เข้าใจหละ บ่อขุดและผลิตน้ำมันที่ฝาง ของกรมพลังงานทหาร ผลิตได้ไม่มากแล้วนำมาใช้อย่าง ‘sufficient’ เข้าสูตร ‘พอเพียง’ ลงตัวพอดี ผลิตเองใช้เองไม่ต้องพึ่งงบฯ รัฐ ไม่ต้องไป “เตี้ยอุ้มคร่อม” ใคร
แต่การชี้แจงว่าเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคง เพราะนำน้ำมันดีเซลที่ผลิตไปใช้กับยุทโธปกรณ์ในหน่วยปกป้องชายแดน ดูจะเป็นข้ออ้างหวังสูงไปหน่อย ที่ว่า “ภารกิจที่สำคัญด้านหนึ่งของแท่นขุดเจาะน้ำมันฝาง” จากการขายน้ำมันให้หน่วยรบชายแดน
“ได้แก่ มณฑลทหารบก ๓๓ และมณฑลทหารบก ๓๑๐ ซึ่งสองหน่วยนี้ จะจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกองพันนเรศวร และกองกำลังผาเมือง” เหล่านี้จะใช้งบประมาณปกติก็ได้ แล้วเอาน้ำมันจากฝางไปขายที่อื่น ให้ได้ค่าตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“ปัจจุบันน้ำมันที่กลั่นได้จะถูกนำไปขายเพื่อนำรายได้กลับมาใช้บริหารทั้งจ่ายเงินจ้างข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และนำไปใช้พัฒนาบุคลากร เช่น ส่งไปศึกษาต่อ เพื่อให้มีองค์ความรู้ที่จำเป็น และนำเงินมาบำรุงรักษาเครื่องมือ” เป็นเรื่องถูกต้อง
แต่ไม่ได้หมายความว่าทำให้ต้อง ‘หวง’ ไม่อยากให้ต้องถูกย้ายไปอยู่กับหน่วยงานอื่น พล.ต.มนตรี จีนนคร ผอ.ศูนย์ปิโตรเลี่ยมภาคเหนือกล่าวถึงกรณีที่ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยฯ
“ย้ำว่า ในอดีตหน่วยเคยมีรายได้สะสมถึง ๓,๐๐๐ ล้านบาท ขณะที่บางช่วงก็เหลือรายได้สะสมเพียง ๔๐๐ ล้านบาท” วงเงินค่าใช้จ่ายต้นทุนสำหรับดำเนินการบ่อฝาง ปัจจุบันอยู่ที่ ๓๐๐ ล้านบาท ซึ่งก็ลงตัวดี แต่ถ้าจะอ้างว่าต้องการให้หน่วยนี้อยู่นานที่สุด
“ด้วยงบประมาณที่จำกัดนี้ เพื่ออยู่สำรองน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ให้กับกองทัพ ในยามจำเป็น” เป็นข้ออ้างผิดๆ น้ำมันที่ผลิตจะถูกขายและใช้ออกไปทุกวัน น้ำมันสำรองใต้ดินย่อมมีวันหมด จะช้าจะเร็วแค่ไหนสุดแท้แต่ ๕๐ ปี ร้อยปี
ถ้าจะสำรองก็ต้องไม่ขุดมาใช้เลยนั่นละ