หัวอกแม่ #น้องเมย |
นายทหาร ๖
คนนั่งแถลงข่าวอย่างสุขุมคัมภีรภาพ แต่เนื้อหาที่ออกมา “น่าอับอายมาก น่าสังเวช”
อย่างที่มารดาผู้ตายเขียนประชดไว้บนเฟชบุ๊ค
พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหารนำทีมแถลงอย่างเป็นทางการ
ถึงการเสียชีวิตของ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่
๑ ตอน ๑๓ รุ่น ๖๐ เหล่า ทบ. โดยแจ้งรายละเอียดน่าทึ่ง
คือบอกว่าได้สอบสวนผู้เกี่ยวข้องหรือรู้เห็น
๔๒ คน รวมทั้งเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ นายทหารบังคับบัญชา แพทย์จาก ๓ โรงพยาบาล
ไปจนกระทั่งคนขับรถ รวมทั้งยาม แต่กระนั้นก็ยังขาดจุดสำคัญไป
พล.อ.อ.ชวรัตน์
กล่าวว่าได้เรียกนักเรียนเตรียมทหาร “ทั้งปี ๓ และปี ๑” มาสอบปากคำด้วย แต่ไม่มีรุ่น
๕๙ หรือปี ๒ ซึ่งมีข้อครหาทางโซเชียลมีเดียก่อนหน้านี้ว่าคนหนึ่งในรุ่นนั้น
เป็นลูกคนใหญ่คนโตใน คสช. เป็นผู้ที่จัดการ ‘ซ่อม’ น้องเมย ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนบักโกรกมาแล้วครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้าเหตุการณ์ในอาทิตย์ที่เสียชีวิต
ถึงแม้จะถือได้ว่าเป็นเรื่อง ‘hearsay’
เลื่องลือ ชาวบ้านพูดกันไป แต่ในการสอบสวนที่รอบด้านต้องเอาประเด็นเหล่านี้มาพิจารณาด้วย
ในแง่การตรวจสอบให้ชัดเจนจะได้ใช้ยืนยันว่า ‘โคมลอย’ มิฉะนั้นเป็นการละเลย ยิ่งถ้าเป็นข้อมูลปรักปรำทำให้เสียหาย ก็จะกลายเป็น ‘เจตนา’ ละเลยไป
แถลงข่าวยังลำดับเหตุการณ์วันต่อวัน
ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ที่พบว่าน้องเมยตกบันไดสูง ๘ ขั้น “มีครูพละได้เดินมาดู
พบนอนตะแคงซ้ายมือกุมหน้าอก และจากการตรวจพบว่าจุกบริเวณหน้าอก
และใช้รถส่งกองแพทย์ ภายนอกไม่พบบาดแผล และส่ง รพ. ผลการตรวจสอบไม่พบบาดแผล
ไม่พบการบาดเจ็บภายใน”
ตรงนี้ นางสุกัลยา ตัญกาญจน์
มารดาของน้องเมยเขียนแซะว่า “VDO 4 ชม.
หายไปไหน? แต่มีภาพช่วงบ่าย? บันไดที่ตกเห็นแค่มีการประคอง
แล้วที่ตกลงมาอยู่ไหน เอาเป็นว่าประจวบเหมาะกันตลอด หาหลักฐานไม่ได้”
นอกจากนั้นยังตั้งข้อสงสัย “กล้องวงจรปิด
ชุดพรางเดินถือตะกร้า เฮ้อ นร.ควรเรียน เวลานั้นไม่ใช่เดินถือตะกร้าแล้ว (ไม่เนียน
วันอังคารอยู่กองแพทย์ มาเดินอะไรที่กองพัน)”
จากไทม์ไลน์ หลังจากน้องเมยถูก ‘ธำรงวินัย’ ในห้องซาวน่าจนทนไม่ไหว ถูกแยกออกไปทำโทษด้วยการวิดพื้นเป็นเวลา
๑ ชั่วโมง ซึ่งทั่นรอง เสธ. บอกว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว รุ่งขึ้นน้องเมยโดนซ่อมอีก
ฐานที่วิ่งช้ากว่าเพื่อน
“ถูกสั่งให้กระโดดกบ ๒๐ เมตร จากนั้น ‘คอมแมนด์’ ให้กลับไปเข้าแถวเหมือนเดิม
แล้วสั่งให้ขอบคุณ จุดนี้แหละน้องเมยแสดงความไม่พอใจ ไม่ยอมขอบคุณ
นักเรียนบังคับบัญชาก็เลยนำตัวไปสั่ง ‘พุ่งหลัง’ อีกไม่ถึง ๒ นาฑี”
(จากยูทู้ปข่าวเนชั่น เรื่อง “หมอตั้งข้อสังเกตุในคำแถลงของกองทัพฯ”
โพสต์โดย DuangAesthetic II https://www.youtube.com/watch?v=RS2DUeYoY0Y)
พล.อ.อ.ชวรัตน์ชี้ว่าการทำโทษโดยพุ่งหลัง
(ซึ่งผู้พุ่งเอาหัวทิ่มพื้นโดยสองขายังอยู่ในท่ายืน) นี้ เป้นท่าที่อนุญาติให้ใช้
และไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอาการ ‘เกินกำลัง’
ได้
แต่ข้อเท็จจริงก็คือทำให้ภคพงศ์ฟุบลงไป หายใจถี่และมีอาการ
‘มือจีบ’ หรือ ‘Hyperventilation’
คือ “เกร็งหายใจแรงและถี่ รวมถึงมีการพ่นน้ำลายออกมาเป็นระยะ
นายทหารเห็นเหตุการณ์ก็ตามแพทย์ และแพทย์เห็นว่าอาการไม่ดีขึ้นจึงสั่งให้นำส่ง
รพ. ซึ่งปกติ hyperventilation ไม่ต้องกังวล
เพราะไม่ถึงชีวิต” ทั่นรองฯ ชี้แนะ
กระนั้นก็ดี คณะกรรมการสรุปได้ว่า ในวันที่
๑๗ ธันวา วันที่ภคพงศ์เสียชีวิต ผู้ตายมีอาการเครียดสูง “ไม่มีผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้ายอันอาจเป็นเหตุให้เสียชีวิต
และจากการตรวจ
สรุปภาพรวมได้ว่าไม่พบรอบฟกช้ำภายนอก ส่วนซี่โครงที่หักก็ไม่ตัดประเด็นการทำ CPR
นานกว่า ๔ ชั่วโมง” คณะทหารรวบยอด
ทว่ามารดาผู้ตายยังตัดใจไม่ได้ ลูกชายคนเดียว
จึงตัดพ้อ “เพราะเคยมีตัวอย่างมาทำให้ได้เรียนรู้ว่า #ตายเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ผิด ใช่หรือไม่...
วันที่ ๑๗ ไม่มีใครทำร้ายเมย
เพราะอยู่กองแพทย์ใช่ แต่ถามว่าเมยโดนอะไรหนักขนาดก่อนวันที่ ๑๗ หามกันขึ้นมา”
นั่นละ บันได ๘ ขั้นในการตายของนักเรียนเตรียมทหาร