วันศุกร์, พฤษภาคม 02, 2568

1 พฤษภาคม วันแรงงานสากล สมัชชาคนจนชวนอ่านเสียงสะท้อนของแรงงานไร้ที่ดิน


สมัชชาคนจน Assembly of the Poor
7 hours ago
·
ชวนฟังเสียงแรงงานไร้ที่ดิน : ในวันที่สิทธิยังไม่หยั่งราก
ในสภาวะที่เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แรงงานไร้ที่ดินกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย
การลดลงของราคาผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเกษตรอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นผลผลิตปริมาณมากโดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงในชีวิตของแรงงานภาคการเกษตร แรงงานในชนบท และแรงงานไร้ที่ดิน
มากไปกว่านั้นสิทธิในที่ดินของประชาชนคนธรรมดา ยังเป็นสิ่งที่ “ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปาก” ในสังคมที่โครงสร้างบางอย่าง “ศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะถูกตั้งคำถาม” เมื่อการถือครองที่ดินจำนวนมากตกอยู่ในมือของชนชั้นนำ ซึ่งไม่ใช่เพียงเป็นปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ การกดทับสิทธิ โอกาส อำนาจ และถูกบังคับให้ต้องจนของแรงงานเหล่านี้
1 พฤษภาคม วันแรงงานสากล
สมัชชาคนจนชวนอ่านเสียงสะท้อนของแรงงานไร้ที่ดิน
เลื่อนดูรูปและอ่านคำบรรยายใต้ภาพได้เลย!
แรงงานทั้งผองจงรวมตัวกัน
ด้วยความสมานฉันท์
ติดตามข่าวสารของสมัชชาคนจน
IG : assemblyofthepoor.official
FB : สมัชชาคนจน Assembly of the Poor
Tiktok : @thaipooract
twiter (x) : @AssemblyPoor
#รัฐธรรมนูญคนจน
#รัฐธรรมนูญต้องเขียนใหม่ทั้งฉบับ
#คนจนเขียนรัฐธรรมนูญ




“ สิให้หากินที่ไหน ผมไม่มีบ่อนอยู่”
ประโยคทิ้งท้ายที่ยังก้องหูของผู้เขียนจากพ่อก้วง แรงงานรับจ้างทั่วไปในลำนางรอง จ.บุรีรัมย์

พ่อก้วง อายุ 60 ปี เกิดและโตที่หมู่บ้านเก้าบาตร ต.ลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ ก่อนที่จะย้ายมาอาศัยและพักพิงอยู่กับญาติเนื่องจากไม่มีที่ทำกิน ปัจจุบันทำอาชีพรับจ้างทั่วไป ตนเล่าว่าก่อนที่จะมาประกอบอาชีพรับจ้าง ตนเคยทำอาชีพเกษตรกรมาก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่หมู่บ้านเก้าบาตรยังไม่ถูกทหารขับไล่คนในพื้นที่
อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่เปลี่ยนรัฐบาลพลเรือนเป็นรัฐบาลทหาร ทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช.นั้น ได้มีการเข้ามาคุกคาม และบีบขับให้ประชาชนต้องอพยพออกจากนอกพื้นที่ ภายใต้นโยบายแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ประชาชนไม่ได้ออกแบบ โดยอ้างว่า “ต้องการปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทรัพยากรป่าไม้” ทั้งที่อุทยานประกาศทับที่ทำกินเดิมของชาวบ้านและละเมิดสิทธิชุมชนทำให้ต้องละพื้นที่ทำกิน

ชาวเก้าบาตรบางส่วนต้องย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองเพื่อหางานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมักเป็นงานไม่มั่นคง
“ การไปทำงานในกรุงเทพก็ต้องระวังเรื่องการกิน อดมื้อกินมื้อ เพราะค่าใช้จ่ายกลัวว่าจะไม่พอ แต่ค่าแรงถ้าเทียบกับอยู่ชนบทก็ถือว่าได้เยอะกว่า เคยย้ายไปทำงานกรีดยางภาคใต้ก็ถูกเบี้ยวค่าแรง”

พ่อก้วงเราถึงประสบการณ์และความเสี่ยงของความจำเป็นที่ต้องมาเป็นแรงงานรับจ้างในเมืองอย่างกรุงเทพฯ หรือไปรับจ้างกรีดยางอยู่ภาคใต้เพราะเห็นว่ามีโอกาสทางเศรษฐกิจที่มากว่า แต่ทำอยู่เกือบสิบปี เมื่ออายุเริ่มมากขึ้นและลูกทั้งสองคนใกล้จะเรียนจบชั้นม.6 ตนก็ตัดสินใจที่จะกลับไปอาศัยพักพิงอยู่กับญาติ เป็นแรงงานชนบทในบ้านเกิดที่ลำนางรองซึ่งไม่สามารถคาดเดารายได้ที่แน่นอนได้เลยทั้งยังต้องตกอยู่สภาวะว่างงานแฝง

“ไม่มีเงินไปหาหมอ ต้องหาเงินซื้อกับข้าว ซื้อข้าวสาร ซื้อหลายอย่าง เงินหนึ่งหมื่นบาทที่รัฐแจกก็เอาไปซื้อน้ำปู น้ำปลา ส่งลูกเรียนหนังสือ”

มากไปกว่าเงินที่ได้รับจากรัฐบาลจากการที่ต้องพิสูจน์ความจน ตนก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะให้ตนไปทำมาหากินที่ไหน ในเมื่อไม่มีที่อยู่

ในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เช่น ราคาข้าว ยางพารา หรือผลไม้ตามฤดูกาล แรงงานไร้ที่ดินต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลงโดยตรง ขณะที่ต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาเมล็ดพันธุ์ ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากตกอยู่ในภาวะหนี้สินหรือจำเป็นต้องละทิ้งที่ดินทำกิน

แรงงานภาคการเกษตรที่ไม่มีที่ดินของตนเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เมื่อเกษตรกรเจ้าของที่ดินไม่สามารถจ้างแรงงานได้ตามปกติ ผลคือเกิดการว่างงานแฝงในภาคเกษตร

แม่กลม แรงงานภาคการเกษตรในลำนางรอง ประสบปัญหาการไม่มีที่ทำกินเช่นเดียวกับพ่อก้วง เล่าว่าขณะที่ราคาสินค้าทางการเกษตรราคาตกต่ำ เช่น มันสำปะหลังนั้น ในบางพื้นที่เมื่อเจ้าของไร่คำนวณค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการทำการเกษตรเทียบกับผลตอบแทนที่ได้จากการขายผลผลิตแล้วก็ปล่อยทิ้งไปให้เน่าเสียไปเลย ไม่มีการเก็บเกี่ยว เพราะไม่คุ้มค่าทำให้ตนและแรงงานหลายๆคนไม่ถูกจ้างงาน

“บางแปลงจำของคำนวณแล้ว มันบ่คุ้มค่าแรง เขาก็ทิ้มไปเลย บ่ไปเก็บเกี่ยว เฮาก็ไม่ถูกจ้าง”

แม่กลมยังเล่าอีกว่าปัจจุบันมีการใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยทำการเกษตรมากขึ้น เช่น รถเกี่ยว หรือรถปลูก ซึ่งสามารถทำงานได้มากกว่าทำให้เกษตรกรรายย่อยหันไปใช้เครื่องจักรเพื่อเร่งการผลิตเพราะต้องแข่งขันในระบบอาหารจากการผูกขาดตลาด ซึ่งส่งผลกระทบให้แรงงานไร้ที่ดินจำนวนมากตกอยู่ในการว่างงานโดยไร้หลักประกันใดๆ

ทราย หนึ่งในสมาชิกจากเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เทือกเขาบรรทัด (ครท.) ที่พี่น้องหลายคนยังประสบปัญหาการโค่นต้นยางที่หมดสภาพ อันสืบเนื่องจากการประกาศเขต “ป่า” ซ้อนทับพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน เล่าว่าตนประกอบอาชีพรับจ้างกรีดยางพารามาตลอดแต่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นแรงงานรับจ้างในคาเฟ่แห่งหนึ่งในจ.ตรังได้ 4-5 เดือน

“ถ้ารอกรีดยาง เราไม่รู้ว่าเดือนนี้ เราจะได้กรีดยางไหม วันนี้ฝนจะตกไหม จะมีความกังวลเพราะไม่พอค่าใช้จ่าย”

ทรายยังเล่าอีกว่ารายได้จากการกรีดยางขึ้นอยู่กับการขายยางพารา และการตกลงกันระหว่างลูกจ้างและเจ้าของสวนยาง เช่น ถ้าตกลงกันว่าแบ่งกันคนละครึ่ง ลูกจ้างต้องรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าปุ๋ย ค่าดูแลทั้งหมดในการดูแลสวนยาง หรือถ้าอย่างตกลงกันคนละ 60 : 40 ยกตัวอย่างหากขายยางได้หนึ่งร้อยบาท เจ้าของสวนรับไป 60 บาท ลูกจ้างรับไป 40 บาทนั้น ลูกจ้างไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายใดๆทั้งค่าน้ำ ค่าปุ๋ย ซึ่งในวิกฤตที่ราคาสวนยางตกต่ำทำให้บางทีการเป็นชาวสวนยางต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายอย่างและผลักให้ลูกจ้างตกลงที่จะรับส่วนแบ่งกับเจ้าของสวนยางคนละครึ่งเพราะหลายคนมองว่าคุ้มมากกว่า มากไปกว่านั้นเมื่อรัฐเขามาเยียวยาชาวสวนยาง คนที่มีสิทธิในการยื่นขอการสนับสนุนจากรัฐได้ คือเจ้าของสวนยางเท่านั้น

สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นแรงงานไร้ที่ดิน โดยเฉพาะแรงงานในสวนยางพาราต้องแบกรับความเสี่ยงหลายปัจจัย อย่างไรก็ดีเมื่อที่ดินไม่ตอบโจทย์และเงื่อนไขในชีวิตที่ไม่สามารถทำกินในบ้านของตัวเองได้ ตนจำเป็นต้องย้ายเข้าเมืองเพื่อแสวงหา “ทางรอด”
แต่การเข้ามาในเมือง ต้องแลกกับการไม่ได้ใช้ชีวิตกับคนในครอบครัว
ทรายก็ได้เล่าว่า

“พอมาทำงานในคาเฟ่ แม้ว่าจะเป็นลูกจ้างเขา แต่ก็ทำให้สามารถรู้ได้เลยว่าแต่ละเดือนตนจะได้รับเงินเท่าไหร่ ไม่ต้องกังวลว่าเงินจะไม่พอ แต่ก็ต้องแลกด้วยไม่ได้เจอลูก” ทรายกล่าว

นี่ไม่ใช่ปัญหาส่วนบุคคลของใครคนหนึ่ง แต่คือผลพวงจากระบบเศรษฐกิจและนโยบายรัฐที่ ไม่เคยมองเห็นคนจนเป็นเจ้าของสิทธิ

ขบวนการเกษตรกรในหลายประเทศ เช่น ขบวนการแรงงานไร้ที่ดินของบราซิล (MST) และขบวนการชาวนาสากล La Via Campesina มีหลักการว่า
ที่ดินไม่ควรเป็นสินทรัพย์ แต่ควรเป็นสิทธิในการดำรงชีวิต

พวกเขาต่อสู้เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยได้มีที่ดินทำกิน
ต่อสู้เพื่ออธิปไตยทางอาหาร
และต่อสู้เพื่อให้คนจนมีที่ยืนในโลกที่ทุนยิ่งใหญ่กว่าหยาดเหงื่อของแรงงาน

คำถามคือ…
เราจะฟังเสียงของแรงงานไร้ที่ดินได้หรือยัง?
หรือเราจะปล่อยให้เสียงเหล่านั้นจมหายไปใต้เสียงของ “มูลค่า” ของที่ดิน มากกว่า “ชีวิต” และ “หยาดเหงื่อ” ของผู้พรวนดิน ใส่ปุ๋ย

ถึงเวลาแล้วที่สิทธิของแรงงานไร้ที่ดินต้องหยั่งราก!

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid04t6EoyxyLuLidKr2qfz5YJaZFKz2hsjnS5ZeUfD3UzDiSqr96CRiU7J9QBpLWq9Fl&id=100064381883555