วันเสาร์, พฤษภาคม 31, 2568

“เรายังยืนรอพวกเขาอยู่ด้านหน้า”: ‘กลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน’ กับภารกิจยืนหยุดขังเพื่อผู้ต้องขังทางการเมือง

30/05/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

นับตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. 2568 เป็นต้นมา เวลาได้ผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้ว ที่กลุ่มประชาชนที่เรียกตัวเองว่า ‘เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน’ ออกมาทำกิจกรรมยืนหยุดขัง พร้อมส่งกำลังใจให้กับผู้ต้องขังทางการเมืองที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันจันทร์ถึงเสาร์ ในช่วงเวลา 17.00-20.00 น. หลังจากเคยยืนหยุดขังที่หน้าศาลอาญามาก่อนหน้านี้

ความมุ่งมั่นครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่หลายคนอาจมองว่ากระแสเรียกร้องทางการเมืองค่อนข้างซาลง แต่เบื้องหลังความเงียบสงบนั้น ตัวเลขอย่างน้อย 48 รายชื่อของผู้ต้องขังทางการเมืองในปัจจุบัน และแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังคงสะท้อนถึงปัญหาการไร้อิสรภาพทางความคิดที่ยังคงอยู่ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งเพื่อนยืนหยัดในภารกิจนี้อย่างต่อเนื่อง



“แม่อัญ” ตัวแทนกลุ่มเปิดใจว่า “เพราะเห็นความไม่ยุติธรรม และมันยังเกิดขึ้นอยู่ซ้ำ ๆ มันไม่มีเหตุผลในการจับคนไปขังเพราะคำพูดหรือการกระทำที่แสดงออกทางการเมือง เขามีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือมีสิทธิที่จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้”

เธอเน้นว่าการออกมาทำกิจกรรมครั้งนี้ ต้องการให้สังคมรู้เรื่องความไม่ยุติธรรมของประเทศ ก่อนจะกล่าวย้ำถึงกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ที่ทำให้มีคนถูกคุมขังในตอนนี้อย่างน้อย 31 คน “มาตรา 112 ยังเป็นปัญหาที่ใครจะแจ้งจับใครก็ได้ มันโดนกลั่นแกล้งมากเกินไป อยากให้ยกเลิก 112”

“รำพึง” หรือ “ป้ากุ้ง” ที่เดินทางมาย่านลาดพร้าว เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการยืนหยุดขังว่า “เริ่มมาตั้งแต่สมัยปี 2563 ตั้งแต่ผู้นำกิจกรรมกลุ่มราษฎรถูกจับ แล้วพวกเราก็ไปยืนหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อาเล็ก, ขุนแผน และประชาชนอีกจำนวนหนึ่งเริ่มช่วยกันทำ เริ่มจากกีต้าร์และลำโพง เครื่องเสียงเล็ก ๆ ก่อนจะมีคนมาเรื่อย ๆ”

ป้ากุ้งซึ่งเคยถูกดำเนินคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากเหตุชุมนุมทางการเมือง ในช่วงปี 2564 อธิบายเหตุผลที่มายืนหน้าเรือนจำว่า “เพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมืองบางคนที่ถูกนำตัวไปออกศาล หลังจากกลับมาเรือนจำเขาจะได้เห็นเรา และเห็นว่าพวกเราไม่ทิ้งเขาให้โดดเดี่ยวเดียวดาย”

ป้ากุ้งสะท้อนถึงกลุ่มว่า แม้จะมีกันไม่กี่คน แต่ยังเป็นห่วง ยังรอวันที่ผู้ต้องขังได้รับอิสรภาพ เพราะพวกเขาไม่ใช่อาชญากรรม เป็นผู้ถูกดำเนินคดีทางความคิด

“พวกเราก็มีสิ่งที่ทำได้เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ถึงพวกเขาไม่เห็นเรา แต่พวกพ้องที่เห็นเขาก็จะเข้าไปบอกกันเองในเรือนจำ อย่างเก็ทก็รู้แล้วว่าพวกเราอยู่ตรงนี้ เขาก็ให้กำลังใจพวกเรา เราอยากให้รับรู้ว่าพวกเราอยู่ตรงนี้”

เธอกล่าวถึง “ขุนแผน” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ขณะนี้ถูกย้ายสถานที่คุมขังไปเรือนจำกลางบางขวาง “เวลาเราจะนึกถึงขุนแผนจะนึกถึงเพลง ‘ตายร้อยเกิดล้าน’ ที่เขาชอบ ตอนทำกิจกรรมขุนแผนมักจะร้องตอนปิดรายการ พอเขาไม่อยู่เราก็ใจหายและเป็นห่วง”

ป้ากุ้งแสดงความเห็นว่า “กฎหมาย 112 ไม่น่ามาใช้อย่างฟุ่มเฟือย มันควรรู้จริงเห็นแจ้ง ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ไปแจ้ง ทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ บางทีเรารู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่นักโทษ แต่เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหา”



“ลุงสมชาย” อายุ 69 ปี หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมกล่าวว่า “อยากให้สังคมรับรู้ว่าผู้ต้องขังไม่ได้รับความเป็นธรรมเกี่ยวกับมาตรา 112 เขาประกันตัวไม่ได้ แล้วเด็ก ๆ เขาไม่ได้ไปปล้นใครที่ไหน”

ส่วนตัวเขาเดินทางจากย่านฝั่งธนบุรีมาร่วมกิจกรรมตลอด ตั้งแต่วันจันทร์-วันเสาร์ โดยให้เหตุผลว่า “ให้เขารู้และกดดันว่าบ้านเราต้องการเสรีประชาธิปไตย ต้องการให้เท่าเทียม โดยเฉพาะสิทธิการประกันตัว เรามายืนเพื่อบอกว่าสักวันเราต้องจากไป แต่ให้เด็กรุ่นหลังเขารู้ว่าบ้านเมืองเราเป็นยังไง”

“สุดใจ” อดีตผู้ต้องขังทางการเมือง คดีครอบครองระเบิดปิงปอง ในช่วงเวลาการชุมนุมเมื่อปี 2564 ที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2567 เล่าประสบการณ์ว่า “ที่ออกมาอีกครั้งคืออยากให้ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมืองให้หมด จะได้จบ ยังเป็นห่วงเพื่อนที่อยู่ในนั้น โดยเฉพาะคนที่ได้รับโทษสูง ๆ”

ส่วนตัวเขาถูกคุมขัง 1 ปีกว่า ๆ โดยเล่าถึงสภาพในเรือนจำว่า ปัญหาหลัก ๆ คือคุณภาพชีวิต การอยู่ การกิน ที่นอน และน้ำท่า และกังวลเรื่องการย้ายเรือนจำ โดยเฉพาะคนที่ถูกย้ายไปเรือนจำกลางบางขวางที่คนไม่ใช่ญาติจะเข้าเยี่ยมไม่ได้ แม้แต่ทนายยังมีอุปสรรค

เมื่อมองย้อนกลับไปสุดใจกล่าวว่า “คนในเรือนจำต่าง รู้สึกดีที่มีคนมาเยี่ยม มาให้กำลังใจ เราก็เจอชะตากรรมแบบเดียวกับพวกเขา เราเข้าใจว่าพวกเขาไม่อยากถูกทิ้ง”

ทางกลุุ่มต่างแสดงความห่วงใยต่อผู้ต้องขังที่ได้รับโทษสูง พวกเขาต่างมีครอบครัว และบางคนยังเรียนหนังสืออยู่ การที่เขาไปอยู่ในนั้นมันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจ โดยเฉพาะ “อานนท์ นำภา” หรือ “บัสบาส” ซึ่งพวกเขาวางแผนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจบัสบาส โดยไปเพื่อ “เยี่ยมให้ใกล้ที่สุด” ที่หน้าเรือนจำกลางเชียงราย ในวันที่ 17-18 มิ.ย. 2568
 


แม่อัญเล่าถึงการเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพว่า “ทุกที เราจะมีการเยี่ยมใหญ่ทุกเดือน และพวกเขาก็มีความสุขที่ได้เจอพวกเรา หน้าตาเขาจะผ่องใสที่ได้เจอพวกเรา พอขุนแผนย้ายไปบางขวางก็ไม่สามารถเยี่ยมได้อีกแล้ว”

เธอกล่าวปิดท้ายว่า “พวกเราไม่ใช่คนเก่ง และไม่ได้มีตังค์ด้วย แต่เรายังยืนรอพวกเขาอยู่ด้านหน้า ด้วยความเป็นห่วง พวกเราไม่ทอดทิ้งแน่นอน”

ส่วนป้ากุ้งส่งกำลังใจถึงผู้ต้องขังทางการเมืองว่า “อดทน สู้ ๆ พวกเราเป็นกำลังใจให้ ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุกคน สักวันจะต้องได้ออกมา ทางนี้จะทำกิจกรรมไปจนกว่าเท่าที่ทำได้”

สำหรับกลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน ดำเนินกิจกรรมด้วยทุนส่วนตัว ส่วนใหญ่ทุนรอนในการเดินทางมาจากการออกค่าใช้จ่ายเอง มีบางส่วนที่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อน ๆ ร่วมอุดมการณ์บ้าง เช่น ค่าน้ำ ค่าอาหาร และไม่มีกำหนดว่าจะทำกิจกรรมยืนให้กำลังใจผู้ต้องขังทางการเมืองไปนานแค่ไหน แต่พร้อมทำไปจนกว่าผู้ต้องขังการเมืองทั้งหมดจะได้รับอิสรภาพ
.
ดู รายชื่อผู้ต้องขังทางการเมือง 2568

https://tlhr2014.com/archives/75740