วันอังคาร, สิงหาคม 02, 2565

แถลงการณ์ ที่ไบรท์อ่านหน้าบัลลังก์ศาลอาญากรุงเทพใต้ในวันนี้

ภาพจาก Nithiwat Wannasiri

เจ๊เขียว กิโยติน
14h

แถลงการณ์ตัวเต็ม ที่พี่ไบรท์อ่านหน้าบังลังก์อาญากรุงเทพใต้ในวันนี้
๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
เรื่อง แถลงการณ์ปฏิเสธอำนาจศาลในคดีอาญามาตรา ๑๑๒
เรียน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ตามที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องต่อข้าพเจ้าเป็นคดีอาญาต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในข้อหาดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
ข้าพเจ้าขอแถลงดังนี้
ศาลไทยซึ่งได้ประกาศยืนยันสถานภาพองค์กรมาโดยตลอด อันเป็นที่ทราบโดยทั่วกันได้ว่า ศาลกระทำการพิจารณาและพิพากษาคดีในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการประกาศตนว่าเป็นองค์กรใต้อำนาจของพระมหากษัตริย์
แต่ปัญหาทางหลักการนิติปรัชญา ต่อสถานะและอำนาจของศาลในคดีที่เกิดขึ้นต่อข้าพเจ้านี้คือ ในตัวบทกฎหมายคดีอาญามาตรา ๑๑๒ ดังกล่าวมีระบุเนื้อความในตัวบทว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เป็นบุคคลผู้ถูกกระทำ โดยการดูหมิ่น การหมิ่นประมาท หรือการแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์จึงถือเป็นผู้เสียหายแห่งคดีนี้โดยตรง
ไม่เพียงศาลไทยประกาศตัวเป็นองค์กรของพระมหากษัตริย์เท่านั้น เมื่อทนายความของข้าพเจ้ายื่นอุทธรณ์คำสั่งคำร้องปล่อยตัวชั่วคราว ศาลมีคำสั่ง "พิเคราะห์แล้วเห็นว่า"พฤติการณ์ในการกระทำของผู้ต้องหาตามคำร้องฝากขังเป็นเรื่องกระทบต่อความมั่นคงและสถาบันและพระมหากษัตริย์ จึงถือเป็นเรื่องภัยร้ายแรง หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจหลบหนีและไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานทำให้ยุ่งยากต่อการดำเนินการของพนักงานสอบสวน ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว และให้ยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ผู้ต้องหาและผู้ขอประกันทราบโดยเร็ววัน
ในคำสั่งของศาลดังกล่าว มีลักษณะของการพิพากษาคดีล่วงหน้า ดังเห็นได้จากเอ่ยคำว่า"พิเคราะห์แล้วเห็นว่า" ที่พฤติการณ์ในการกระทำของผู้ต้องหา.. ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าศาลได้เชื่อว่าผู้ต้องหากระทำการหรือมีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาไปแล้ว ซึ่งขัดกับหลักกฎหมายเบื้องต้นที่ต้องสัณนิษฐานว่าจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน จนกว่าจะถูกพิสูจน์ทราบจนสิ้นสงสัยหรือพิพากษาว่ามีความผิดจริง
โดยที่ในชั้นฝากขังยังไม่ได้มีกระบวนการพิสูจน์ทราบใดใดทั้งสิ้นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการเป็นความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่ ทั้งยังไม่มีการสืบพยาน ยังไม่มีการสืบความทางคดีใดใดเลยเสียด้วยซ้ำ
คำสั่งดังกล่าวจึงกลายเป็นการพิพากษาคดีล่วงหน้าในการลงโทษจำคุกจำเลยผู้ถูกกล่าวหาก่อนการยื่นฟ้องคดี ส่วนคำสั่งของศาลที่ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจหลบหนี การณ์สิ่งใดใดในคดี จะต้องปรากฏหลักฐานให้เชื่อถือได้เพราะการพิจารณาพิพากษาคดีขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน หาใช่การ”คาดเดา”ไม่
แต่ในคดีนี้ไม่ปรากฏหลักฐานข้อมูลหรือแม้แต่พฤติกรรมใดใดที่”ผู้ต้องหาอาจหลบหนี” คำสั่งศาลดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งบนความคาดเดา
นอกจากนี้คำสั่งของศาลดังกล่าวในส่วนที่ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจหลบหนีและไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานทำให้ยุ่งยากต่อการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าหากปล่อยชั่วคราวแล้วผู้ถูกกล่าวหาจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานอะไร ได้อย่างไร จึงเป็นการคาดเดาไปเองของศาลโดยไร้พยานหลักฐานใดใดสนับสนุนซึ่งเป็นโทษต่อผู้ต้องหาที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์
ข้าแต่ศาลที่เคารพ ตามตัวบทกฎหมายมาตรา ๑๑๒ นี้ และด้วยการแสดงตนเป็นองค์กรใต้อำนาจของคู่กรณีแห่งคดีนี้ ศาลจึงไร้สิ้นซึ่งความเป็นกลางทางคดี ทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย ตามหลักนิติศาสตร์เบื้องต้น ศาลไทยที่แสดงตนเป็นองค์กรใต้อำนาจของคู่กรณีแห่งคดี จึงไร้ซึ่งศักดิ์และสิทธิ์ใดๆ ในการพิจารณาหรือพิพากษา คดีมาตรา ๑๑๒ ที่ข้าพเจ้าถูกแจ้งข้อกล่าวหาพิพาทกับคู่กรณีซึ่งดำรงค์ตำแหน่งพระมหากษัตริย์
ข้าพเจ้าจึงขอประกาศต่อศาลและสาธารณชน สาธารณชน รวมถึงวิญญูชนทุกหมู่เหล่า ว่า ข้าพเจ้าไม่ขอยอมรับอำนาจศาลที่เป็นองค์กรใต้อำนาจแห่งคู่กรณีดังกล่าว ในการพิจารณาคดีอาญามาตรา ๑๑๒ ระหว่างข้าพเจ้าและคู่กรณีแห่งคดีนี้ และข้าพเจ้าจะไม่ขอเข้าร่วมในกระบวนการพิจารณาและกระบวนการพิพากษาใดใดในคดีนี้ทั้งสิ้น
โดยข้าพเจ้าจะไม่ร่วมให้การ ไม่แต่งทนายเข้าดำเนินคดี ไม่ถามค้านพยานโจทก์ ไม่นำสืบพยานจำเลย ไม่ลงชื่อในเอกสารใดๆ ของศาล และไม่ร่วมกระบวนการพิพากษาคดีนี้ทั้งสิ้น
แต่ข้าพเจ้าก็มิขัดขวางใดๆ หากศาลต้องการดำเนินการใดต่อ ก็ขอให้ดำเนินการต่อไปแต่เพียงฝ่ายเดียวเถิด และมิได้เกี่ยวข้องใดๆกับการยอมรับอำนาจศาลในคดีนี้ของข้าพเจ้า
โดยที่จนกว่าศาลจักหาข้อพิสูจน์ที่เป็นประจักษ์ชัด ในทางพฤตินัยและนิตินัย จนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าสามารถกลับมาเชื่อได้ว่า ศาลมิได้เป็นองค์กรใต้อำนาจของพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งคดี ตามตัวบทมาตรา ๑๑๒ ที่กล่าวหาต่อข้าพเจ้าดังกล่าว จนกว่าศาลจะสามารถพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนได้ ข้าพเจ้าจึงจะรับพิจารณาการยอมรับหรือไม่ยอมรับอำนาจศาลในการพิจารณาคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยความเคารพอำนาจตุลาการที่ต้องมาจากประชาชน
ชินวัตร จันทร์กระจ่าง