่ได้ แล้วเด็ก ๆ เขาไม่ได้ไปปล้นใครที่ไหน”

ส่วนตัวเขาเดินทางจากย่านฝั่งธนบุรีมาร่วมกิจกรรมตลอด ตั้งแต่วันจันทร์-วันเสาร์ โดยให้เหตุผลว่า “ให้เขารู้และกดดันว่าบ้านเราต้องการเสรีประชาธิปไตย ต้องการให้เท่าเทียม โดยเฉพาะสิทธิการประกันตัว เรามายืนเพื่อบอกว่าสักวันเราต้องจากไป แต่ให้เด็กรุ่นหลังเขารู้ว่าบ้านเมืองเราเป็นยังไง”

“สุดใจ” อดีตผู้ต้องขังทางการเมือง คดีครอบครองระเบิดปิงปอง ในช่วงเวลาการชุมนุมเมื่อปี 2564 ที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2567 เล่าประสบการณ์ว่า “ที่ออกมาอีกครั้งคืออยากให้ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมืองให้หมด จะได้จบ ยังเป็นห่วงเพื่อนที่อยู่ในนั้น โดยเฉพาะคนที่ได้รับโทษสูง ๆ”

ส่วนตัวเขาถูกคุมขัง 1 ปีกว่า ๆ โดยเล่าถึงสภาพในเรือนจำว่า ปัญหาหลัก ๆ คือคุณภาพชีวิต การอยู่ การกิน ที่นอน และน้ำท่า และกังวลเรื่องการย้ายเรือนจำ โดยเฉพาะคนที่ถูกย้ายไปเรือนจำกลางบางขวางที่คนไม่ใช่ญาติจะเข้าเยี่ยมไม่ได้ แม้แต่ทนายยังมีอุปสรรค

เมื่อมองย้อนกลับไปสุดใจกล่าวว่า “คนในเรือนจำต่าง รู้สึกดีที่มีคนมาเยี่ยม มาให้กำลังใจ เราก็เจอชะตากรรมแบบเดียวกับพวกเขา เราเข้าใจว่าพวกเขาไม่อยากถูกทิ้ง”

ทางกลุุ่มต่างแสดงความห่วงใยต่อผู้ต้องขังที่ได้รับโทษสูง พวกเขาต่างมีครอบครัว และบางคนยังเรียนหนังสืออยู่ การที่เขาไปอยู่ในนั้นมันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจ โดยเฉพาะ “อานนท์ นำภา” หรือ “บัสบาส” ซึ่งพวกเขาวางแผนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจบัสบาส โดยไปเพื่อ “เยี่ยมให้ใกล้ที่สุด” ที่หน้าเรือนจำกลางเชียงราย ในวันที่ 17-18 มิ.ย. 2568
 


แม่อัญเล่าถึงการเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพว่า “ทุกที เราจะมีการเยี่ยมใหญ่ทุกเดือน และพวกเขาก็มีความสุขที่ได้เจอพวกเรา หน้าตาเขาจะผ่องใสที่ได้เจอพวกเรา พอขุนแผนย้ายไปบางขวางก็ไม่สามารถเยี่ยมได้อีกแล้ว”

เธอกล่าวปิดท้ายว่า “พวกเราไม่ใช่คนเก่ง และไม่ได้มีตังค์ด้วย แต่เรายังยืนรอพวกเขาอยู่ด้านหน้า ด้วยความเป็นห่วง พวกเราไม่ทอดทิ้งแน่นอน”

ส่วนป้ากุ้งส่งกำลังใจถึงผู้ต้องขังทางการเมืองว่า “อดทน สู้ ๆ พวกเราเป็นกำลังใจให้ ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุกคน สักวันจะต้องได้ออกมา ทางนี้จะทำกิจกรรมไปจนกว่าเท่าที่ทำได้”

สำหรับกลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน ดำเนินกิจกรรมด้วยทุนส่วนตัว ส่วนใหญ่ทุนรอนในการเดินทางมาจากการออกค่าใช้จ่ายเอง มีบางส่วนที่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อน ๆ ร่วมอุดมการณ์บ้าง เช่น ค่าน้ำ ค่าอาหาร และไม่มีกำหนดว่าจะทำกิจกรรมยืนให้กำลังใจผู้ต้องขังทางการเมืองไปนานแค่ไหน แต่พร้อมทำไปจนกว่าผู้ต้องขังการเมืองทั้งหมดจะได้รับอิสรภาพ
.
ดู รายชื่อผู้ต้องขังทางการเมือง 2568

https://tlhr2014.com/archives/75740


“ได้กอดลูก เป็นสุขอย่างยิ่ง”


ภัควดี วีระภาสพงษ์
8 hours ago
·
“ได้กอดลูก เป็นสุขอย่างยิ่ง”
.
วันก่อนที่ไปฟังคำพิพากษาที่ศาลอาญา เจ้าขาลวิ่งถลามากอดพ่อ ให้พ่ออุ้ม เอารถของเล่นคันใหม่มาอวด พูดเป็นประโยคยาวๆได้แล้ว พูดไป หัวเราะไป เป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะยิ่ง
.
30 พฤษภาคม 2568 ถึงปราณและขาล ลูกรักทั้งสอง
.
โทษทัณฑ์จากม.112 ของพ่อเพิ่มจาก 22 ปี เป็น 24 ปี เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ไม่ยาก ในจังหวะที่บ้านเมืองป่วยไข้เช่นนั้น หากแต่ความจริงที่พวกเราเผชิญยังมีความยากลำบาก มีความท้าทายอีกมากมายที่ต้องเผชิญ รอยิ้มของลูกในห้องพิจารณา รอยยิ้มและกำลังใจของบรรดาลุงป้าน้าอาที่มาให้กำลังใจ ยังคงเพิ่มพลังใจยิ่งในวันที่ยากลำบากนี้
.
“น้ำตา” ที่ไหลออกมาข้างนอกจะมีรสชาติเค็ม แต่น้ำตาที่ไหลเข้าไปข้างในกลับมีรสขมและขื่น ในวันที่พวกเราเห็นพ้องต้องการในการก้าวเดิน ไม่อาจมีน้ำตาที่ไหลออกมาแต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากที่จะปฎิเสธความอัดอั้นตันใจ ความคับแค้นใจ ทำให้รสชาติของความขมขื่นลายเป็นพลังอีกประการที่คอยย้ำจุดยืนของพ่อ
.
ส่งกำลังใจให้เพื่อนข้างนอก จงเข้มแข็ง เปี่ยมพลังในทุกๆย่างก้าว
.
จนกว่าเราจะพบกันอีก
อานนท์ นำภา

https://www.facebook.com/phakh.wdi.wira.phas.phngs.2025/posts/2799953333548902


กระบวนการยุติธรรมไทย ในวันที่บุ้งไม่อยู่ | ธงชัย วินิจจะกูล


มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 พฤษภาคม 2568
เผยแพร่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2568

กระบวนการยุติธรรมไทย
ในวันที่บุ้งไม่อยู่


(บรรยายในงานรำลึก 1 ปี “บุ้ง เนติพร วันที่เธอหายไป” (Remembering Her, Remember Us, 14 พฤษภาคม 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร)

เกริ่นนำ

การเสียชีวิตของ “บุ้ง” เนติพร เสน่ห์สังคม บอกแก่สังคมไทยว่า ถึงเวลาต้องสะสางกระบวนการยุติธรรมของไทยใน 3 เรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ

1. กระบวนการยุติธรรมที่เป็นเหตุของความอยุติธรรมเสียเอง โดยเฉพาะที่เกิดกับนักโทษการเมืองหรือทางความคิด

2. การราชทัณฑ์ เรือนจำ เป็นองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่จะอำนวยให้เกิดความยุติธรรมหรือทำให้เกิดความอยุติธรรมก็ได้

3. การลอยนวลพ้นผิด

ในขณะที่ยังไม่มีคำอธิบายหรือแม้แต่ข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจการเสียชีวิตของบุ้งขึ้นบ้าง ทั้งกลับเต็มไปด้วยความพยายามบ่ายเบี่ยงและถ่วงเวลาของทางราชการ แต่ไม่ว่าเราจะได้รับคำตอบหรือไม่ก็ตาม

การเสียชีวิตของเธอจะติดตรึงในประวัติศาสตร์กระบวนการยุติธรรมไทยตลอดไป เพราะเป็นกรณีที่ฟ้องให้เห็นปัญหาทั้งสามประเด็นดังกล่าว


กระบวนการยุติธรรม
ที่เป็นเหตุของความอยุติธรรม


ใช่… มีคนที่อึดอึดใจกับวิธีการประท้วงของบุ้งในหลายกรณีเพราะเห็นว่าก้าวร้าว แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับความมุ่งหมายของบุ้งก็อาจจะเห็นว่าวิธีการของเธอทำให้ “เสียแนวร่วม” แทนที่จะเข้าใจและเข้าร่วมกับสิ่งที่เธอเรียกร้อง

เราไม่ต้องเห็นด้วยกับวิธีการประท้วงของบุ้งก็ได้ แต่ลองจับเอาความ “ก้าวร้าวรุนแรงของบุ้ง” เทียบกับความรุนแรงอีกสองประเภทที่เกี่ยวข้องกัน (ผมจะไม่เทียบกับความรุนแรงอีกมากซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเพราะถือว่าไม่แฟร์)

ประเภทแรก คือ ความรุนแรงทางการเมืองที่สังคมไม่รู้สึกว่าผู้กระทำเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง แถมมีคนยอมรับจำนวนมากด้วยซ้ำ ได้แก่ การรัฐประหารและนิติสงคราม

ประเภทที่สอง คือ ความรุนแรงตามกฎหมาย ได้แก่ การไม่ให้ประกัน การฟ้องร้องที่เลอะเทอะ หรือใครๆ ก็ฟ้องได้เพื่อสร้างความกลัว

อีกอย่างหนึ่งซึ่งสังคมไทยเห็นเป็นเรื่องเล็ก ไม่เห็นว่ารุนแรง ทั้งๆ ที่อาจก่อให้เกิดบาดแผลทางจิตใจไปอีกนาน นั่นคือการขังคุกข้ามคืนเพื่อรอศาลหรือรอทำสำนวนเสร็จ

บุ้งประท้วงด้วยการพ่นสี สาดน้ำ ทำแผ่นสอบถาม โต้เถียงต่อปากต่อคำ เทียบไม่ได้เลยกับความรุนแรงสองประเภทข้างต้น ไม่สามารถสร้างความกลัวให้ใครได้ ไม่ก่อบาดแผลทางใจต่อใครทั้งนั้น

ไม่ว่าจะมองวิธีการของบุ้งอย่างไร แต่เราก็ไม่ควรมองข้าม ประเด็นที่เป็นหัวใจของการต่อสู้ของเธอ นั่นคือ ความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมของไทย และไม่ควร “โทษเหยื่อ” ว่าการสูญเสียเป็นเพราะการกระทำของเธอเอง

การประท้วงที่นำไปสู่การจับกุมคุมขังบุ้งส่วนมากเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่มีต่อผู้ที่มีความคิดค่านิยมซึ่งต่างไปจากที่สังคมไทยยึดถืออย่างตายตัวและคับแคบ หรือนักโทษทางความคิดและการเมือง โดยเฉพาะถูกปฏิเสธสิทธิในการประกันตัว

คงไม่จำเป็นต้องอธิบายกันยืดยาวอีกแล้วว่า การใช้กฎหมายโดยเฉพาะมาตรา 112 ด้วยเหตุผลทางการเมืองเป็นปัญหาขนาดไหน ทั้งตัวบทและการบังคับใช้ การให้ใครก็ฟ้องได้ การตีความที่เกินเลยแถมไม่คงเส้นคงวา การดำเนินคดีที่ผิดปกติบ่อยครั้ง และความกลัวทั้งในหมู่ประชาชนและในหมู่เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล จนมีผลทำให้การพิจารณาและตัดสินคดีจำนวนมากเคลือบแคลงน่าสงสัย เป็นรอยด่างดำของประเทศไทยในสายตานานาชาติ

ความอยุติธรรมเกิดมากขึ้นเรื่อยในกระบวนการพิจารณาคดี เช่น การไม่เรียกหลักฐานให้จำเลยด้วยการอ้างมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ การพิจารณาคดีลับทั้งๆ ที่กฎหมายมิให้ทำเช่นนั้น แต่กลับทำโดยอ้างข้อยกเว้น อ้างความมั่นคง คำตัดสินที่ไม่ลงชื่อผู้พิพากษา การให้อธิบดีศาลเข้าแทรกแซงการตัดสิน ฯลฯ ส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวออกมาสู้คดี

สิ่งที่บุ้งต่อสู้นั้นก็เพื่อขจัดความอยุติธรรมความผิดเพี้ยนเหล่านี้ในกระบวนการยุติธรรม

กรณีของพอล แชมเบอร์ส บ่งชี้ว่าความผิดปกติเกิดขึ้นซ้ำเล่าจนกลายเป็นปกติสำหรับคดีเหล่านี้ การฟ้องที่เริ่มจากคนคนเดียวในเฟซบุ๊ก ฟ้องสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ เจ้าหน้าที่ก็ไม่กลั่นกรองเพราะทั้งตำรวจ อัยการ จนถึงศาลกลัวกันหมด กลัวจนไม่ยอมให้ประกันไว้ก่อน ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่าไม่มีมูล ไม่มีหลักฐานหรืออาจจะเกิดจากคนฟ้องแปลผิดเองด้วยซ้ำ แต่ก็นำไปสู่การเสียอิสรภาพอย่างน้อยหนึ่งคืน

ทว่า สังคมไทยไม่เห็นว่าการเอาคนขังคุกคืนหนึ่งเป็นความอยุติธรรมที่รุนแรง

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาภายใต้ตุลาการภิวัตน์ มีคดีทำนองเดียวกันอีกจำนวนมาก

ความอยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรมเป็นที่รับรู้กันทั่วสังคมไทย ถึงขนาดที่กลายเป็นวิกฤตความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าวงการตุลาการจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม วิกฤตความน่าเชื่อถือจะดำรงอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่ไม่มีความพยายามแก้ไข ในระหว่างนี้สาธารณชนทำอะไรไม่ได้เพราะตุลาการเป็นอิสระจากการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม

ภาวะเช่นนี้ทำให้สาธารณชนกลัว “นิติสงคราม” หรือการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลเพื่อทำร้ายประชาชนที่คิดต่างมีค่านิยมต่าง แถมทำร้ายอย่างคาดการณ์ไม่ได้ว่าแค่ไหนทำได้ แค่ไหนไม่สมควร เราท่านจะโดนเมื่อไร

เหล่านี้คือเป้าหมายที่บุ้งต้องการต่อสู้แก้ไข

คำถามสำคัญมากที่สังคมไทยยังไม่ได้เริ่มถกเถียงกันเลยก็คือ ในเมื่อกระบวนการยุติธรรมก่อความอยุติธรรมเสียเอง แล้วเราจะมีหนทางจัดการอย่างไรนอกเหนือไปจากขอร้องวิงวอนฝากความหวังกับกระบวนการที่ก่อความอยุติธรรมให้แก้ไขตนเอง แต่ไม่มีหนทางอื่นที่จะทำให้กระบวนการยุติธรรมดังกล่าวต้องรับผิด (accountable) แต่อย่างใด



ราชทัณฑ์ (1)

ผมเคยมีโอกาสร่วมงานรำลึกถึงบุ้งครั้งหนึ่งไม่กี่เดือนหลังจากที่เธอเสียชีวิต

ผมอยากจะขอย้ำ ผมทราบดีว่าผู้จัดงานและเพื่อนของบุ้งคงอยากสืบทอดเจตนาของเธอในการ “ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม” คำคำนี้ชวนให้นึกถึงตำรวจ ศาล อัยการมากกว่า คนจำนวนไม่น้อยอาจจะลืมไปแล้วว่าราชทัณฑ์ คุก ตะราง ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมด้วย

การราชทัณฑ์หลุดรอดการจับตาของสังคมมานานเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมมีความสำคัญมากและมีปัญหามาก

ผมเห็นว่าการเสียชีวิตของบุ้งมีความหมายเป็นพิเศษตรงที่ได้เปิดเผยธาตุแท้ของราชทัณฑ์ไทยเป็นการเฉพาะว่ามีคุณสมบัติโหดร้ายไร้มนุษยธรรมขนาดไหน เปิดเผยปัญหาระดับวิกฤตของการราชทัณฑ์ของไทย

กรณีบุ้งและกรณีอากง อำพล ตั้งนพกุล ฟ้องถึงความล่าช้า ไม่แยแส ไม่พร้อม ไม่ปฏิบัติต่อนักโทษที่เจ็บป่วยเป็นมนุษย์ บวกด้วยความพยายามรักษาหน้า ปกปิดความผิด ด้วยการบ่ายเบี่ยงหน่วงเหนี่ยวกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงการเสียชีวิตของเธอ กรณีของบุ้งจึงสามารถเป็นหลักฐานเพื่อจะยกเครื่องกิจการราชทัณฑ์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้

หลายท่านอาจไม่รู้ว่าสภาพของเรือนจำเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการสารภาพของผู้ถูกคุมขังคดีการเมืองมากขนาดไหน การที่พวกเขาส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธการประกันตัว จึงได้รับรู้ชีวิตในเรือนจำแต่เริ่มต้น หลายคนคิดคำนวณว่าจะสารภาพ (ทั้งๆ ที่ยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด) เพื่อตัดตอนการพิจารณาคดีที่ยืดยาวและหวังจะได้ลดโทษลงครึ่งหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดคุกนาน

ข้อเท็จจริงของคดีไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อการสารภาพเท่ากับสภาพคุก เท่ากับว่าคำสารภาพหลายคดีเกิดจากการถูกคุกคาม แม้ว่าไม่ใช่จากเจ้าพนักงาน แต่เป็นการคุกคามด้วยสภาพของเรือนจำ ในทางกฎหมาย คำสารภาพในภาวะเช่นนี้อาจถือว่าเป็น False confession

ถ้าหากการต่อสู้ช่วยให้เกิดการปรับปรุงปฏิรูปขึ้น จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อนักโทษนับหมื่นแสนคนในเรือนจำทั่วประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่มิใช่นักโทษการเมือง

ยกตัวอย่างเช่น การใส่กุญแจข้อเท้า ซึ่งเป็นการเรียกอย่างสวยหรูแทนคำว่า “ตรวน” ในสมัยก่อนแค่นั้นเอง โดยใช้กุญแจมือแทนที่จะเป็นวงเหล็กหนักๆ และใช้โซ่เส้นเล็กกว่าตรวนแต่ก่อน หรือการห้ามนักโทษใส่รองเท้าเวลามาศาล น่าอนาถที่เราท่านไม่รู้สึกอะไรแล้วเวลาเห็นนักโทษเท้าเปล่ามีโซ่ล่ามสองขาจนเดินไม่ถนัดในห้องพิจารณาคดีอันสูงส่ง

ข้อบังคับเหล่านี้มีไว้ลดทอนความเป็นคน (dehumanize) ของนักโทษ เพื่อหล่อเลี้ยงความภูมิใจของเจ้าพนักงานว่าตนเป็นคนมีอำนาจ ไม่มีประโยชน์อื่นใด ดังนั้น หากยกเลิกได้ นักโทษนับหมื่นแสนคนจะเป็นมนุษย์เสมอคนอื่นๆ เสียที

คุกของไทยเป็นแหล่งลดทอนความเป็นคน ถ้าเราเห็นว่าการทำเช่นนั้นป่าเถื่อนและไม่ควรมีใครถูกลดทอนความเป็นคน เราก็ควรทลายแหล่งผลิตความป่าเถื่อนดังกล่าว คุกของไทยดังที่เป็นอยู่น่าจะเป็นแหล่งแรกๆ ที่สมควรถูกทลาย

การราชทัณฑ์ของไทยในปัจจุบันเป็นมรดกของการสอบสวนและลงโทษตามจารีตโบราณที่เรียกกันว่า “จารีตนครบาล” (ยกเลิก พ.ศ.2439 สมัยรัชกาลที่ 5) ซึ่งถือว่าผู้ต้องขังมีความผิดจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองบริสุทธิ์ และยอมให้ใช้การทรมานเพื่อรีดคำสารภาพได้ การราชทัณฑ์ของไทยยังเปลี่ยนไม่ผ่านไปสู่การลงโทษแบบอารยะสมัยใหม่ที่ถือว่านักโทษเป็นมนุษย์เหมือนกันที่ถูกลงโทษเพื่อให้บำบัดแก้ไขปรับปรุงตัว (correction)

การแปลคำว่า “ราชทัณฑ์” ในภาษาไทย ว่าเท่ากับ “Corrections” ในภาษาอังกฤษเป็นการแปลแบบขี้ตู่ เพราะเอาจารีตการสอบสวนลงทัณฑ์คนละระบบมาวางเคียงว่าเหมือนกัน

เลิกเถอะครับ เพราะโลกสมัยนี้ข้ามการสอบสวนและลงโทษที่ป่าเถื่อนแบบจารีตนครบาลมานานแล้ว ทั้งนี้ การแก้ไขจนถึงยกเลิกการใส่ตรวนและการห้ามใส่รองเท้า สามารถทำได้โดยแก้กฎระดับกระทรวงทบวงกรม ไม่ต้องทำเป็นพระราชบัญญัติผ่านสามวาระในรัฐสภาแต่อย่างใด

ผมเห็นว่าสังคมไทยไม่เคยสนใจกิจการราชทัณฑ์อย่างจริงจัง ก็เพราะเห็นเป็นเรื่องของคนคุกที่น่ารังเกียจ

ราชทัณฑ์ (2)

กรณีของบุ้ง กรณีอากง และกรณีทำนองเดียวกันอื่นๆ ยังสามารถเปรียบเทียบกับ “กรณีชั้น 14” เพื่อให้เห็นความแตกต่างตรงข้ามกัน ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมจึงต้องปฏิรูปการราชทัณฑ์

จริงอยู่ว่าการลงโทษทักษิณ ชินวัตร นั้นน่าสงสัยไม่เป็นธรรม การตัดสินลงโทษเขาอยู่ในบริบทของความพยายามเล่นงานทักษิณ เอาเขาออกไปจากการเมืองไทย จึงเป็นความอยุติธรรมอีกกรณีที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกตั้งข้อสงสัย

การที่เขาพยายามหาทางเอาตัวรอดจากเรือนจำเป็นสิ่งน่าเห็นใจ แต่วิถีทางออกที่เขาเลือกคือ “ดีล” โดยยอมรับการลงโทษ แต่ทำข้อแลกเปลี่ยนกับผู้ทรงอำนาจของรัฐพันลึก เพื่อให้เขาไม่ต้องเข้าเรือนจำ แถมกลับมาเป็นผู้มีอำนาจได้อีกครั้ง

วิถีทางออกนี้ต้องโกหกต่อสาธารณชน แถมไม่แคร์ว่าจะสมจริงมีเหตุผลหรือจะเป็นแค่จำอวดตบหน้าประชาชน ทำราวกับประชาชนโง่งมและยอมให้ถูกลากจูงไปทางไหนก็ได้ จะพูดเลอะเทอะอย่างไรก็ได้

นี่เป็นวิถีทางที่ก่อปัญหามาก เพราะ “เอาโอกาสอันเกิดจากอาณัติ (mandate) ที่สาธารณชนมอบหมายให้ในการเลือกตั้งเพื่อให้สร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ในสังคมไทย เอาไปแลกกับสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลยกับผลประโยชน์สาธารณะ” (นี่คือความหมายของการ “ตระบัดสัตย์” – โปรดอ่านข้อความที่เน้นอีกครั้ง — อย่าบิดความหมายเป็นอย่างอื่นเพื่อเลี่ยงการรับผิดชอบ)

ในขณะที่ผู้ต้องขังทั้งหลาย ทั้งนักโทษการเมืองและไม่เกี่ยวกับการเมือง ยังประสบปัญหาถูกพรากสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ในเรือนจำสมควรได้รับ ทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาหารที่กินไม่ลง และการรักษาพยาบาลที่ขาดแคลน ไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอในยามเจ็บป่วย แต่อภิสิทธิ์ชนคนนั้น นอกจากจะสยบยอมไม่ต่อสู้กับความอยุติธรรมแล้ว ยังกลับใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเพื่อหาประโยชน์ให้ตนเอง คือได้รับการงดเว้นไม่ต้องเข้าเรือนจำ แถมยังเลิกความพยายามนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองตามที่สัญญาไว้ตอนหาเสียง เพราะเอาไปแลกกับการไม่ต้องติดคุกไปแล้ว

อภิสิทธิ์พิเศษที่เขาได้รับ ไม่เคยมีมาก่อนในระบบการรักษาพยาบาลของราชทัณฑ์ ตรงข้ามลิบลับกับชะตากรรมของผู้ต้องขังปกติซึ่งได้รับการรักษาพยาบาลอย่างจำกัด ล่าช้าอย่างน่ารังเกียจ ไม่เหมาะสมและไม่เพียงพออย่างน่าอนาถ ไร้มนุษยธรรมอย่างเหลือเชื่อ (เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกือบ 50 ปีก่อนในกรณีโอริสสา ไอราวัณวัฒน์ ผู้ต้องขังคดี 6 ตุลาต้องรอหลายเดือนจนกระทั่งรัฐบาลไทยจะถูกกดดันจากนานาชาติอย่างหนัก ราชทัณฑ์จึงยอมส่งเขาไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผลเน่าเฟะเนื่องจากถูกกระสุนกรอกเข้าปากที่ธรรมศาสตร์)

อภิสิทธิ์ที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างสุดพิเศษ ช่างแตกแตกต่างลิบลับราวสวรรค์กับนรกกับกรณีอากงและบุ้งที่เสียชีวิตเพราะถูกปฏิเสธการรักษาที่เพียงพอเหมาะสมและทันการณ์ ต่างลิบลับกับกรณีเอกชัย หงส์กังวาน และนักโทษอื่นๆ ซึ่งตามปกติจะถูกสงสัยไม่เชื่อไว้ก่อนว่าป่วยหนักจริง เพราะนักโทษปกติน่าถือเชื่อน้อยกว่ามนุษย์ปกติ

ครั้นเกิดการเสียชีวิตแล้ว ทางราชการยังไม่แคร์ ไม่เห็นหัวนักโทษถึงขนาดที่ไม่สนใจอธิบายตามความจริงหรืออย่างมีเหตุผล ไม่ให้หลักฐาน ไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน ความเพิกเฉยละเลยต่อนักโทษเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 50 ปีมาแล้ว และน่าจะนานกว่านั้น เพราะนักโทษเผชิญกับการปฏิบัติราวไม่ใช่มนุษย์มาตั้งแต่การราชทัณฑ์แบบจารีต พวกเขาไม่สามารถมีปากเสียงเพราะถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครฟัง

โศกนาฏกรรมที่เกิดกับบุ้งเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของทั้งระบบเรือนจำในประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำแต่ไม่มีใครสนใจความทุกข์ร้อนของนักโทษปกติทั้งหลาย แม้แต่พวกเราก็ไม่ค่อยสนใจพวกเขา

สรุป กรณีหนึ่ง ทำการตบตาประชาชน ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างดีเป็นพิเศษ เพราะดีลทำให้เขาเป็นฝ่ายอภิสิทธิ์ชนสูงกว่าคนธรรมดาไปแล้ว

กรณีบุ้ง ถูกเจ้าหน้าที่ปกปิดความจริงต่อสาธารณชน ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่อย่างแย่เป็นพิเศษ เพราะเธอเป็นคนคุกที่มีค่าน้อยกว่ามนุษย์ปกติไปแล้ว (เปลี่ยนชื่อบุ้ง เป็นอากง เป็นเอกชัย เป็นชื่ออื่นอีกมากมายก็ย่อมได้)

ลอยนวลพ้นผิด (impunity)

กรณีของบุ้ง ยังเกี่ยวข้องกับความอยุติธรรมอีกอย่าง คือ การที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บ่ายเบี่ยงหน่วงเหนี่ยวการหาความจริง พยายามหลีกเลี่ยงการรับผิด (accountability) หรือเพื่อลอยนวลพ้นผิด (impunity) นั่นเอง

การลอยนวลพ้นผิดเป็นโรคร้ายที่เรื้อรังในระบบการเมืองและระบบยุติธรรมของไทย Tyrell Haberkorn ถึงกับเสนอว่า การลอยนวลพ้นผิดเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการสร้างชาติของไทยมาตั้งแต่ต้น

ผมเห็นว่า ประเทศไทยเป็น “นิติรัฐอภิสิทธิ์” (prerogative state) หมายถึง รัฐที่ปกครองโดยระบบกฎหมายที่ให้อภิสิทธิ์แก่รัฐมากเป็นพิเศษโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ อภิสิทธิ์ทางกฎหมายที่สำคัญ คือ การงดใช้กฎหมายปกติ ให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐใน “ภาวะยกเว้น” ที่รัฐอ้างว่ามีภัยต่อความมั่นคงและ/หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน

แต่อภิสิทธิ์ซึ่งเหลือล้นที่สุดที่ไม่มีรัฐปกติที่ใดในโลกได้รับ แต่กลับเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรัฐไทย คือ อภิสิทธิ์ที่กระทำผิดก็ไม่ถือเป็นความผิด

สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงปัญหาการลอยนวลพ้นผิดเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เรามักเรียกว่า “วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด” ซึ่งถูกเพียงครึ่งเดียว นั่นคือรัฐไทยอ้างอภิสิทธิ์เช่นนี้บ่อยครั้งจนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองไทย แต่เนื้อแท้ของการลอยนวลพ้นผิดคืออภิสิทธิ์ที่จะไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย

การแก้ไขวัฒนธรรมมักต้องอาศัยการถกเถียงยาวนาน ออกคำสั่งบังคับกันได้ยาก แต่อภิสิทธิ์ลอยนวลพ้นผิดสามารถระงับได้โดยกฎหมายที่บัญญัติให้ถือว่าอภิสิทธิ์เหลือล้นดังกล่าวนั้นผิดกฎหมาย

นักวิชาการยังมีภารกิจที่ต้องจัดการเกี่ยวกับเรื่องลอยนวลพ้นผิดนี้ ก็คือ ในเมื่อเป็นคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของรัฐไทย เราต้องศึกษาเข้าใจมากกว่านี้ว่าในสถานการณ์หรือเงื่อนไขเช่นใดที่มักมีการอ้างให้อภิสิทธิ์เช่นนี้ มีแบบแผน (pattern) หรือไม่ ใช้เหตุผลหรือความหมายอะไรบ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมต่อสาธารณชน เป็นต้น เพื่อจะพยายามขจัดทั้งตัวการกระทำผิดๆ และปัจจัยเงื่อนไขต่างๆ ที่เอื้ออำนวยให้เกิดการลอยนวลพ้นผิด

กล่าวโดยสรุป

เราสามารถทำให้การเสียชีวิตของบุ้งมีความหมายมากกว่าการรำลึกให้สังคมจดจำเธอ ด้วยการทำให้กรณีของบุ้งมีความหมายต่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ในความเห็นของผม เราควรทำให้กรณีบุ้งและกรณีอากงจุดประกายและเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการปฏิรูปกิจการราชทัณฑ์

สังคมไทยจะเฉยชากับความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมไปอีกนานเท่าไร ขึ้นอยู่กับการรณรงค์ให้ความรู้แก่สาธารณชน ต่อสู้กับความเฉยชาเช่นนั้น พร้อมๆ กับต่อสู้กับอำนาจที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง

พอทีเถอะกับการกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของบุ้งเอง ถ้าสังคมไทยจะไร้ศีลธรรมปานนั้น ผมก็จะไม่แปลกใจเลยถ้าหากสังคมไทยจะถึงจุดที่หายนะล้มเหลว ไม่เพียงทางเศรษฐกิจ แต่รวมถึงความล้มเหลวทางศีลธรรม จริยธรรม ล้มเหลวทั้งกระบวนการยุติธรรมด้วย

แต่เราคงไม่ต้องการเห็นความล้มเหลวขนาดนั้น กรณีการเสียชีวิตของบุ้งจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะทำให้สังคมไทยตื่นตัวและเริ่มจัดการแก้ไขอย่างจริงจัง

https://www.matichonweekly.com/column/article_842485


ความรู้รอบตัว ทรัพย์สินกษัตริย์ของอังกฤษ



Pipob Udomittipong
6 hours ago
·
ถ้าเราเข้าไปหน้า FAQs ของ Crown Estate ซึ่งครอบครองที่ดิน 6 แสนกว่าเอเคอร์ มูลค่ากว่า 16 พันล้านปอนด์ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์บนทำเลทองในลอนดอน ที่ดินในชนบทจำนวนมาก ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ชายฝั่งในสหราชอาณาจักร และพื้นท้องมหาสมุทรโดยรอบชายฝั่งเหล่านั้น จะพบคำถามว่า “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นกรรมสิทธิของกษัตริย์หรือไม่?”

คำตอบคือ ไม่ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์ ทรัพย์สินของหน่วยงานเราเป็นการครอบครองตามหลักสายโลหิตของกษัตริย์ และตามหลัก “in right of the Crown” หมายความว่า ทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของกษัตริย์ตลอดระยะเวลาที่ครองราชย์ แต่พระองค์ไม่สามารถขายทรัพย์สินเหล่านั้นได้ และรายได้จากทรัพย์สินเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของกษัตริย์เช่นกัน

แสดงว่า อย่างน้อยใน #อังกฤษ ไม่มีหรอกที่เรียกว่า “ทรัพย์สินส่วนตัว” อย่างแท้จริงของกษัตริย์ แม้แต่วัง Sandringham หรือ Balmoral หรือ Duchies ทั้งสองแห่ง ในทางเทคนิคเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์หรือรัชทายาท แต่ในทางปฏิบัติ กษัตริย์และรัชทายาทไม่มีอิสระอย่างสมบูรณ์ในทรัพย์สินเหล่านี้

ตัวอย่างเช่น Duchy of Lancaster ที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของกษัตริย์ ก็ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ไม่สามารถโอนได้ของรัฐ (an inalienable asset of the Crown) ซึ่งถือครองโดยกองทุนเพื่อกษัตริย์ในอนาคต กษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ไม่สามารถขายส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินนั้นเพื่อแลกกับเงินก้อนโตได้

การกำหนดให้กษัตริย์มีสิทธิครอบครองทรัพย์สินเพียงในนาม แต่ไม่ใช่ในทางปฏิบัติ เป็นไปตามการอนุวัติของระบอบปกครองสมัยใหม่ที่กษัตริย์ปกครองเพียงในทางเทคนิค แต่การดำเนินกิจการทั้งปวงเป็นของรัฐ

สมัยก่อนในระบอบสมบูรณ์ กษัตริย์อังกฤษต้องลงนามสัญญาเงินกู้เอง เพื่อเอาเงินมาทำสงคราม มาจ่ายเงินเดือนข้าราชการ จ่ายชำระหนี้ประชาชาติ จนเกิดภาระหนี้สินมากมาย

ในปี 1760 สมัยพระเจ้าจอร์จที่ 3 จึงมีการดีลกับรัฐบาลว่า กษัตริย์จะส่งมอบทรัพย์สินเพื่อให้รัฐจัดการ และแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กษัตริย์ประมาณ 15-25% ที่เรียกว่า Sovereign Grant ในปัจจุบัน เพื่อใช้จ่ายตามอัธยาศัย

เป็นไปตามแบบแผนของรัฐสมัยใหม่ที่กษัตริย์ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการหารายได้จากทรัพย์สินของแผ่นดิน อย่างน้อยในอังกฤษ
https://www.thecrownestate.co.uk/about-us/faqs

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162560640361649&set=a.10150096728651649



เออ หน้าด้านดี !


บีบีซีไทย - BBC Thai
11 hours ago
·
วันนี้ (30 พ.ค.) ในการประชุมวุฒิสภา (สมัยวิสามัญ) เป็นกรณีพิเศษ ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาวาระเรื่องด่วน เสนอโดย นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา เรื่องขอให้ชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนกว่าจะมีคำตัดสินใจคดีที่ สว. จำนวนมาก ตกเป็นผู้ถูกร้องในคดีฮั้วเลือก สว.
.
สมาชิกวุติสภาแต่ละคนได้ร่วมการอภิปรายเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางคนแสดงถึงความกังวลโดยเฉพาะในประเด็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หลังจาก สว. กลุ่มใหญ่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาคดี "ฮั้วเลือก สว." และบางส่วนอยู่ระหว่างการถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีตัวแทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมทีมสืบสวนด้วย
.
หลังจากที่ สว. อภิปรายครบถ้วนแล้ว ได้มีมติ "ไม่เห็นด้วย" กับญัตติของนายเทวฤทธิ์ ด้วยคะแนนเสียง 125 ต่อ 37 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง วุฒิสภาจึงเดินหน้าพิจารณาเรื่องตามวาระที่กำหนดไว้ในระเบียบวาระต่อไป นี่หมายความว่า สว. ชุดนี้จะเดินหน้ากระบวนการพิจารณาให้ความเป็นชอบกรรมการองค์กรอิสระต่าง ๆ ต่อไป โดยไม่ต้องรอให้คดีฮั้ว สว. ได้ข้อสรุปเสียก่อน
.
อย่างไรก็ตาม หลังการลงมติ นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ และ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวว่าไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับการประชุมวุฒิสภาในการตั้งกรรมการในองค์กรอิสระ และ สว.เสียงข้างน้อยได้วอล์คเอาท์ หรือประท้วงเดินทางออกจากห้องประชุมทันที
.
อ่านที่มาที่ไปของความพยายามในการชะลอการเลือกองค์กรอิสระในครั้งนี้ ได้ที่รายงานนี้: https://www.bbc.com/thai/articles/crmkde372klo

https://www.facebook.com/photo?fbid=1211665024326993&set=a.627743042719197
.....


วุฒิสภา
10 hours ago
·
มติที่ประชุมวุฒิสภา วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568

ที่ประชุมวุฒิสภาได้พิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติ ชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้งและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จนกว่ามีคำตัดสินในคดีที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวนมากตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้องขณะนี้ ตามที่ นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย เป็นผู้เสนอ โดยลงมติด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 37 เสียง ไม่เห็นด้วย 125 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง
.
จึงถือว่าที่ประชุมลงมติไม่เห็นชอบให้ชะลอการพิจารณา เรื่องด่วนที่ 1 ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องด่วนที่ 2 ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเรื่องด่วนที่ 4 ให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามญัตติที่เสนอ

https://www.facebook.com/photo?fbid=1040508441572463&set=a.241995514757097



ชีวิตและความฝันที่ดับลงพร้อมลมหายใจของ ‘น้องเน’


https://www.facebook.com/poetryofb/posts/1227501255417016
Poetry of Bitch
10 hours ago
·
ชีวิตและความฝันที่ดับลงของพลทหารคนหนึ่ง
—————
ความฝันของ ‘น้องเน’
มุ่งมั่นจนได้เป็นพลทหาร
การเยี่ยมญาติครั้งแรกและการพูดคุยครั้งสุดท้าย
สิ่งที่ต้องเผชิญในค่ายทหาร
สองครูฝึกจอมโหดเหี้ย
เสียงร้องสุดท้ายของน้องเน
ฝันที่ดับลงพร้อมลมหายใจ
คดีแรก พ.ร.บ.อุ้มหาย
เหยื่อดาหน้าแฉ
—————
ความฝันของ ‘น้องเน’
:
1- “น้องเน วรปรัชญ์” อายุ 18 ปี เป็นชาวอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่น้องอายุเพียง 2 ขวบ น้องอยู่กับแม่และยาย แต่พ่อก็ยังส่งเสียดูแลอย่างสม่ำเสมอ
2- แม่ของน้องเนทำงานประจำเป็นลูกจ้างบริษัท และขายขนมที่ตลาดเป็นรายได้เสริม น้องเนเป็นเด็กขยัน ช่วยงานแม่ทุกอย่าง ทั้งขายขนมและเลี้ยงน้องต่างพ่ออีก 2 คน นอกจากนี้น้องยังชอบเล่นเกม และมีรายได้เสริมจากการขายรหัสเกม
3- น้องเนเป็นเด็กเรียบร้อย พูดน้อย และรักครอบครัวมาก เวลาคุยกับแม่และยายจะแทนตัวเองว่า “หนู” บุคลิกของน้องเป็นคนเชื่องช้า ใจเย็น ทำอะไรช้า ๆ ไม่รวดเร็วว่องไวเหมือนคนอื่น
4- น้องเนมีความฝันอยากเป็นทหารเหมือนน้าชาย และหวังจะสอบเข้าเป็นนายสิบ เพื่อมีรายได้มาดูแลครอบครัว ส่งน้องเรียน พ่อแม่ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์จากสวัสดิการทหาร
—————
มุ่งมั่นจนได้เป็นพลทหาร
:
5- พฤศจิกายน 2566 น้องเนสมัครเป็นทหารเกณฑ์รอบแรก แต่ไม่ผ่านเนื่องจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกินเกณฑ์ โดยน้องสูง 179 ซม. หนัก 117 กก.
6- หลังจากนั้นน้องเนตั้งใจลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ทั้งวิ่งและซ้อมมวย จนน้ำหนักลดลง 10 กก. และในที่สุด เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 น้องเนก็ได้เป็นทหารเกณฑ์ที่ค่ายนวมินทร์ จังหวัดชลบุรี สมความตั้งใจ
7- เพื่อให้การฝึกเหมาะสมกับสุขภาพของแต่ละคน จึงมีการคัดกรองความเสี่ยงของทหารใหม่ โดยน้องเนถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงสุด (คนที่น้ำหนักเกิน, มีโรคประจำตัว, มีอาการบาดเจ็บ หรือไม่แข็งแรง) และต้องสวมสายรัดข้อมือสีแดงเพื่อให้ครูฝึกเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ทว่า…ครูฝึกกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม!
—————
การเยี่ยมญาติครั้งแรกและการพูดคุยครั้งสุดท้าย
:
8- วันที่ 26 พฤษภาคม 2567 ค่ายเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมทหารใหม่เป็นครั้งแรก แม่กับยายจึงพาน้อง ๆ ไปเยี่ยมน้องเน
9- พบว่าในเวลาไม่ถึงเดือน น้องเนน้ำหนักลดไปอีก 10 กก. น้องมีสีหน้าเศร้าหมอง ตาโรยเหมือนอดนอน มีรอยเขียวช้ำบริเวณโหนกแก้มและจมูก เมื่อแม่ถามว่าไปโดนอะไรมา น้องตอบเพียงว่า “ยังไหว”
10- ก่อนจากกันน้องเนกอดยายร้องไห้และพูดว่า “อย่าทิ้งหนูนะ ต้องมาเยี่ยมหนูนะ” ยายรับปากว่าไม่ทิ้งแน่นอน และสัญญาว่าจะพาไปกินหมูกระทะหลังฝึกเสร็จ
11- วันที่ 2 มิถุนายน 2567 น้องเนโทรหาแม่กับยาย แต่คุยกันได้ไม่ถึง 5 นาที ครูฝึกก็สั่งเก็บโทรศัพท์ และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวได้ยินเสียงของน้องเน
—————
สิ่งที่ต้องเผชิญในค่ายทหาร
:
12- แม่กับยายไม่รู้เลยว่า ภายในค่ายทหารแห่งนี้น้องเนต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เพราะน้องไม่เคยปริปากบอก
13- ด้วยความที่น้องเนมีรูปร่างท้วม เคลื่อนไหวช้า ทำอะไรไม่ทันคนอื่น อีกทั้งเพิ่งลดน้ำหนักมาจึงเหนื่อยง่าย ทำให้ครูฝึกไม่พอใจและสั่งซ่อมธำรงวินัยอย่างโหดร้าย เช่น
เตะต่อยตบตี, ใช้ไม้หรือเหล็กฟาด, กระโดดถีบจนล้มทั้งยืน
ให้ยืนเวรต่อเนื่อง 24 ชม. แล้วฝึกต่อทันที ไม่ให้นอน
คืนหนึ่งน้องเนฉี่ใส่ขวดน้ำ ไม่ได้ลงมาฉี่ในห้องน้ำข้างล่าง ครูฝึกลงโทษด้วยการให้กินฉี่ตัวเองในขวด 4.5 ลิตร
ขณะฝึกน้องเนหิวน้ำจึงเดินออกมานอกแถว ครูฝึกทำโทษด้วยการรุมตี แล้วเอาน้ำขนาดถังลิตรกรอกปากจนหมดถัง
ขณะฝึกทหารในเวลากลางคืน ครูฝึกสั่งให้ปิดไฟสปอตไลท์ แล้วพาน้องเนเข้าไปในป่า ใส่กุญแจข้อมือและรุมกระทืบ เพื่อนทหารได้ยินเสียงน้องขอร้องให้หยุดทำ
น้องเนซึ่งบอบช้ำไปหมดจนฉี่รดที่นอน ครูฝึกกลับสั่งซ่อมวินัยด้วยการทุบตีน้องหลายวันติดต่อกัน
—————
สองครูฝึกจอมโหดเหี้ย
:
14- ครูฝึกไม่เพียงทำร้ายน้องเนด้วยตนเอง แต่ยังสั่งให้ทหารเกณฑ์รุ่นพี่ที่เป็น “ผู้ช่วยครูฝึก” รุมทำร้ายด้วย
15- ครูฝึกที่ทำร้ายน้องเนเป็นประจำมีอยู่ 2 คน คือ
ครูฝึก 1 “ส.อ.หิรัญ นพเก้า” อายุ 33 ปี ชาวศรีราชา ชลบุรี เป็นครูฝึกเสนารักษ์ ซึ่งถือเป็นบุคลากรทางการแพทย์แท้ ๆ แต่กลับมาทำเช่นนี้เสียเอง
ครูฝึก 2 “ส.อ.วรัญญู เงินยวง” (หมู่ยู) เป็นชาวมหาสารคาม ครูฝึกคนนี้เป็นที่โจษขานกันมารุ่นต่อรุ่นว่าชอบใช้ความรุนแรงและควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
16- น้องเนโดนซ่อมจนหน้าตาบวมปูดไปหมด เวลาผู้พันวิ่งออกกำลังกายในค่าย ครูฝึกจะสั่งให้พลทหารช่วยกันหามน้องเนไปซ่อนไว้ไม่ให้ผู้พันเห็น
17- น้องเนเคยคิดจะร้องเรียนผู้พัน จึงให้เพื่อนถ่ายรูปหลังถูกทำร้ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ครูฝึกรู้เข้าเสียก่อน จึงทำร้ายน้องเนซ้ำอีก และยึดโทรศัพท์ไปลบภาพทิ้ง
18- น้องเนร่างกายบอบช้ำจนต้องพักรักษาตัวนาน 7 วัน ถึงจะฝึกต่อได้ วันหนึ่งน้องไม่ลงมากินข้าว ครูฝึกสั่งลงโทษด้วยการตีและกระทืบซ้ำอีก ทำให้ร่างกายที่ยังไม่หายดียิ่งบอบช้ำหนัก
19- น้องเนนอนพักเพราะบาดเจ็บ และไม่ลงมาอาบน้ำ ครูฝึกจึงสั่งซ่อมด้วยการทุบตี แล้วจับหามโยนลงไปในสระน้ำ
—————
เสียงร้องสุดท้ายของน้องเน
:
20- เมื่อโดนทำร้ายซ้ำซาก ร่างกายของน้องเนก็ทนไม่ไหว สุดท้ายจึงต้องไปนอนรักษาตัวที่ห้องพยาบาลในค่าย
21- เย็นวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ครูฝึก 1 ไปเล่นฟุตซอลแถวนั้น จู่ ๆ เขาก็เดินเข้าไปในห้องพยาบาล เตะสีข้างและกระทืบเข้าที่หน้าอกของน้องเน น้องส่งเสียงร้อง “โอ๊ย” แล้วแน่นิ่งไป และนั่นคือเสียงร้องสุดท้ายของน้องเน
22- เมื่อเห็นน้องเนสลบไป ครูฝึก 1 จึงเรียกผู้ช่วยครูฝึกคนหนึ่งให้เข้าไปทำ CPR แต่ไม่เป็นผล จึงนำตัวน้องเนส่งโรงพยาบาลในค่าย หมอปั๊มหัวใจน้องขึ้นมาได้ แต่ร่างกายไม่ตอบสนองแล้ว
—————
ฝันที่ดับลงพร้อมลมหายใจ
:
23- ตัดภาพมาที่แม่กับยายซึ่งรอคอยการติดต่อจากน้องเนมาตลอด แต่ค่ำวันที่ 22 มิถุนายน กลับได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแจ้งว่าน้องเนติดเชื้อในกระแสเลือดและชีพจรอ่อนมาก
24- เมื่อแม่ไปถึงโรงพยาบาลก็พบว่าน้องเนนอนใส่ท่อช่วยหายใจไม่ได้สติ ร่างกายบวม ศีรษะน่วม และมีอาการสาหัสดังนี้…
สมองบวม
ม้ามแตก
ปอดฉีกทั้งสองข้าง
ไหปลาร้าหัก
กระดูกสันหลังหัก
กระดูกซี่โครงที่มี 12 คู่ หักไป 11 คู่ และมีทั้งรอยเก่า-รอยใหม่
25- ในระหว่างที่น้องเนนอนไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น หนึ่งในครูฝึกพยายามหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถูกรวบตัวได้ที่นครพนม ห่างจากชายแดนเพียง 10 กม.
26- น้องเนนอนรักษาตัว 40 วัน และเสียชีวิตลงในวันที่ 2 สิงหาคม 2567 รวมระยะเวลาที่เป็นทหารเพียง 1 เดือน 20 วัน ความฝันของเด็กคนหนึ่งจบลงพร้อมลมหายใจสุดท้าย
27- ญาติของน้องเนร้องเรียนไปที่ “น้ำ นิชนันท์” อดีตผู้สมัคร สส. พรรคประชาชน คุณน้ำนำเรื่องนี้มาโพสต์ในเพจจนกลายเป็นข่าวใหญ่ ส่วนด้านคดีความได้รับความช่วยเหลือจากทนายเกิดผล แก้วเกิด
28- คดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 13 คน แบ่งเป็นครูฝึก 2 คน และผู้ช่วยครูฝึก (ทหารเกณฑ์รุ่นพี่) อีก 11 คน ระหว่างขังรวมกัน ครูฝึกทั้งสองข่มขู่ผู้ช่วยตลอด และยังห้ามใช้ทนายความข้างนอก ทำให้ทั้ง 11 คนต้องใช้ทนายคนเดียวกัน
—————
คดีแรก พ.ร.บ.อุ้มหาย
:
29- ยังจำกันได้ไหมคะว่า เมื่อปี 2566 “พ.ร.บ. อุ้มหาย” เริ่มมีผลบังคับใช้ ซึ่งกฎหมายนี้ออกมาเพื่อป้องกันและปราบปรามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐ (เช่น ทหาร ตำรวจ) บังคับข่มขู่ ทรมาน ทำร้าย หรืออุ้มประชาชน
30- คดีของน้องเนถือเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่อยู่ภายใต้การบังคับใช้ของ พ.ร.บ.อุ้มหาย และเนื่องจากกฎหมายนี้กำหนดให้การดำเนินคดีต้องอยู่ในอำนาจของ ‘ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ’ จึงไม่ต้องส่งฟ้องศาลทหาร แม้ผู้ต้องหาจะเป็นทหารก็ตาม
31- วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาดังนี้
ส.อ.หิรัญ นพเก้า (ครูฝึก 1) จำคุก 20 ปี
ส.อ.วรัญญู เงินยวง (ครูฝึก 2) จำคุก 15 ปี
ทหารเกณฑ์ซึ่งเป็นผู้ช่วยครูฝึกจำนวน 11 คน จำคุกคนละ 10 ปี
32- อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของน้องเนยังไม่พอใจการตัดสิน เพราะมองไปในอนาคตว่า เมื่อได้รับการลดหย่อนโทษและอภัยโทษตามระเบียบราชทัณฑ์แล้วก็คงติดจริงราว 5-10 ปีเท่านั้น ดังนั้นจึงจะขออุทธรณ์ต่อ
—————
เหยื่อดาหน้าแฉ
:
33- หลังศาลตัดสิน มีอดีตทหารเกณฑ์จำนวนมากส่งข้อความมาเล่าให้คุณน้ำฟังว่าเคยโดน สอ.วรัญญู (ครูฝึก 2) ทำร้ายร่างกายเช่นกัน อาทิ
ใช้ด้ามปืนตบหน้าพลทหารคนหนึ่งจนเลือดอาบล้มทั้งยืน เขาเป็นโรคซึมเศร้ามาจนถึงทุกวัน
พลทหารคนหนึ่งโดนทำโทษจนกล้ามเนื้อตาย ยกแขนไม่ขึ้น ทางค่ายจึงให้กลับไปอยู่บ้านรอวันปลดประจำการ เพื่อแลกกับการปิดข่าว
เอาน้ำแข็งใส่ลงในบ่อปลา แล้วปลุกพลทหารให้แก้ผ้าลงไปแช่น้ำตอนดึก โดยเอาผ้าปิดตา แล้วใช้โทรศัพท์สนามที่ใช้ไฟฟ้าในการสื่อสาร ช็อตตามร่างกาย เช่น ลำตัว ลิ้น อวัยวะเพศ
เอาขี้วัวยัดปาก
34- อดีตทหารเกณฑ์เล่าว่า วันสุดท้ายของการฝึกเป็น ‘วันปล่อยผีครูฝึก’ คือครูฝึกจะดื่มเหล้าจนเมาแล้วทำโทษพลทหารและหัวเราะกันสนุกสนาน อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก
35- คนที่เชื่องช้า ไม่ทันเพื่อน หรือดูมึน ๆ จะโดนหนักมาก เพราะจะถูกครูฝึกยกมาเป็นตัวชูโรงให้คนอื่นหัวเราะ และสั่งให้ผู้ช่วยรุมทำร้าย เช่นเดียวกับที่น้องเนเคยโดนกระทำนั่นเอง
—————
สรุปและเรียบเรียงจาก: คุณน้ำ นิชนันท์, ประชาไท, รายการเรื่องใหญ่รายวัน (ข่าวช่องวัน)