https://www.facebook.com/poetryofb/posts/1227501255417016
Poetry of Bitch10 hours ago
·
ชีวิตและความฝันที่ดับลงของพลทหารคนหนึ่ง
—————

ความฝันของ ‘น้องเน’

มุ่งมั่นจนได้เป็นพลทหาร

การเยี่ยมญาติครั้งแรกและการพูดคุยครั้งสุดท้าย

สิ่งที่ต้องเผชิญในค่ายทหาร

สองครูฝึกจอมโหดเหี้ย

เสียงร้องสุดท้ายของน้องเน

ฝันที่ดับลงพร้อมลมหายใจ

คดีแรก พ.ร.บ.อุ้มหาย

เหยื่อดาหน้าแฉ
—————

ความฝันของ ‘น้องเน’
:
1- “น้องเน วรปรัชญ์” อายุ 18 ปี เป็นชาวอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่น้องอายุเพียง 2 ขวบ น้องอยู่กับแม่และยาย แต่พ่อก็ยังส่งเสียดูแลอย่างสม่ำเสมอ
2- แม่ของน้องเนทำงานประจำเป็นลูกจ้างบริษัท และขายขนมที่ตลาดเป็นรายได้เสริม น้องเนเป็นเด็กขยัน ช่วยงานแม่ทุกอย่าง ทั้งขายขนมและเลี้ยงน้องต่างพ่ออีก 2 คน นอกจากนี้น้องยังชอบเล่นเกม และมีรายได้เสริมจากการขายรหัสเกม
3- น้องเนเป็นเด็กเรียบร้อย พูดน้อย และรักครอบครัวมาก เวลาคุยกับแม่และยายจะแทนตัวเองว่า “หนู” บุคลิกของน้องเป็นคนเชื่องช้า ใจเย็น ทำอะไรช้า ๆ ไม่รวดเร็วว่องไวเหมือนคนอื่น
4- น้องเนมีความฝันอยากเป็นทหารเหมือนน้าชาย และหวังจะสอบเข้าเป็นนายสิบ เพื่อมีรายได้มาดูแลครอบครัว ส่งน้องเรียน พ่อแม่ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์จากสวัสดิการทหาร
—————

มุ่งมั่นจนได้เป็นพลทหาร
:
5- พฤศจิกายน 2566 น้องเนสมัครเป็นทหารเกณฑ์รอบแรก แต่ไม่ผ่านเนื่องจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกินเกณฑ์ โดยน้องสูง 179 ซม. หนัก 117 กก.
6- หลังจากนั้นน้องเนตั้งใจลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ทั้งวิ่งและซ้อมมวย จนน้ำหนักลดลง 10 กก. และในที่สุด เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 น้องเนก็ได้เป็นทหารเกณฑ์ที่ค่ายนวมินทร์ จังหวัดชลบุรี สมความตั้งใจ
7- เพื่อให้การฝึกเหมาะสมกับสุขภาพของแต่ละคน จึงมีการคัดกรองความเสี่ยงของทหารใหม่ โดยน้องเนถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงสุด (คนที่น้ำหนักเกิน, มีโรคประจำตัว, มีอาการบาดเจ็บ หรือไม่แข็งแรง) และต้องสวมสายรัดข้อมือสีแดงเพื่อให้ครูฝึกเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ทว่า…ครูฝึกกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม!
—————

การเยี่ยมญาติครั้งแรกและการพูดคุยครั้งสุดท้าย
:
8- วันที่ 26 พฤษภาคม 2567 ค่ายเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมทหารใหม่เป็นครั้งแรก แม่กับยายจึงพาน้อง ๆ ไปเยี่ยมน้องเน
9- พบว่าในเวลาไม่ถึงเดือน น้องเนน้ำหนักลดไปอีก 10 กก. น้องมีสีหน้าเศร้าหมอง ตาโรยเหมือนอดนอน มีรอยเขียวช้ำบริเวณโหนกแก้มและจมูก เมื่อแม่ถามว่าไปโดนอะไรมา น้องตอบเพียงว่า “ยังไหว”
10- ก่อนจากกันน้องเนกอดยายร้องไห้และพูดว่า “อย่าทิ้งหนูนะ ต้องมาเยี่ยมหนูนะ” ยายรับปากว่าไม่ทิ้งแน่นอน และสัญญาว่าจะพาไปกินหมูกระทะหลังฝึกเสร็จ
11- วันที่ 2 มิถุนายน 2567 น้องเนโทรหาแม่กับยาย แต่คุยกันได้ไม่ถึง 5 นาที ครูฝึกก็สั่งเก็บโทรศัพท์ และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวได้ยินเสียงของน้องเน
—————

สิ่งที่ต้องเผชิญในค่ายทหาร
:
12- แม่กับยายไม่รู้เลยว่า ภายในค่ายทหารแห่งนี้น้องเนต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เพราะน้องไม่เคยปริปากบอก
13- ด้วยความที่น้องเนมีรูปร่างท้วม เคลื่อนไหวช้า ทำอะไรไม่ทันคนอื่น อีกทั้งเพิ่งลดน้ำหนักมาจึงเหนื่อยง่าย ทำให้ครูฝึกไม่พอใจและสั่งซ่อมธำรงวินัยอย่างโหดร้าย เช่น

เตะต่อยตบตี, ใช้ไม้หรือเหล็กฟาด, กระโดดถีบจนล้มทั้งยืน

ให้ยืนเวรต่อเนื่อง 24 ชม. แล้วฝึกต่อทันที ไม่ให้นอน

คืนหนึ่งน้องเนฉี่ใส่ขวดน้ำ ไม่ได้ลงมาฉี่ในห้องน้ำข้างล่าง ครูฝึกลงโทษด้วยการให้กินฉี่ตัวเองในขวด 4.5 ลิตร

ขณะฝึกน้องเนหิวน้ำจึงเดินออกมานอกแถว ครูฝึกทำโทษด้วยการรุมตี แล้วเอาน้ำขนาดถังลิตรกรอกปากจนหมดถัง

ขณะฝึกทหารในเวลากลางคืน ครูฝึกสั่งให้ปิดไฟสปอตไลท์ แล้วพาน้องเนเข้าไปในป่า ใส่กุญแจข้อมือและรุมกระทืบ เพื่อนทหารได้ยินเสียงน้องขอร้องให้หยุดทำ

น้องเนซึ่งบอบช้ำไปหมดจนฉี่รดที่นอน ครูฝึกกลับสั่งซ่อมวินัยด้วยการทุบตีน้องหลายวันติดต่อกัน
—————

สองครูฝึกจอมโหดเหี้ย
:
14- ครูฝึกไม่เพียงทำร้ายน้องเนด้วยตนเอง แต่ยังสั่งให้ทหารเกณฑ์รุ่นพี่ที่เป็น “ผู้ช่วยครูฝึก” รุมทำร้ายด้วย
15- ครูฝึกที่ทำร้ายน้องเนเป็นประจำมีอยู่ 2 คน คือ

ครูฝึก 1 “ส.อ.หิรัญ นพเก้า” อายุ 33 ปี ชาวศรีราชา ชลบุรี เป็นครูฝึกเสนารักษ์ ซึ่งถือเป็นบุคลากรทางการแพทย์แท้ ๆ แต่กลับมาทำเช่นนี้เสียเอง

ครูฝึก 2 “ส.อ.วรัญญู เงินยวง” (หมู่ยู) เป็นชาวมหาสารคาม ครูฝึกคนนี้เป็นที่โจษขานกันมารุ่นต่อรุ่นว่าชอบใช้ความรุนแรงและควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
16- น้องเนโดนซ่อมจนหน้าตาบวมปูดไปหมด เวลาผู้พันวิ่งออกกำลังกายในค่าย ครูฝึกจะสั่งให้พลทหารช่วยกันหามน้องเนไปซ่อนไว้ไม่ให้ผู้พันเห็น
17- น้องเนเคยคิดจะร้องเรียนผู้พัน จึงให้เพื่อนถ่ายรูปหลังถูกทำร้ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ครูฝึกรู้เข้าเสียก่อน จึงทำร้ายน้องเนซ้ำอีก และยึดโทรศัพท์ไปลบภาพทิ้ง
18- น้องเนร่างกายบอบช้ำจนต้องพักรักษาตัวนาน 7 วัน ถึงจะฝึกต่อได้ วันหนึ่งน้องไม่ลงมากินข้าว ครูฝึกสั่งลงโทษด้วยการตีและกระทืบซ้ำอีก ทำให้ร่างกายที่ยังไม่หายดียิ่งบอบช้ำหนัก
19- น้องเนนอนพักเพราะบาดเจ็บ และไม่ลงมาอาบน้ำ ครูฝึกจึงสั่งซ่อมด้วยการทุบตี แล้วจับหามโยนลงไปในสระน้ำ
—————

เสียงร้องสุดท้ายของน้องเน
:
20- เมื่อโดนทำร้ายซ้ำซาก ร่างกายของน้องเนก็ทนไม่ไหว สุดท้ายจึงต้องไปนอนรักษาตัวที่ห้องพยาบาลในค่าย
21- เย็นวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ครูฝึก 1 ไปเล่นฟุตซอลแถวนั้น จู่ ๆ เขาก็เดินเข้าไปในห้องพยาบาล เตะสีข้างและกระทืบเข้าที่หน้าอกของน้องเน น้องส่งเสียงร้อง “โอ๊ย” แล้วแน่นิ่งไป และนั่นคือเสียงร้องสุดท้ายของน้องเน
22- เมื่อเห็นน้องเนสลบไป ครูฝึก 1 จึงเรียกผู้ช่วยครูฝึกคนหนึ่งให้เข้าไปทำ CPR แต่ไม่เป็นผล จึงนำตัวน้องเนส่งโรงพยาบาลในค่าย หมอปั๊มหัวใจน้องขึ้นมาได้ แต่ร่างกายไม่ตอบสนองแล้ว
—————

ฝันที่ดับลงพร้อมลมหายใจ
:
23- ตัดภาพมาที่แม่กับยายซึ่งรอคอยการติดต่อจากน้องเนมาตลอด แต่ค่ำวันที่ 22 มิถุนายน กลับได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแจ้งว่าน้องเนติดเชื้อในกระแสเลือดและชีพจรอ่อนมาก
24- เมื่อแม่ไปถึงโรงพยาบาลก็พบว่าน้องเนนอนใส่ท่อช่วยหายใจไม่ได้สติ ร่างกายบวม ศีรษะน่วม และมีอาการสาหัสดังนี้…

สมองบวม

ม้ามแตก

ปอดฉีกทั้งสองข้าง

ไหปลาร้าหัก

กระดูกสันหลังหัก

กระดูกซี่โครงที่มี 12 คู่ หักไป 11 คู่ และมีทั้งรอยเก่า-รอยใหม่
25- ในระหว่างที่น้องเนนอนไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น หนึ่งในครูฝึกพยายามหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถูกรวบตัวได้ที่นครพนม ห่างจากชายแดนเพียง 10 กม.
26- น้องเนนอนรักษาตัว 40 วัน และเสียชีวิตลงในวันที่ 2 สิงหาคม 2567 รวมระยะเวลาที่เป็นทหารเพียง 1 เดือน 20 วัน ความฝันของเด็กคนหนึ่งจบลงพร้อมลมหายใจสุดท้าย
27- ญาติของน้องเนร้องเรียนไปที่ “น้ำ นิชนันท์” อดีตผู้สมัคร สส. พรรคประชาชน คุณน้ำนำเรื่องนี้มาโพสต์ในเพจจนกลายเป็นข่าวใหญ่ ส่วนด้านคดีความได้รับความช่วยเหลือจากทนายเกิดผล แก้วเกิด
28- คดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 13 คน แบ่งเป็นครูฝึก 2 คน และผู้ช่วยครูฝึก (ทหารเกณฑ์รุ่นพี่) อีก 11 คน ระหว่างขังรวมกัน ครูฝึกทั้งสองข่มขู่ผู้ช่วยตลอด และยังห้ามใช้ทนายความข้างนอก ทำให้ทั้ง 11 คนต้องใช้ทนายคนเดียวกัน
—————

คดีแรก พ.ร.บ.อุ้มหาย
:
29- ยังจำกันได้ไหมคะว่า เมื่อปี 2566 “พ.ร.บ. อุ้มหาย” เริ่มมีผลบังคับใช้ ซึ่งกฎหมายนี้ออกมาเพื่อป้องกันและปราบปรามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐ (เช่น ทหาร ตำรวจ) บังคับข่มขู่ ทรมาน ทำร้าย หรืออุ้มประชาชน
30- คดีของน้องเนถือเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่อยู่ภายใต้การบังคับใช้ของ พ.ร.บ.อุ้มหาย และเนื่องจากกฎหมายนี้กำหนดให้การดำเนินคดีต้องอยู่ในอำนาจของ ‘ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ’ จึงไม่ต้องส่งฟ้องศาลทหาร แม้ผู้ต้องหาจะเป็นทหารก็ตาม
31- วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาดังนี้

ส.อ.หิรัญ นพเก้า (ครูฝึก 1) จำคุก 20 ปี

ส.อ.วรัญญู เงินยวง (ครูฝึก 2) จำคุก 15 ปี

ทหารเกณฑ์ซึ่งเป็นผู้ช่วยครูฝึกจำนวน 11 คน จำคุกคนละ 10 ปี
32- อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของน้องเนยังไม่พอใจการตัดสิน เพราะมองไปในอนาคตว่า เมื่อได้รับการลดหย่อนโทษและอภัยโทษตามระเบียบราชทัณฑ์แล้วก็คงติดจริงราว 5-10 ปีเท่านั้น ดังนั้นจึงจะขออุทธรณ์ต่อ
—————

เหยื่อดาหน้าแฉ
:
33- หลังศาลตัดสิน มีอดีตทหารเกณฑ์จำนวนมากส่งข้อความมาเล่าให้คุณน้ำฟังว่าเคยโดน สอ.วรัญญู (ครูฝึก 2) ทำร้ายร่างกายเช่นกัน อาทิ

ใช้ด้ามปืนตบหน้าพลทหารคนหนึ่งจนเลือดอาบล้มทั้งยืน เขาเป็นโรคซึมเศร้ามาจนถึงทุกวัน

พลทหารคนหนึ่งโดนทำโทษจนกล้ามเนื้อตาย ยกแขนไม่ขึ้น ทางค่ายจึงให้กลับไปอยู่บ้านรอวันปลดประจำการ เพื่อแลกกับการปิดข่าว

เอาน้ำแข็งใส่ลงในบ่อปลา แล้วปลุกพลทหารให้แก้ผ้าลงไปแช่น้ำตอนดึก โดยเอาผ้าปิดตา แล้วใช้โทรศัพท์สนามที่ใช้ไฟฟ้าในการสื่อสาร ช็อตตามร่างกาย เช่น ลำตัว ลิ้น อวัยวะเพศ

เอาขี้วัวยัดปาก
34- อดีตทหารเกณฑ์เล่าว่า วันสุดท้ายของการฝึกเป็น ‘วันปล่อยผีครูฝึก’ คือครูฝึกจะดื่มเหล้าจนเมาแล้วทำโทษพลทหารและหัวเราะกันสนุกสนาน อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก
35- คนที่เชื่องช้า ไม่ทันเพื่อน หรือดูมึน ๆ จะโดนหนักมาก เพราะจะถูกครูฝึกยกมาเป็นตัวชูโรงให้คนอื่นหัวเราะ และสั่งให้ผู้ช่วยรุมทำร้าย เช่นเดียวกับที่น้องเนเคยโดนกระทำนั่นเอง
—————

สรุปและเรียบเรียงจาก: คุณน้ำ นิชนันท์, ประชาไท, รายการเรื่องใหญ่รายวัน (ข่าวช่องวัน)