
บีบีซี นิวส์ รายงานจากทำเนียบขาว
1 มีนาคม 2025
โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน หวังว่าจะออกจากทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 ก.พ.) ด้วยการเจรจาที่เป็นไปในทิศทางที่ดีกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และปิดท้ายการเจรจาด้วยการลงนามข้อตกลงแร่ธาตุที่จะทำให้สหรัฐฯ มีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตของประเทศยูเครน หรือไม่ก็อาจถึงขั้นได้รับการรับประกันความมั่นคงอย่างสมบูรณ์อีกด้วย
แต่กลับกลายเป็นว่า โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ต้องเผชิญกับการตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้าสื่อทั่วโลก หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ เรียกร้องให้เขาแสดงความขอบคุณอีกครั้งต่อการสนับสนุนของสหรัฐฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีของยูเครนโต้แย้งกับข้อเสนอแนะจากพันธมิตรที่มีอำนาจมากกว่าของยูเครนที่ระบุว่า เซเลนสกีควรทำงานอย่างมุ่งมั่นในการเจรจาเพื่อตกลงหยุดยิงกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย โดยทรัมป์และแวนซ์ ต่างบอกว่าเซเลนสกีกำลัง "ไม่ให้เกียรติ" พวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เซเลนสกี ถูกแจ้งให้ออกจากทำเนียบขาวก่อนเวลาที่เขาและทรัมป์จะได้ขึ้นเวทีแถลงข่าวตามกำหนดการ
และข้อตกลงแร่ธาตุซึ่งได้รับการติดตามและได้รับคำชื่นชมจากทั้งสองฝ่ายในสัปดาห์นี้กลับไม่ได้รับการลงนาม "กลับมาเมื่อคุณพร้อมสำหรับสันติภาพ" ทรัมป์เขียนบนโซเชียลมีเดียไม่นานก่อนที่รถของเซเลนสกีจะออกจากทำเนียบขาว
มีจุดชนวนความขัดแย้งสำคัญหลายจุดในการประชุมครั้งนี้ และนี่คือ 4 จุดที่รุนแรงมากที่สุดและมีประเด็นทางการเมืองและความรู้สึกอยู่ในเบื้องหลัง
1) อารมณ์ฉุนเฉียวที่ปะทุขึ้นระหว่างเซเลนสกีกับแวนซ์
แม้ว่าจะมีการพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองและเป็นทางการนานครึ่งชั่วโมงในช่วงเริ่มต้น แต่ความตึงเครียดก็เริ่มปะทุขึ้นในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ในทำเนียบขาว เมื่อแวนซ์กล่าวว่า "เส้นทางสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองอาจน่าดึงดูดในทางการทูต"
"นั่นคือสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำอยู่" แวนซ์กล่าว
เซเลนสกีพูดแทรก โดยอ้างอิงถึงการรุกรานของรัสเซียในช่วงหลายปีก่อนการรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อสามปีก่อน รวมถึงข้อตกลงการหยุดยิงที่ล้มเหลวในปี 2019 "ไม่มีใครหยุดเขาได้" เซเลนสกีกล่าวถึงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย
"คุณกำลังพูดถึงการทูตประเภทไหน เจดี คุณหมายถึงอะไร" เขากล่าว
จากนั้นการตอบโต้ระหว่างทั้งสองคนก็ตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยแวนซ์ตอบว่า "ประเภทที่จะยุติการทำลายล้างประเทศของคุณ"
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหาเซเลนสกีว่าไม่ให้เกียรติและได้ "ฟ้องร้อง" สถานการณ์นี้ต่อหน้าสื่ออเมริกัน
การที่แวนซ์ปกป้องแนวทางของทรัมป์ในการยุติสงครามด้วยการเปิดการสื่อสารกับปูตินและผลักดันให้มีการหยุดยิงโดยเร็วเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความตึงเครียดระหว่างพวกเขากับผู้นำยูเครนทวีความรุนแรงมากขึ้น
2) 'อย่ามาบอกเราว่าเราจะรู้สึกอย่างไร'
หลังจากที่แวนซ์ท้าทายประธานาธิบดีของยูเครนเกี่ยวกับปัญหาที่เซเลนสกีมีกับกองทัพและการเกณฑ์ทหาร เซเลนสกีตอบว่า "ในช่วงสงคราม ทุกคนต่างก็มีปัญหา แม้แต่ตัวคุณ แต่คุณมีมหาสมุทรที่สวยงามและแม้คุณจะไม่รู้สึกถึงมันในตอนนี้ แต่คุณจะเห็นมันในอนาคต"
ความคิดเห็นดังกล่าวทำให้ทรัมป์หงุดหงิดและดึงทรัมป์เข้าสู่การปะทะ ที่ก่อนหน้านี้จำกัดอยู่แค่ระหว่างเซเลนสกีและรองประธานาธิบดีเท่านั้น
สิ่งนี้คือการที่ผู้นำยูเครนบอกเป็นนัยว่า ทรัมป์ล้มเหลวในการเข้าใจถึงความเสี่ยงทางศีลธรรมในการจัดการกับผู้รุกรานในสงคราม
ข้อความของเซเลนสกีเน้นย้ำถึงสิ่งที่นักวิจารณ์กล่าวว่าเป็นการคำนวณผิดพลาดขั้นพื้นฐานของทรัมป์ในการจัดการกับรัสเซีย นั่นคือการยุติการแยกตัวของรัสเซียและแสวงหาการหยุดยิงโดยเร็ว ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้ปูตินกล้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ยุโรปอ่อนแอลงและเปิดช่องให้ประเทศยูเครนถูกกลืนกิน
ทรัมป์มักจะบอกว่าสงครามเป็นความขัดแย้งแบบสองขั้วระหว่างสองประเทศโดยทั้งรัสเซียและยูเครนควรแบกรับภาระและคำกล่าวโทษของการสู้รบและสาเหตุการสู้รบ
แต่เซเลนสกีพยายามเตือนถึงผลอันเลวร้ายที่อาจตามมาจากการมีแนวคิดเช่นนี้ ซึ่งผู้นำยูเครนได้บอกกับทรัมป์โดยตรงในห้องทำงานรูปไข่ว่า ยอมประนีประนอมกับรัสเซียแล้วสงครามจะมาหาคุณเอง
สิ่งนี้กระตุ้นให้ทรัมป์ตอบโต้ครั้งที่รุนแรงที่สุด "อย่ามาบอกเราว่าเราจะรู้สึกอย่างไร คุณไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาบอกเราว่าจะรู้สึกอย่างไร" เขากล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ
"ตอนนี้คุณไม่มีไพ่ที่เหนือกว่าในมือ" เขากล่าวกับเขา "คุณเอาชีวิตของคนนับล้าน ๆ มาเป็นเดิมพัน"
การโต้ตอบครั้งนี้อาจทำให้เซเลนสกีได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ที่ต้องการเห็นเขายืนหยัดเผชิญหน้ากับทรัมป์ แต่การตอบโต้ครั้งนี้ก็อาจตัดสินยุคสมัยของสงครามและสันติภาพในยุโรปได้เช่นกัน
3) ทรัมป์สวนกลับ 'คุณไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว'
ในช่วงหนึ่งของการสนทนา เซเลนสกี กล่าวว่า "ตั้งแต่เริ่มต้นสงคราม เราอยู่ตัวคนเดียวและเราก็รู้สึกขอบคุณ"
เรื่องนี้ทำให้ทรัมป์ฉุน เนื่องจากทรัมป์เคยกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าสงครามเป็นภาระต่อผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน
"คุณไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว" ทรัมป์กล่าว "คุณไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว เรามอบเงินให้คุณ 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านทางประธานาธิบดีโง่ ๆ คนนี้" ทรัมป์อ้างถึงไบเดน
จากนั้นแวนซ์ก็ถามว่าเซเลนสกีได้ขอบคุณสหรัฐฯ ระหว่างการพูดคุยหารือหรือไม่ และกล่าวหาว่าเซเลนสกีหาเสียง "ให้ฝ่ายค้าน" คือพรรคเดโมแครตในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว
ความคิดเห็นดังกล่าวเป็นการอ้างถึงการที่เซเลนสกีไปเยี่ยมโรงงานผลิตอาวุธในเมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ชาวอเมริกันจะเดินทางไปลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา
พรรครีพับลิกันไม่พอใจกับการเยือนครั้งนี้ โดยกล่าวหาว่า เซเลนสกี เปลี่ยนการเยือนครั้งนี้ให้กลายเป็นกิจกรรมหาเสียงของพรรคการเมืองในนามของนางกมลา แฮร์ริส ในรัฐสมรภูมิ
นี่คือความขัดแย้งอันขมขื่นของการเมืองภายในที่แบ่งแยกกันของสหรัฐฯ ซึ่งหลั่งไหลเข้ามามีผลในช่วงเวลาสำคัญของอนาคตด้านความมั่นคงระดับโลก
"ได้โปรดเถอะ ถ้าคุณคิดว่าจะพูดแค่เรื่องสงครามออกมาด้วยเสียงดัง ๆ" เซเลนสกีเริ่มพูด แต่ทรัมป์กลับขัดจังหวะเขา
"เขาไม่ได้พูดเสียงดัง" ทรัมป์สวนกลับอย่างหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด "ประเทศของคุณกำลังมีปัญหาใหญ่"
"คุณไม่ได้กำลังชนะ คุณไม่ได้จะชนะเรื่องนี้" ทรัมป์กล่าว "คุณมีโอกาสดีมากที่ออกมาจาก สงครามแบบยังพอโอเค เพราะพวกเรา"
4) เซเลนสกีโต้กลับ 'แล้วต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ?'
"การทำข้อตกลงแบบนี้จะเป็นเรื่องยากมาก" ทรัมป์กล่าว "มันจะเป็นข้อตกลงที่ยากจะทำได้ เพราะต้องไปเปลี่ยนทัศนคติก่อน"
ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีตำหนิเซเลนสกี โดยดูโกรธเคืองกับสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น "ทัศนคติ" ของเซเลนสกี
"แค่พูดคำว่าขอบคุณก็พอ" แวนซ์เรียกร้องในจุดหนึ่ง
คำตอบของเซเลนสกี ซึ่งเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงของชายผู้มีอำนาจมากกว่าทั้งสองคนและโต้แย้งในมุมมองของเขา ดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของการพูดคุยในสถานการณ์ดังกล่าว
เซเลนสกีใช้เวลาสามปีในการปกป้องประเทศของเขาจากการรุกราน ขณะเดียวกันก็พยายามรักษาสังคมและสถานะการเป็นผู้นำทางการเมืองเอาไว้ ซึ่งปูตินพยายามจะทำลาย
แต่ภาพเบื้องหลังกล้องโทรทัศน์ที่บันทึกความเป็นไปในห้องนี้ ยังมีภาพอีกภาพหนึ่งที่ปรากฏในห้อง นั่นคือ ออคซานา มาร์กาโรวา เอกอัครราชทูตของยูเครนประจำกรุงวอชิงตัน ซึ่งเอามือปิดหน้าขณะที่การโต้เถียงทวีความรุนแรงขึ้น
นี่เป็นภาพที่สรุปจุดยืนทางการทูตของเซเลนสกีและความสัมพันธ์กับมหาอำนาจที่สนับสนุนเขาอย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้ ในความพยายามเพื่อที่จะขับไล่รัสเซีย
การยืนหยัดต่อต้านทรัมป์เหมือนที่เซเลนสกีทำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อาจหมายถึงการพ่ายแพ้ต่อปูตินในที่สุด
วิเคราะห์: ความขัดแย้งระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีสื่อถึงวิกฤตครั้งใหญ่ของนาโต
ความสัมพันธ์ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และโวโลดิมีร์ เซเลนสกี อยู่ในจุดที่แย่พอแล้วก่อนที่จะมีการโต้เถียงกันในห้องทำงานรูปไข่
ทรัมป์เรียกเซเลนสกีว่าเป็นเผด็จการและกล่าวหาว่ายูเครนเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม ซึ่งเป็นเรื่องโกหก
ปัจจุบันสถานะความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ และยูเครน ซึ่งอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน ดูแลประคับประคองมากำลังพังทลายลง
การปะทะกันระหว่างผู้นำต่อหน้าสาธารณะยังส่งสัญญาณถึงวิกฤตครั้งใหญ่ที่กำลังใกล้เข้ามาระหว่างประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในยุโรปและสหรัฐฯ
จะมีข้อสงสัยและคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ต่อความมั่นคงของยุโรปนอกเหนือจากประเทศยูเครน ทั้งนี้ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดคือ ประธานาธิบดีทรัมป์จะรักษาสัญญาที่แฮร์รี ทรูแมน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ไว้ในปี 1949 หรือไม่ ว่าการโจมตีต่อพันธมิตรของสหรัฐฯอย่างนาโตเป็นการโจมตีอเมริกา
ความกังวลดังกล่าวมีต้นตอมาจากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจของทรัมป์ที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีกับประธานาธิบดีของรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน
ทรัมป์ได้กดดันยูเครนอย่างหนัก ในขณะที่กำลังเสนอข้อตกลงประนีประนอมครั้งใหญ่แก่ปูติน ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยูเครนต้องยอมทำ
ความสำคัญต่อสหรัฐฯ ในเรื่องความมั่นคงของยูเครนกำลังตกต่ำลง และประเทศในยุโรปก็กำลังกังวลถึงความมั่นคงของประเทศพวกเขาเช่นกัน
การที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีปฏิเสธที่จะทำตามข้อตกลงดังกล่าว ทำให้ทรัมป์โกรธแค้นมาก
ไม่ใช่แค่ข้อตกลงด้านแร่ธาตุเท่านั้นที่ยูเครนปฏิเสธที่จะลงนาม ชาวยูเครนยังเชื่อด้วยว่าพวกเขาทนอยู่ในสงครามเพื่อความอยู่รอดของชาติ โดยปูตินจะผิดสัญญาที่จะยุติสงครามหากเขาไม่ถูกยับยั้ง นั่นเป็นเหตุผลที่เซเลนสกีขอการรับประกันความปลอดภัยจากสหรัฐฯ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การประชุมดังกล่าว เกิดการโต้เถียงกันขึ้น หลังจากที่รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ เข้ามาแทรกแซง
ตอนนี้มีความสงสัยว่าการทะเลาะกันในที่สาธารณะครั้งนี้ ตามคำพูดของผู้สังเกตการณ์ทางการทูตคนหนึ่ง อาจเป็นการวางแผนโจมตีทางการเมืองเพื่อบังคับให้เซเลนสกีทำตามคำสั่งของสหรัฐฯ หรือเพื่อเร่งให้เกิดวิกฤตการณ์ที่ทำให้พวกเขาสามารถโยนความผิดให้เซเลนสกีได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
หากทรัมป์ระงับความช่วยเหลือด้านการทหารหลังจากการพูดคุยเจรจาที่ล้มเหลว ยูเครนก็จะยังคงสู้ต่อไป แต่คำถามคือ การสู้นั้นจะมีประสิทธิภาพและสู้ได้อีกนานแค่ไหน
แรงกดดันจะเพิ่มเป็นสองเท่าต่อพันธมิตรในยุโรปเพื่อรับช่วงต่อในการช่วยเหลือยูเครน
https://www.bbc.com/thai/articles/cdjyll87kp7o