วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2567

อย่าแก้แค่ปลายเหตุ เสียงหวีดร้องของ “เหยื่อ”ริมน้ำเมย กับการเพิกเฉยของรัฐบาลไทย คำถามที่น่าคิดกว่านั้นคือ “รัฐบาลไทยไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?”


Paskorn Jumlongrach
18h ·

อย่าแก้แค่ปลายเหตุ
-----
ภาพนี้คือบรรยากาศ
ในห้องทำงานแห่งหนึ่ง
ภายในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย
ซึ่งมีเหยื่อจากหลายชาติ
ถูกบังคับให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์
เห็นข่าวคณะรัฐมนตรีไทย
พยายยามตีปี๊บว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว
ในการจับกุม-ปราบปรามขบวนการ
ตุ้มตุ๋นทางออนไลน์และอาชญากรรมข้ามชาติ
มีการรายงานตัวเลขผลงานต่างๆมากมาย
แต่ทั้งหมดเป็นเพียงปลายเหตุ
เพราะต้นตอทั้งหลาย
อยู่ที่แหล่งอาชญกรรมรอบประเทศไทย
ขณะนี้มีเหยื่อชาวต่างๆชาติมากมาย
ทั้งถูกหลอกและสมัครใจไปทำงาน
บางแหล่งมีคนไทยเข้าไปอย่างสมัครใจเช่นกัน
แต่รัฐบาลไทยไม่เคยจริงจังที่ีจะปราบปราม
ส่วนหนึ่งเพราะอมนุษย์จีนเทาเหล่านี้
เชื่อมโยงผลประโยชน์มาถึง
นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงของไทย
จึงไม่มีใครอยากลูบหน้าปะจมูก
รัฐมนตรีบางคนบอกว่าแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้
อยู่นอกแผ่นดินไทยจึงทำอะไรไม่ได้
เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น
เพราะทราบดีกันว่าทั้งลูกพี่ใหญ่ของจีนเทา
และลูกพี่ใหญ่ของกองกำลังติดอาวุธที่ดูแลพื้นที่
ต่างก็พึ่งพาแผ่นดินไทยเป็นระเบียงอาชญากรรม
ผู้นำบางส่วนนั่งกินเหล้าอยู่กับ
หัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่เป็นประจำ
แค่ผู้นำรัฐบาลหรือผู้บริหาประเทศจริงจัง
ส่งสัญญาณลงไปยังระดับปฎิบัติการ
ทำให้เกิดความชัดเจนในนโยบาย
ขบวนการต้มตุ๋นทางออนไลน์พวกนี้ก็อยู่ยากแล้ว
ที่น่าสงสารคือเหยื่อการค้ามนุษย์
ที่ถูกหลอกลวงมาจากทั่วโลก
ยังคงถูกกักขังอยู่ในแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้จำนวนมาก
พวกเขาวิงวอนให้รัฐบาลไทยช่วย
เหมือนกับที่รัฐบาลจีนส่งเครื่องบินมา อ.แม่สอด
รับคนของเขานับพันคนกลับไปได้ฉลุย
แต่กลับไม่มีเสียงตอบรัฐใดๆจากรัฐบาลไทย
หรือคำว่า "มนุษยธรรม"ข้ามแดน
ที่รัฐบาลไทยพูดถึงเป็นเพียงน้ำยาบ้วนปาก
-----
อนึ่ง ผมเขียนรายงานเรื่องเหยื่อค้ามนุษย์ริมน้ำเมย
ไปเมื่อวันก่อน ภาษาไทย https://transbordernews.in.th/home/?p=40580
ภาษาอังกฤษ (https://transbordernews.in.th/home/?p=40589)
.....

เสียงหวีดร้องของ “เหยื่อ”ริมน้ำเมย กับการเพิกเฉยของรัฐบาลไทย


ภาสกร จำลองราช
สำนักข่าวชายขอบ

“พี่ว่าหนูจะได้ออกจากที่นี่มั้ย?” คำถามที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเงียบงันทันที เพราะไม่มีใครตอบได้

กว่า 3 สัปดาห์แล้วที่หญิงสาวชาวลาวพร้อมเพื่อนร่วมชาติอีก 18 คนได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ของไทย อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ประสานความช่วยเหลือเพื่อเอาตัวพวกเธอที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์อยู่ริมแม่น้ำเมย เมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก ออกมาจากแหล่งอาชญากรรมของมาเฟียจีน



นอกจากคนลาว 19 คนแล้ว ยังมีเหยื่อจากชาติต่างๆไม่น้อยกว่า 10 ชาติ ที่ประสานขอความช่วยมายังเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ (Civil Society Network for Victim Assistance in Human Trafficking) และร้องขอไปยังรัฐบาลไทยจากเดิมที่มีตัวเลขผู้ถูกกักขัง 110 คนได้เพิ่มเป็นกว่า 300 คน โดยตัวเลขที่พุ่งพรวดเพราะสถานทูตหลายแห่งซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากพลเมืองของตัวเองที่กำลังถูกกักขังอยู่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย แต่สถานทูตไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้ จึงส่งรายชื่อให้กับเครือข่ายฯ เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้

แหล่งอาญชากรรมริมแม่น้ำเมย ในเมืองเมียวดีอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Karen Border Guard Force- BGF) และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) ฝั่งตลบข้าม อ.แม่สอด และอ.พบพระ จ.ตาก โดยตลอดลำน้ำมีแหล่งอาชญากรรมมากมาย บางแห่งเป็นจุดพักสำหรับค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา บางแห่งเป็นแหล่งยาเสพติด แต่ที่เฟื่องฟูสุดคือแหล่งต้มตุ๋นหลอกลวงทางออนไลน์



กล่าวได้ว่า แหล่งอาชญากรรมเหล่านี้อยู่ได้เพราะมีประเทศไทยเป็นระเบียงสนับสนุนกิจกรรมของพวกเขา นับตั้งแต่การหลอกลวงคนทั่วโลกไปทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ หรือสแกมเมอร์ รวมถึงการเรียกค่าไถ่ ซึ่งเกือบ 100% ใช้เส้นทางผ่านแผ่นดินไทย โดยมากนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ยกเว้นประเทศลาว จากนั้นมีรถตู้ไปรับไปส่งที่ อ.แม่สอด หรือบางส่วนนั่งเครื่องบินจากดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ มาลงที่สนามบินแม่สอด

ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงในบันทึกการให้ปากคำของเหยื่อไว้ซึ่งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ทำไว้ระหว่างการคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ ( National Referral Mechanism – NRM) ซึ่งน่าแปลกใจว่า ข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยมีการนำไปขยายผลเลย ทั้งๆที่ระบุไว้ชัดเจนว่า มีการใช้เส้นทางไหน และมีจุดพักต่างๆ ที่ใดบ้าง

พื้นที่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย ฝั่งเมียวดี อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยงทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งเหมือนไข่แดงที่ล้อมด้วยพื้นที่สนามรบระหว่างกองทัพกองทัพปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง หรือเคเอ็นแอลเอ (Karen National Liberation Army–KNLA) แห่งสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู (Karen National Union-KNU) กับกองทัพพม่า โดยมีแม่น้ำเมยและชายแดนไทยเป็นผนังพิง โดย KNU ก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้ เพราะผู้บริหารส่วนหนึ่งของ KNU ก็เข้าไปพัวพันผลประโยชน์สีดำนี้ ที่สำคัญคือกลายเป็นเรื่องเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่ เพราะไม่อยากเปิดศึกหลายด้าน


มาเฟียจีนนั่งเรือข้ามแม่น้ำเมยพรมแดนไทย-พม่า ช่องทางธรรมชาติ ได้อย่างสะดวก

เหล่ามาเฟียจีนและผู้นำกองกำลัง DKBA และ BGF ต่างใช้แผ่นดินไทยเป็นประตู gateway สู่แหล่งอาชญากรรม ดังเห็นได้จากทุกๆ เที่ยวบินที่มาลงแม่สอด มีวันรุ่นชาวจีนครึ่งค่อนลำและคนกลุ่มนี้มีรถตู้หรูหรามารับ และหายไปจากแม่สอด ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบต่างก็ทราบข้อมูลกันดี แต่เสมือนหลับตาข้างหนึ่ง เช่นเดียวกับการนำตัวเหยื่อมาลงที่สนามบินแม่สอดและปล่อยให้เหล่ามาเฟียจีนพาตัวข้ามแม่น้ำเมยออกไปตามช่องทางธรรมชาติ เป็นช่องทางผิดกฎหมายที่มี “สินบน” เป็นตัวนำ

เพียงแค่การตั้งด่านตรวจชาวต่างชาติทุกคนที่เข้าพื้นที่แม่สอด ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ทุกวันนี้แม้มีการชี้แนะไปหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการสนองตอบจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากอิทธิพลเงินของเหล่ามาเฟียจีนสามารถบดบังได้หลายระดับ

“ถ้าเขาจับได้ว่าพวกหนูติดต่อให้คนมาช่วย เขาจะเอาเราไปทรมาน เอาไปขังในคุกมืด เอาเชือกผูกแขน และตี หรือช็อตด้วยไฟฟ้า เคยมีคนพยายามหนี แต่ถูกจับได้ คนอินเดียส่งโลเคชั่นไปให้สถานทูต สุดท้ายถูกขังห้องมืดและช็อตไฟฟ้า ถูกตีอยู่ 4-5 วัน จนกว่าจะสะใจ หนูเองก็เคยถูกถูกทำร้ายทุบตีเพราะทำงานไม่ได้เป้า เขาเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าช็อตที่แขน บางคนก็ถูกช็อตที่ก้น” หญิงสาวชาวลาวอธิบายความโหดร้ายของแก๊งค้ามนุษย์ชาวจีนที่กระทำกับเหยื่อ



หญิงชาวลาวรายนี้เธอเข้ามาขายแรงงานในประเทศไทยก่อน หลังจากนั้นมีเพื่อนชวนไปทำงานอีกที่หนึ่งที่อ้างว่ามีรายได้ดีกว่า สุดท้ายเธอถูกหลอกไปยังแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย และที่นั่นมีคนลาวอีก 18 คนซึ่งถูกหลอกมาจากพื้นที่ต่างๆในประเทศลาวมาอยู่ที่นี่ แม้พวกเธอพยายามร้องเรียนไปยังสถานทูตลาวในพม่า แต่คำตอบที่ได้คือ “พื้นที่นั่น รัฐบาลพม่าก็เข้าไปไม่ได้” ทำให้พวกเธอแทบสิ้นหวัง

เช่นเดียวกับเหยื่อชาวบังคลาเทศ อินเดีย เคนยา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ที่รัฐบาลของตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ซึ่งเป็นความอ่อนแอทางการทูต เมื่อรัฐบาลเจ้าของพื้นที่คือรัฐบาลพม่า และรัฐบาลไทย ไม่ยื่นมือเข้าช่วยก็ทำอะไรไม่ได้ ยกเว้นกรณีของรัฐบาลจีน

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธุ์ 2567 รัฐบาลจีนได้ส่งเครื่องบินมารับเหยื่อชาวจีน รวมทั้งจับกุมมาเฟียจีน รวมแล้วนับพันคน จากสนามบินแม่สอดกลับสู่ประเทศจีนโดยใช้เวลาขนย้ายชาวจีนอยู่ 3 วัน ซึ่งปฎิบัติการนี้เป็นความลับ แต่มีข่าวหลุดออกมาถึงนักข่าว แต่ปฎิบัติการครั้งนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่กลายเป็นคำถามว่า เหตุใดทางการจีนจึงสามารถเข้าไปจับกุมมาเฟียจีนในเขตอิทธิพลของกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยง DKBA และ BGF ได้ แถมยังใช้สนามบินแม่สอดเป็นฐานในปฎิบัติการขนย้ายคนจีนกลับในครั้งนี้

คำถามที่น่าคิดกว่านั้นคือ “รัฐบาลไทยไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?”

วันนี้เหยื่อของแก๊งมาเฟียจีนจากนานาชาติยังถูกกักขังและทรมานอยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยนับร้อยนับพันคน วันดีคืนดีก็มีศพชาวต่างชาติลอยตามลำน้ำเมยมาติดอยู่ฝั่งไทยและถูกเขี่ยออกไปที่อื่น แม้จะมีการส่งข้อมูลและพิกัดให้กับผู้นำรัฐบาลไทยไปแล้วกว่า 3 สัปดาห์ แต่กลับไม่มีการสนองตอบใดๆสะท้อนให้เห็นทั้งด้านมโนธรรมและมนุษยธรรม

ปัจจุบันแผ่นดินไทยด้าน อ.แม่สอด และอ.พบพระ ยังคงทำหน้าที่เป็นประตูสู่นรกได้อย่างดีและยังมีเหยื่อหลากหลายชาติถูกหลอกข้ามฟากไปอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย พยายามป่าวประกาศความร่วมมือกับชาตินั้นชาตินี้ ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติจึงเป็นเพียงน้ำยาป้วนปากเท่านั้น ตราบใดที่เสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือยังดังต่อเนื่องมาจากริมแม่น้ำเมย

https://transbordernews.in.th/home/?p=40580