
ข้อคิดเห็นบางประการ กรณีศาลยกคำร้องถอดโซ่ตรวนทนายอานนท์ นำภา
29 กรกฎาคม 2568
ประชาไท
ศราวุฒิ ประทุมราช
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ศาลอาญาได้นัดไต่สวนคำร้องของนายธงชัย วินิจจะกูล ที่ขอให้ไต่สวนเพื่อยุติการใส่กุญแจเท้าและโซ่ต่อนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน คำร้องระบุว่าการใส่โซ่ตรวนและกุญแจข้อเท้าถือเป็นการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ตามมาตรา 6 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยศาลได้ยกคำร้องและให้เหตุผลว่า แม้จะเห็นว่า(การใส่โซ่ข้อเท้าหรือตรวน)กระทบต่อจิตใจทั้งทนายความอานนท์และครอบครัว แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีอำนาจตาม ม.21 พ.ร.บ.ราชทัณฑ์และไม่ได้เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีมนุษย์ คำร้องนี้คำร้องเพื่อให้ศาลไต่สวนฝ่ายเดียวตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (ต่อไปจะเรียกว่า พ.ร.บ.ห้ามทรมานฯ) มีที่มาจากการที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 และต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2555 ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ผลจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ 2 ฉบับดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยต้องดำเนินการนำสาระสำคัญที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฯ มาจัดทำเป็นกฎหมายในรูปของพระราชบัญญัติ เพื่อให้รัฐไทยมีผลผูกพันตามอนุสัญญา
ในทางปฏิบัติรัฐที่เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศจะยอมรับหรือไม่ยอมรับให้กฎหมายระหว่างประเทศนำมาบังคับใช้ในประเทศทันทีหรือไม่ มีทฤษฎีหรือแนวคิด 2 ระบบที่เกี่ยวข้อง คือ แนวคิดตามทฤษฎีเอกนิยม (monism) และแนวคิดตามทฤษฎีทวินิยม (dualism)
แนวคิดตามทฤษฎีเอกนิยมเห็นว่ากฎหมายทั้งสองระบบไม่มีความแตกต่างกันเพราะต่างก็มีเจตนารมณ์เดียวกัน จึงถือเป็นกฎหมายที่อยู่ในระบบเดียวกันโดยที่กฎหมายระหว่างประเทศ มีศักดิ์แห่งกฎหมายสูงกว่ากฎหมายภายในประเทศ ดังนั้นภายใต้แนวคิดนี้กฎหมายระหว่างประเทศจึงสามารถมีผลใช้บังคับภายในประเทศ (domestic legal system) โดยตรงเสมือนเป็นกฎหมายภายในได้เลยเพราะกฎหมายภายในไม่อาจขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่ถือว่ามีศักดิ์แห่งกฎหมายสูงกว่าได้ ดังนั้นภายใต้แนวคิดนี้การที่รัฐให้อำนาจทั่วไปแก่ผู้ใช้กฎหมาย ในการนำกฎหมายระหว่างประเทศมาปรับใช้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะให้กฎหมายระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้ในประเทศ
ในขณะที่แนวคิดตามทฤษฎีทวินิยมกลับเห็นว่ากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในต่างก็เป็นระบบกฎหมายคนละระบบที่แยกออกจากกัน ดังนั้นกฎหมายระหว่างประเทศจะสามารถนำมาใช้บังคับภายในประเทศได้ก็ต่อเมื่อรัฐได้พิจารณาและออกกฎหมายภายในโดยชัดแจ้งเพื่อรองรับกฎหมายระหว่างประเทศแต่ละฉบับ โดยเฉพาะเสียก่อน
แนวคิดตามทฤษฎีทวินิยมจึงเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับหลักอำนาจอธิปไตยของรัฐ (national sovereignty) เป็นหลัก (ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.จิรนิติ หะวานนท์ อมรชัย ศิริถาพร ,บทบาทของกฎหมายระหว่างประเทศต่อระบบกฎหมายภายใน การบริหารสำนวนคดีและบทบาทหน้าที่ของศาลสูง อิทธิพลภายนอกกับความเป็นอิสระของตุลาการ สงครามต่อต้านการก่อการร้ายและหลักนิติรัฐ , ดุลพาห เล่ม 2 ปีที่ 62 , สืบค้นจากเว็ปไซต์ศาลยุติธรรม https://dunlaphaha.coj.go.th/upload/2558/2/2558_2_a2.pdf)
แนวทางของรัฐไทยยอมรับทฤษฎีทวินิยม จากทฤษฎีทวินิยมดังกล่าว มีผลให้ทุกรัฐมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศและไม่อาจอ้างความไม่สอดคล้องกันของกฎหมายภายในกับพันธกรณีระหว่างประเทศเป็นข้อยกเว้นในการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวได้ มิฉะนั้นย่อมนำมาสู่ความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศ เมื่อรัฐใดยอมรับหรือเข้าเป็นภาคีกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว
ความหมายของรัฐที่มีหน้าที่ข้างต้นย่อมผูกพันรัฐบาลและรวมไปถึงฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นองค์กรภายในองค์กรหนึ่งของรัฐด้วย หากฝ่ายตุลาการ ปรับใช้กฎหมายในระบบกฎหมายภายในในทางที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงอาจเป็นการกระทำของรัฐซึ่งอาจละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศอันจะก่อให้เกิดความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศได้ (ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและ กฎหมายภายใน : ศึกษาทางปฏิบัติของตุลาการไทย ,สิรีธร ราชเดิม ,วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2561 , สืบค้นจากเว็ปไซต์ ห้องสมุดมหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ https://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2018/TU_2018_5801032714_10935_10891.pdf )
ข้อพิจารณาคำวินิจฉัยของศาล
ประการที่หนึ่ง ศาลไม่ได้ให้เหตุผลว่าการละเมิดศักดิ์ศรีของมนุษย์คืออย่างไร แต่เห็นว่าการใส่โซ่ตรวนไม่ได้เป็นการย่ำยี
ศักดิ์ศรีของมนุษย์ โดยให้เหตุผลว่า “การกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ (มาตรา 6 พ.ร.บ.ห้ามทรมานฯ)จะต้องกระทำเกินเลยไปกว่าความจำเป็นความปกติในการควบคุมตัว และมีลักษณะเป็นการจงใจลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ และ ประเด็นที่เจ้าหน้าที่อาจมิได้จัดทำบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการใช้เครื่องพันธนาการเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 21 อนุ 4 โดยศาลเห็นว่า แม้บันทึกเหตุผลจะเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญ แต่ก็ยังมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 ได้โดยในทันที เพราะการวินิจฉัยความผิดตามมาตรา 6 ยังคงต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ แต่จากการไต่สวนในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว”
พ.ร.บ.ห้ามการทรมานฯ มาตรา 6 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนถึงความหมายของการละเมิดศักดิ์ศรีมนุษย์ที่สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด ลงโทษหรือกระทำด้วยประการใด อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ หรือเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่มิใช่การกระทำความผิดตามมาตรา 5 ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ดังนั้นศาลควรวินิจฉัยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หมายถึง คุณค่าของคนที่เกี่ยวข้องและขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงฐานะตำแหน่งทางสังคม การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หมายถึง การเหยียดหยาม การลดทอน หรือการปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนไม่ใช่มนุษย์ หรือลดฐานะมนุษย์เป็นเพียงวัตถุ สิ่งของ
การที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนบุคคลนั้นเป็นสิ่งของ วัตถุ หรือสัตว์ จึงเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีตัวอย่างทั้งในทางตำราจากต่างประเทศและคำพิพากษาศาลปกครองในอดีต เช่น การลงโทษบุคคลด้วยวิธีการ เฆี่ยนตี ตัดอวัยวะ เป็นการลงโทษด้วยวิธีการที่ทารุณโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม การปล่อยให้นักโทษดํารงชีวิต กินอยู่หลับนอนในห้องขังที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยอุจาระ ปัสสาวะ เพราะส้วมเต็มและสิ่งปฏิกูลเหล่านี้เอ่อล้นมาเรี่ยราดอยู่ในห้องขัง ธุรกิจบันเทิงที่ให้ผู้หญิงเปลือยกายล่อนจ้อนเข้าไปอยู่ในห้องหรือในตู้เล็ก ๆ ที่มีช่องให้คนข้างนอกห้องส่องเข้าไปดูได้ กรณีรถไฟฟ้าที่โฆษณาสินค้าที่หน้าต่าง จนผู้โดยสารไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ จึงทำเสมือนหนึ่งผู้โดยสารเป็นพัสดุภัณฑ์ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 231/2550) หรือกรณีการสอบเพื่อเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (หญิง) โดยให้ผู้สอบผ่านต้องเข้ารับการตรวจร่างกาย ต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะให้แพทย์ทันทีเมื่อถึงคิวของตนและยืนเข้าแถวรออยู่ที่ประตูห้องตรวจ ซึ่งในขณะนั้นมีกรรมการคุมสอบและผู้รอรับการตรวจคนอื่นอยู่ด้วย จำนวน 5 - 10 คน ซึ่งศาลเห็นว่า
."เป็นวิธีการเข้าตรวจร่างกายที่ยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับผู้เข้ารับการตรวจร่างกายที่เป็นเพศหญิง เพราะก่อให้เกิดภาพที่ไม่สมควรและอาจเป็นการล่วงละเมิดต่อสิทธิส่วนตัวเกินจำเป็น"(คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1113/2561) เป็นต้น (เรียบเรียงจากเฟสบุ๊คบรรทัดฐานคดีปกครองและคดีรัฐธรรมนูญhttps://www.facebook.com/Constitution.2016)
การที่ศาลวินิจฉัยในคำร้องว่า”(การใช้โซ่คล้องเท้าและตรวน) ..จะต้องกระทำเกินเลยไปกว่าความจำเป็น ความปกติในการควบคุมตัว และมีลักษณะเป็นการจงใจลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ” น่าจะเป็นการตีความกฎหมายในลักษณะเพิ่มเติมหรือขยายความเกินกว่าข้อความที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่มีโทษทางอาญา ซึ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด
ประการที่สอง การที่ศาลวินิจฉัยว่าจากการไต่สวนในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการใช้โซ่ตรวนมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็น เพราะ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ได้ให้อำนาจหน้าที่ในการใช้เครื่องพันธนาการเมื่อคุมตัวผู้ต้องขังไปนอกเรือนจำ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนีได้ ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายบัญญัติไว้
ประเด็นนี้ศาลต้องไต่สวนถึงความจำเป็นในการใช้โซ่ตรวนเพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนีให้ชัดเจน ก่อนมีคำวินิจฉัย โดยการเรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มาให้ข้อมูลว่า ในอดีตมีสถิติผู้ต้องขังหลบหนีไปจากการควบคุมระหว่างเดินทางจากเรือนจำมาศาล มากน้อยแค่ไหน และมีมาตรการควบคุมและป้องกันการหลบหนีวิธีการอื่นอีกหรือไม่
เมื่อพิจารณากฎกระทรวงกําหนดประเภทชนิดและขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่ผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 พบว่าการใส่โซ่ตรวนเป็นมาตรการท้ายๆ ของการใช้เครื่องพันธนาการที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ ข้อ 2 ของกฎกระทรวงดังกล่าวกำหนดประเภทของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่ผู้ต้องขังมี ดังต่อไปนี้ (1) สายรัดข้อมือ (2) เสื้อพันธนาการ (3) กุญแจมือ (4) กุญแจเท้า (5) ชุดกุญแจมือและกุญแจเท้า (6) ตรวน (7) โซ่ล่าม ซึ่งเห็นได้ว่ามาตรการป้องกันการหลบหนีอาจใช้กุญแจมือ สายรัดข้อมือหรือเครื่องพันธนาการอื่นที่ไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขังก็ได้
นอกจากนี้คดีความของทนายอานนท์ ก็เป็นคดีที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกที่แตกต่างจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม อันถือได้ว่าเป็นนักโทษทางความคิดในความหมายสากล จึงมิใช่การประกอบอาชญากรรมร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคล ดังนั้นนายอานน์จึงไม่มีเหตุผลในการหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่รัฐสามารคตรวจสอบและเข้าควบคุมความเคลื่อนไหวได้ ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับเยาวชนหลายคนที่ถูกดำเนินคดีทางความคิดเช่นนายอานน์ จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวทั้งที่บ้านและสถานศึกษาหรือที่ทำงาน ตรวจสอบความเคลื่อนไหวในโซเชียบมีเดีย รวมทั้งติดตามสอบถามความเคลื่อนไหวจากบุคคลในครอบครัว ญาติสนิท เพื่อน อันเสมือนเป็นการคุกคามความเป็นส่วนตัวของบุคคล
ประการสุดท้าย การที่ศาลวินิจฉัยว่าแม้บันทึกเหตุผลจะเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญ แต่ก็ยังมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 ได้โดยในทันที เพราะการวินิจฉัยความผิดตามมาตรา 6 ยังคงต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ นั้น แม้บันทึกเหตุผลฯมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าการตีตรวนเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก็จริง เหตุผลที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการตีตรวน ย่อมนำมาประกอบการวินิจฉัยได้ว่าจำเป็นต้องตีตรวนเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือไม่ หรือมีวิธีอื่น ดังนั้นศาลควรเรียกผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดีผู้มีอำนาจสั่งให้ใช้เครื่องพันธนาการเข้ามาในคดีเพื่อไต่สวนและชี้แจงเหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการกับนายอานนท์ มิใช่เป็นการวินิจฉัยจากตัวบทกฎหมายเท่านั้น เพราะการได้ไต่สวนความจริงจากผู้ปฏิบัติ เป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่ดี ที่ศาลควรทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องในการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
ข้อสังเกตดังกล่าวจะเป็นบทพิสูจน์บทบาทของตุลาการในการปักธงความหมายแห่ง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”และความผูกพันธ์ของรัฐในการปรับใช้กฎหมายภายในให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่รัฐตามความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศรวมถึงฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นองค์กรของรัฐองค์กรหนึ่งด้วย
https://prachatai.com/journal/2025/07/113931
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ศาลอาญาได้นัดไต่สวนคำร้องของนายธงชัย วินิจจะกูล ที่ขอให้ไต่สวนเพื่อยุติการใส่กุญแจเท้าและโซ่ต่อนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน คำร้องระบุว่าการใส่โซ่ตรวนและกุญแจข้อเท้าถือเป็นการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ตามมาตรา 6 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยศาลได้ยกคำร้องและให้เหตุผลว่า แม้จะเห็นว่า(การใส่โซ่ข้อเท้าหรือตรวน)กระทบต่อจิตใจทั้งทนายความอานนท์และครอบครัว แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีอำนาจตาม ม.21 พ.ร.บ.ราชทัณฑ์และไม่ได้เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีมนุษย์ คำร้องนี้คำร้องเพื่อให้ศาลไต่สวนฝ่ายเดียวตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (ต่อไปจะเรียกว่า พ.ร.บ.ห้ามทรมานฯ) มีที่มาจากการที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 และต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2555 ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ผลจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ 2 ฉบับดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยต้องดำเนินการนำสาระสำคัญที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฯ มาจัดทำเป็นกฎหมายในรูปของพระราชบัญญัติ เพื่อให้รัฐไทยมีผลผูกพันตามอนุสัญญา
ในทางปฏิบัติรัฐที่เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศจะยอมรับหรือไม่ยอมรับให้กฎหมายระหว่างประเทศนำมาบังคับใช้ในประเทศทันทีหรือไม่ มีทฤษฎีหรือแนวคิด 2 ระบบที่เกี่ยวข้อง คือ แนวคิดตามทฤษฎีเอกนิยม (monism) และแนวคิดตามทฤษฎีทวินิยม (dualism)
แนวคิดตามทฤษฎีเอกนิยมเห็นว่ากฎหมายทั้งสองระบบไม่มีความแตกต่างกันเพราะต่างก็มีเจตนารมณ์เดียวกัน จึงถือเป็นกฎหมายที่อยู่ในระบบเดียวกันโดยที่กฎหมายระหว่างประเทศ มีศักดิ์แห่งกฎหมายสูงกว่ากฎหมายภายในประเทศ ดังนั้นภายใต้แนวคิดนี้กฎหมายระหว่างประเทศจึงสามารถมีผลใช้บังคับภายในประเทศ (domestic legal system) โดยตรงเสมือนเป็นกฎหมายภายในได้เลยเพราะกฎหมายภายในไม่อาจขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่ถือว่ามีศักดิ์แห่งกฎหมายสูงกว่าได้ ดังนั้นภายใต้แนวคิดนี้การที่รัฐให้อำนาจทั่วไปแก่ผู้ใช้กฎหมาย ในการนำกฎหมายระหว่างประเทศมาปรับใช้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะให้กฎหมายระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้ในประเทศ
ในขณะที่แนวคิดตามทฤษฎีทวินิยมกลับเห็นว่ากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในต่างก็เป็นระบบกฎหมายคนละระบบที่แยกออกจากกัน ดังนั้นกฎหมายระหว่างประเทศจะสามารถนำมาใช้บังคับภายในประเทศได้ก็ต่อเมื่อรัฐได้พิจารณาและออกกฎหมายภายในโดยชัดแจ้งเพื่อรองรับกฎหมายระหว่างประเทศแต่ละฉบับ โดยเฉพาะเสียก่อน
แนวคิดตามทฤษฎีทวินิยมจึงเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับหลักอำนาจอธิปไตยของรัฐ (national sovereignty) เป็นหลัก (ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.จิรนิติ หะวานนท์ อมรชัย ศิริถาพร ,บทบาทของกฎหมายระหว่างประเทศต่อระบบกฎหมายภายใน การบริหารสำนวนคดีและบทบาทหน้าที่ของศาลสูง อิทธิพลภายนอกกับความเป็นอิสระของตุลาการ สงครามต่อต้านการก่อการร้ายและหลักนิติรัฐ , ดุลพาห เล่ม 2 ปีที่ 62 , สืบค้นจากเว็ปไซต์ศาลยุติธรรม https://dunlaphaha.coj.go.th/upload/2558/2/2558_2_a2.pdf)
แนวทางของรัฐไทยยอมรับทฤษฎีทวินิยม จากทฤษฎีทวินิยมดังกล่าว มีผลให้ทุกรัฐมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศและไม่อาจอ้างความไม่สอดคล้องกันของกฎหมายภายในกับพันธกรณีระหว่างประเทศเป็นข้อยกเว้นในการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวได้ มิฉะนั้นย่อมนำมาสู่ความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศ เมื่อรัฐใดยอมรับหรือเข้าเป็นภาคีกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว
ความหมายของรัฐที่มีหน้าที่ข้างต้นย่อมผูกพันรัฐบาลและรวมไปถึงฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นองค์กรภายในองค์กรหนึ่งของรัฐด้วย หากฝ่ายตุลาการ ปรับใช้กฎหมายในระบบกฎหมายภายในในทางที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงอาจเป็นการกระทำของรัฐซึ่งอาจละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศอันจะก่อให้เกิดความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศได้ (ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและ กฎหมายภายใน : ศึกษาทางปฏิบัติของตุลาการไทย ,สิรีธร ราชเดิม ,วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2561 , สืบค้นจากเว็ปไซต์ ห้องสมุดมหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ https://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2018/TU_2018_5801032714_10935_10891.pdf )
ข้อพิจารณาคำวินิจฉัยของศาล
ประการที่หนึ่ง ศาลไม่ได้ให้เหตุผลว่าการละเมิดศักดิ์ศรีของมนุษย์คืออย่างไร แต่เห็นว่าการใส่โซ่ตรวนไม่ได้เป็นการย่ำยี
ศักดิ์ศรีของมนุษย์ โดยให้เหตุผลว่า “การกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ (มาตรา 6 พ.ร.บ.ห้ามทรมานฯ)จะต้องกระทำเกินเลยไปกว่าความจำเป็นความปกติในการควบคุมตัว และมีลักษณะเป็นการจงใจลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ และ ประเด็นที่เจ้าหน้าที่อาจมิได้จัดทำบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการใช้เครื่องพันธนาการเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 21 อนุ 4 โดยศาลเห็นว่า แม้บันทึกเหตุผลจะเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญ แต่ก็ยังมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 ได้โดยในทันที เพราะการวินิจฉัยความผิดตามมาตรา 6 ยังคงต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ แต่จากการไต่สวนในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว”
พ.ร.บ.ห้ามการทรมานฯ มาตรา 6 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนถึงความหมายของการละเมิดศักดิ์ศรีมนุษย์ที่สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด ลงโทษหรือกระทำด้วยประการใด อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ หรือเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่มิใช่การกระทำความผิดตามมาตรา 5 ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ดังนั้นศาลควรวินิจฉัยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หมายถึง คุณค่าของคนที่เกี่ยวข้องและขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงฐานะตำแหน่งทางสังคม การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หมายถึง การเหยียดหยาม การลดทอน หรือการปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนไม่ใช่มนุษย์ หรือลดฐานะมนุษย์เป็นเพียงวัตถุ สิ่งของ
การที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนบุคคลนั้นเป็นสิ่งของ วัตถุ หรือสัตว์ จึงเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีตัวอย่างทั้งในทางตำราจากต่างประเทศและคำพิพากษาศาลปกครองในอดีต เช่น การลงโทษบุคคลด้วยวิธีการ เฆี่ยนตี ตัดอวัยวะ เป็นการลงโทษด้วยวิธีการที่ทารุณโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม การปล่อยให้นักโทษดํารงชีวิต กินอยู่หลับนอนในห้องขังที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยอุจาระ ปัสสาวะ เพราะส้วมเต็มและสิ่งปฏิกูลเหล่านี้เอ่อล้นมาเรี่ยราดอยู่ในห้องขัง ธุรกิจบันเทิงที่ให้ผู้หญิงเปลือยกายล่อนจ้อนเข้าไปอยู่ในห้องหรือในตู้เล็ก ๆ ที่มีช่องให้คนข้างนอกห้องส่องเข้าไปดูได้ กรณีรถไฟฟ้าที่โฆษณาสินค้าที่หน้าต่าง จนผู้โดยสารไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ จึงทำเสมือนหนึ่งผู้โดยสารเป็นพัสดุภัณฑ์ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 231/2550) หรือกรณีการสอบเพื่อเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (หญิง) โดยให้ผู้สอบผ่านต้องเข้ารับการตรวจร่างกาย ต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะให้แพทย์ทันทีเมื่อถึงคิวของตนและยืนเข้าแถวรออยู่ที่ประตูห้องตรวจ ซึ่งในขณะนั้นมีกรรมการคุมสอบและผู้รอรับการตรวจคนอื่นอยู่ด้วย จำนวน 5 - 10 คน ซึ่งศาลเห็นว่า
."เป็นวิธีการเข้าตรวจร่างกายที่ยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับผู้เข้ารับการตรวจร่างกายที่เป็นเพศหญิง เพราะก่อให้เกิดภาพที่ไม่สมควรและอาจเป็นการล่วงละเมิดต่อสิทธิส่วนตัวเกินจำเป็น"(คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1113/2561) เป็นต้น (เรียบเรียงจากเฟสบุ๊คบรรทัดฐานคดีปกครองและคดีรัฐธรรมนูญhttps://www.facebook.com/Constitution.2016)
การที่ศาลวินิจฉัยในคำร้องว่า”(การใช้โซ่คล้องเท้าและตรวน) ..จะต้องกระทำเกินเลยไปกว่าความจำเป็น ความปกติในการควบคุมตัว และมีลักษณะเป็นการจงใจลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ” น่าจะเป็นการตีความกฎหมายในลักษณะเพิ่มเติมหรือขยายความเกินกว่าข้อความที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่มีโทษทางอาญา ซึ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด
ประการที่สอง การที่ศาลวินิจฉัยว่าจากการไต่สวนในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการใช้โซ่ตรวนมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็น เพราะ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ได้ให้อำนาจหน้าที่ในการใช้เครื่องพันธนาการเมื่อคุมตัวผู้ต้องขังไปนอกเรือนจำ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนีได้ ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายบัญญัติไว้
ประเด็นนี้ศาลต้องไต่สวนถึงความจำเป็นในการใช้โซ่ตรวนเพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนีให้ชัดเจน ก่อนมีคำวินิจฉัย โดยการเรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มาให้ข้อมูลว่า ในอดีตมีสถิติผู้ต้องขังหลบหนีไปจากการควบคุมระหว่างเดินทางจากเรือนจำมาศาล มากน้อยแค่ไหน และมีมาตรการควบคุมและป้องกันการหลบหนีวิธีการอื่นอีกหรือไม่
เมื่อพิจารณากฎกระทรวงกําหนดประเภทชนิดและขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่ผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 พบว่าการใส่โซ่ตรวนเป็นมาตรการท้ายๆ ของการใช้เครื่องพันธนาการที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ ข้อ 2 ของกฎกระทรวงดังกล่าวกำหนดประเภทของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่ผู้ต้องขังมี ดังต่อไปนี้ (1) สายรัดข้อมือ (2) เสื้อพันธนาการ (3) กุญแจมือ (4) กุญแจเท้า (5) ชุดกุญแจมือและกุญแจเท้า (6) ตรวน (7) โซ่ล่าม ซึ่งเห็นได้ว่ามาตรการป้องกันการหลบหนีอาจใช้กุญแจมือ สายรัดข้อมือหรือเครื่องพันธนาการอื่นที่ไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขังก็ได้
นอกจากนี้คดีความของทนายอานนท์ ก็เป็นคดีที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกที่แตกต่างจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม อันถือได้ว่าเป็นนักโทษทางความคิดในความหมายสากล จึงมิใช่การประกอบอาชญากรรมร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคล ดังนั้นนายอานน์จึงไม่มีเหตุผลในการหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่รัฐสามารคตรวจสอบและเข้าควบคุมความเคลื่อนไหวได้ ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับเยาวชนหลายคนที่ถูกดำเนินคดีทางความคิดเช่นนายอานน์ จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวทั้งที่บ้านและสถานศึกษาหรือที่ทำงาน ตรวจสอบความเคลื่อนไหวในโซเชียบมีเดีย รวมทั้งติดตามสอบถามความเคลื่อนไหวจากบุคคลในครอบครัว ญาติสนิท เพื่อน อันเสมือนเป็นการคุกคามความเป็นส่วนตัวของบุคคล
ประการสุดท้าย การที่ศาลวินิจฉัยว่าแม้บันทึกเหตุผลจะเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญ แต่ก็ยังมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 ได้โดยในทันที เพราะการวินิจฉัยความผิดตามมาตรา 6 ยังคงต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ นั้น แม้บันทึกเหตุผลฯมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าการตีตรวนเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก็จริง เหตุผลที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการตีตรวน ย่อมนำมาประกอบการวินิจฉัยได้ว่าจำเป็นต้องตีตรวนเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือไม่ หรือมีวิธีอื่น ดังนั้นศาลควรเรียกผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดีผู้มีอำนาจสั่งให้ใช้เครื่องพันธนาการเข้ามาในคดีเพื่อไต่สวนและชี้แจงเหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการกับนายอานนท์ มิใช่เป็นการวินิจฉัยจากตัวบทกฎหมายเท่านั้น เพราะการได้ไต่สวนความจริงจากผู้ปฏิบัติ เป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่ดี ที่ศาลควรทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องในการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
ข้อสังเกตดังกล่าวจะเป็นบทพิสูจน์บทบาทของตุลาการในการปักธงความหมายแห่ง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”และความผูกพันธ์ของรัฐในการปรับใช้กฎหมายภายในให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่รัฐตามความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศรวมถึงฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นองค์กรของรัฐองค์กรหนึ่งด้วย
https://prachatai.com/journal/2025/07/113931