ภาพจาก Maysaanitto |
https://www.youtube.com/watch?v=hRzTqFWqS3k
คลิป คำแถลงปิดของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีต นายกรัฐมนตรี
https://www.youtube.com/watch?v=hRzTqFWqS3k
ที่มาเรื่อง ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
updated: 22 ม.ค. 2558
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 28 แถลงคัดค้าน โต้แย้งคำแถลงปิดสำนวนและรายงานการไต่สวนพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันที่ 22 มกราคม 2558
เรียนท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดิฉันนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ดิฉันมาวันนี้ เพื่อมาแถลงปิดคดี ในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของดิฉัน และเพื่อขอความเป็นธรรมต่อสภาแห่งนี้ ดิฉันเข้าใจดี ถึงดุลยพินิจที่เป็นเอกสิทธิ์ และเป็นอิสระของสมาชิกแต่ละท่านในการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ ดิฉันเพียงหวังว่า ทุกท่านจะได้ใช้ดุลยพินิจด้วยความถูกต้อง เที่ยงธรรม เป็นประจักษ์ต่อสาธารณชน และเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ โดยไม่จำยอมต่อการชี้นำของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ก่อนอื่น ดิฉันขออนุญาตชี้แจงต่อสภาฯแห่งนี้ว่า ในวันที่ดิฉันมาแถลงเปิดคดีนั้น ดิฉันได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ในรายละเอียดครบถ้วน ทั้งยังได้จัดเตรียมและแจกเอกสารข้อมูลสนับสนุน ที่ตอบทุกข้อสงสัย
ดังนั้น ในขั้นตอนของการตอบข้อซักถามของคณะกรรมาธิการนั้น ดิฉันเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของสภาฯ หากผู้ที่ปฏิบัติงานในหน้าที่ คือ อดีตรัฐมนตรีที่เคยรับผิดชอบโดยตรงต่อโครงการนี้ จะได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม และตอบข้อซักถามของท่านสมาชิก
ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลดิฉัน ที่ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนรัฐมนตรีจะเป็นผู้รับผิดชอบขับเคลื่อนให้นโยบายนั้นเป็นจริง ซึ่งในการดำเนินการตัดสินใจต่างๆ ก็เป็นไปในรูปแบบของคณะกรรมการ จึงทำให้ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รับรู้และรับทราบ ข้อเท็จจริง และสามารถที่จะมาชี้แจง ต่อสภาฯแห่งนี้ ได้อย่างสมบูรณ์
ในขณะเดียวกัน ข้อบังคับของสภาฯก็ได้เปิดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงตอบคำถาม ของกรรมาธิการ ดิฉันจึงได้มอบหมายให้อดีตรัฐมนตรีหลายท่าน มาตอบคำถามต่าง ๆ ซึ่งการมอบหมายดังกล่าว ดิฉันมีความจริงใจ ที่จะทำให้สมาชิกเข้าใจในรายละเอียดของโครงการ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น
ดิฉันขอเริ่มด้วยการโต้แย้งว่า รายงานและสำนวนพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งการแถลงเปิดและปิดคดี และการตอบข้อซักถามของผู้แทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อสังเกตอันเป็นข้อพิรุธที่ไม่สมควร ให้ท่านสมาชิกนำรายงาน และสำนวนพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาเป็นเหตุผลในการถอดถอนดิฉันในคดีนี้ได้ ดังนี้
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดแล้ว ไม่อาจถอดถอนได้ เหลือเพียง "พ.ร.บ. ป.ป.ช." ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจไว้
สำหรับประเด็นเรื่องการ "ถอดถอน" ดิฉันขอยืนยันในคำโต้แย้ง ที่ดิฉันได้แถลงคัดค้าน คำแถลงเปิดสำนวนของ ป.ป.ช. ว่า รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ได้ยกเลิกไปแล้ว ดังปรากฏในรายงานที่ระบุในข้อกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ส่อว่า จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฏหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 270 และมาตรา 178
รวมถึงคำแถลงของ ป.ป.ช. ที่ระบุไว้เช่นเดียวกัน
ดิฉันขอเรียนต่อสภาฯแห่งนี้ว่า การถอดถอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะนำไปสู่การตัดสิทธิ ในการดำรงตำแหน่งใด ๆ ทางการเมืองของดิฉัน เป็นเวลา 5 ปี ถือเป็นการจำกัดสิทธิ และเสรีภาพขั้นพื้นฐานของดิฉัน มีที่มาจากมาตรการตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักไทย ทั้งฉบับ 2540 และฉบับ 2550 โดยลำดับ
จึงจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญ บัญญัติ ให้อำนาจไว้ จะอาศัยเพียงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 แต่ประการเดียว โดยปราศจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายแม่รองรับ เป็นเรื่องที่จะกระทำไม่ได้ การดำเนินคดีเพื่อถอดถอนดิฉัน จึงไม่สามารถดำเนินการได้ และหากดำเนินการต่อไป ก็จะไม่เป็นธรรมต่อตัวดิฉัน และไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรม
2.ถอดถอนซ้ำซ้อน
ดิฉันขอยืนยัน ในสิ่งที่ดิฉันได้กล่าวไว้ ในวันแถลงเปิดคดี ว่า ดิฉันไม่เหลือตำแหน่งอะไร ที่จะให้ถอดถอนอีกแล้ว การดำเนินการที่ทำอยู่ ถือเป็นการถอดถอนที่ซ้ำซ้อน ไม่ถูกต้องในข้อกฎหมายและไม่เป็นธรรม
"
ทั้งนี้ เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2557 ซึ่งได้วินิจฉัยให้สถานะความเป็น "นายกรัฐมนตรี" ของดิฉัน สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 182 วรรค 1 วงเล็บ 7 ซึ่งรัฐธรรมนูญ ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แม้ผู้แทนคดีของ ป.ป.ช. จะได้พยายามอธิบาย ต่อที่ประชุมสภาฯแห่งนี้ ในทางตรงกันข้ามก็ตาม ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจส่งเรื่องมาให้แก่สภาฯแห่งนี้ เพื่อดำเนินการถอดถอนดิฉันอีก เพราะจะถือเป็นการกระทำผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เสียเอง
3.การกล่าวที่บิดเบือน ในเรื่องระยะเวลาการดำเนินคดีของดิฉัน โดยอ้างว่าใช้เวลาไต่สวนคดีดิฉัน 1 ปี 10 เดือน นั้น ไม่เป็นความจริง
ในเรื่องนี้ ดิฉันจำเป็นที่ต้องแสดงให้สภาฯแห่งนี้เห็นว่า การกล่าวอ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ดังนี้
ประเด็นแรก การแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ ใช้เวลาเพียง 21 วัน
ดิฉัน ขอแสดงหลักฐานที่สำคัญ คือ คำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ 27/2557ลงวันที่ 28 มกราคม 2557 ที่ว่า
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการประชุมครั้งที่ 539-7/2557 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็นองค์คณะในการไต่สวน และมี นายวิชา มหาคุณ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนคดีถอดถอนของดิฉัน
ซึ่งคำสั่งนี้ ไม่มีข้อความใดๆ ที่ระบุถึงการดำเนินคดีถอดถอน และคดีอาญากับตัวดิฉัน ไปเกี่ยวข้องกับคดีระบายข้าว ของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ต่อมาอีก 2 วัน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือถึงดิฉัน ลงวันที่ 31 มกราคม 2557 ในเรื่องการไต่สวนดิฉัน และการตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็นองค์คณะในการไต่สวน ซึ่งรวมทั้งคดีอาญาและคดีถอดถอนเข้าด้วยกัน
ดังนั้น กระบวนการไต่สวนดิฉัน จึงเริ่มนับตั้งแต่ วันที่ 28 มกราคม 2557 ต่อมา ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ดิฉันได้รับหนังสือ ลงนามโดย นายวิชา มหาคุณ แจ้งให้ดิฉันไปรับทราบข้อกล่าวหา ภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ทำให้เห็นได้ว่า นับตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม จนถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือถึงดิฉัน ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ใช้เวลาเพียง 21 วัน
และหลังจากนั้นอีก 80 วัน ป.ป.ช. ก็มีมติชี้มูลความผิดดิฉัน รวม 101 วัน หรือเพียง 3 เดือนเศษเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ 1 ปี 10 เดือน ตามที่ ป.ป.ช.กล่าวอ้าง
4. คำกล่าวของ นายวิชา มหาคุณ ได้ชี้นำให้สภาฯ แห่งนี้ และผู้ที่รับฟังทั่วไปไขว้เขว และเข้าใจว่า ดิฉันกระทำความผิด ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาข้อเท็จจริงเหล่านั้น หลายประเด็นไม่ได้อยู่ในสำนวนนี้เลย
ในโอกาสนี้ ดิฉันจะขอกล่าว เฉพาะข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานตามที่ปรากฏ ดังนี้ เช่น
4.1 กรณี ข้าวหาย
นายวิชา มหาคุณ ได้กล่าวหาดิฉัน ในปาฐกถาพิเศษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2557 ซึ่งเนื้อหาเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย และชี้นำต่อสังคมว่า ข้าวในโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 2 ล้านตัน ในปี 2555 ได้หายไปแล้ว
การกล่าวหาเช่นนี้ เพราะต้องการทำให้สาธารณะชนเข้าใจผิด ว่า ดิฉัน และรัฐบาลปล่อยปละละเลย ทำให้ข้าวหายไป และพยายามให้เกิดความเชื่อที่ว่า ดิฉันละเว้น ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้น จนต้องมีหนังสือ ยุติหรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทั้งหมดนั้น ไม่เป็นธรรมต่อตัวดิฉันอย่างยิ่ง และไม่พึงกระทำในฐานะที่ นายวิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบในสำนวนคดีนี้ และเป็นผู้ที่ใช้กฎหมาย เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาทุกราย
ดิฉันขอเรียนต่อสภาฯแห่งนี้ ถึงกรณีข้าวหาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีข้าวหายจำนวน 2 ล้านตัน ตามที่ผู้กล่าวหาอ้างถึงก็ดี หรือข้าวจำนวน 2.98 ล้านตัน ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ไม่ยอมบันทึกบัญชีก็ดีนั้น เมื่อครั้ง ป.ป.ช. ไต่สวนในเรื่องนี้ หน่วยงานผู้รับผิดชอบ คือ อตก. และ อคส. ได้ยืนยันถึงความมีอยู่จริงของข้าว ทั้ง 2 กรณี
ที่น่าเสียใจ คือ แม้ดิฉัน จะได้นำพยานหลักฐานมาโต้แย้ง เพื่อหักล้างว่า ข้าวจำนวนดังกล่าว ไม่สูญหายไป แต่ ป.ป.ช. กลับไม่รับฟัง
4.2 กรณี การระบายข้าวแบบ จีทูจี
ในข้อบังคับในคดีถอดถอน ข้อที่ 153 กำหนดให้ การพิจารณาของสภาฯ ให้ยึดสำนวนของ ป.ป.ช.ที่ส่งมาที่สภาฯ แต่ ป.ป.ช. กลับนำ คดีระบายข้าว แบบจีทูจี ที่มีการกล่าวหาต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องนอกสำนวน มากล่าวผสมปนเป อยู่ในเนื้อหาคดีถอดถอนดิฉัน ทำให้บางท่านหลงเข้าใจไปว่า ข้อเท็จจริงกรณีระบายข้าวแบบจีทูจี เกี่ยวข้องกับคดีของดิฉัน
ในประเด็นนี้ นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แถลง และยืนยันข้อเท็จจริง ต่อสาธารณะ โดยทั่วไป เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2557 ว่า "คดีระบายข้าวจีทูจีเป็นอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งเรากำลังไต่สวนอยู่แต่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ไม่ได้เป็นประเด็นโดยตรง ของผู้ถูกกล่าวหา เพราะที่เรากล่าวหาคือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้จะมีคำกล่าวหาในเรื่องนี้มาก็จริง แต่เราไม่ได้ไต่สวน"
และเมื่อวานนี้ก็เช่นกัน ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ก็ได้ยืนยันเช่นกันว่า ประเด็นที่ชี้มูล นายบุญทรง เป็นคนละประเด็น และไม่เกี่ยวกับคดีถอดถอนนี้แต่อย่างใด
และจากเอกสารคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ก็ได้ยืนยันในสำนวน ว่า "ในชั้นนี้ ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่า ผู้ถูกกล่าวหา มีส่วนร่วมให้เกิดการทุจริต หรือสมยอมให้เกิดการทุจริต"
4.3 กรณีรายงานอนุกรรมการปิดบัญชี ครั้งที่ 4 จำนวน 5.18 (ห้าแสนหนึ่งหมื่นแปดพัน) ล้านบาท
สำหรับเรื่องที่ นายวิชา อ้างถึงการที่ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ได้แถลงผลขาดทุนทางบัญชี ครั้งที่ 4 จำนวนประมาณ ห้าแสนล้านบาทเศษ นั้น ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เป็นการขาดทุนตามตัวเลขดังกล่าว เนื่องจาก ยังมีข้อโต้แย้งทางบัญชี อีกทั้งยังมีข้าวในสต๊อคที่สามารถระบายได้อีกมาก และสำหรับวัตถุประสงค์ การตั้งอนุกรรมการปิดบัญชี นอกจากจะแยกดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะเป็นครั้งแรก ยังมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมภาระหนี้สิน ได้แก่ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการบริหารโครงการ ไม่ใช่การปิดบัญชี กำไร-ขาดทุน ในเชิงธุรกิจ และไม่ใช่เรื่องค่าเสียหายแต่ประการใด
และหากท่านสมาชิกจะได้ให้ความเป็นธรรม ก็จะเห็นได้ว่า ไม่มีครั้งใด ที่รายงานจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชี มีความเห็นให้ยุติโครงการรับจำนำข้าวเลย
4.4 กรณี การแจ้งความของปลัดกระทรวงพาณิชย์ คนปัจจุบัน
ในการที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กองปราบปราม ที่นายวิชา นำมาแถลงต่อสภาฯ ล้วนเป็นการดำเนินคดี ตามสัญญาที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นเงื่อนไขตามสัญญาที่รัฐบาลดิฉันได้กำหนดไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อรัฐไว้แล้ว โดยกำหนดตัวผู้รับผิดชอบ คือ เจ้าของโกดัง เซอร์เวเยอร์ และเจ้าของโรงสี ซึ่งเป็นกรณีทำนองเดียวกันกับ 276 คดี ที่มีการดำเนินคดีไปแล้ว ในขณะที่ดิฉันดำรงตำแหน่งอยู่ ซึ่งดิฉันขอเน้นย้ำว่า ไม่สามารถนำมาชี้ถึงความเสียหายในคดีนี้ได้ เนื่องจากสัญญาเหล่านั้น ได้ระบุผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนแล้ว จึงไม่ใช่ความเสียหายต่อรัฐ แต่ประการใด
4.5 กรณีหนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ส่งมายังนายกรัฐมนตรี รวม 4 ครั้ง ดิฉันขอเรียนว่า หนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน 3 ฉบับแรก ไม่ปรากฏในรายงาน และความเห็นของ ป.ป.ช. แต่อย่างใด และชัดเจนว่า หนังสือทั้ง 3 ฉบับ ก็ไม่มีครั้งใด ที่มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลดิฉัน ต้องยุติ หรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว
สำหรับหนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ฉบับที่ 4 ฉบับลงวันที่ 30 มกราคม 2557 เรื่อง การตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ที่มีถึงดิฉัน พร้อมข้อเสนอแนะว่า "ให้พิจารณาทบทวน และยุติการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในฤดูกาลต่อไป" ก็เป็นเวลาภายหลังที่ดิฉัน ได้ประกาศยุบสภาฯไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 และอยู่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ซึ่งไม่สามารถดำเนินการใดๆที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลหน้า รวมถึงโครงการรับจำนำข้าวด้วย
อีกทั้งช่วงเวลาคดี ที่ ป.ป.ช. กล่าวหาดิฉัน อยู่ระหว่างวันที่ 9 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2556
ดังนั้น หนังสือ สตง. ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2557 จึงอยู่นอกสำนวน
5.การตัดพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา
การที่ ป.ป.ช. อ้างว่า ได้ให้ความเป็นธรรม โดยไม่ตัดพยานหลักฐานฝ่ายดิฉัน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะในข้อเท็จจริง ดิฉันเสนอพยานบุคคลเพียง 18 ราย แต่ ป.ป.ช. ตัดพยานเหลือเพียง 6 รายที่ ป.ป.ช. รับฟังในชั้นไต่สวน มิใช่เสนอเป็นพันราย ดังที่ นายวิชา กล่าวอ้าง สำหรับพยานที่ถูกตัดไปนั้น ก็ล้วนเกี่ยวข้องในประเด็นสำคัญทั้งสิ้น เช่น ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ที่จะนำสืบหักล้าง รายงาน TDRI และเหตุผลการรับจำนำข้าว ในราคา 15,000 บาท และการรับจำนำทุกเม็ด
นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ นักวิชาการอิสระ ที่จะนำสืบหักล้าง รายงาน TDRI และข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ในเรื่อง โครงการรับจำนำข้าวว่า ไม่ได้บิดเบือนกลไกตลาด
นายสุเมธ เหล่าโมฬาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทค้าข้าวรายใหญ่ ที่จะนำสืบ เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ในประเด็นความเหมาะสม ของการกำหนดราคารับจำนำข้าว 15,000 บาท ว่ามีความเหมาะสม และไม่บิดเบือนกลไกตลาด รวมทั้งโครงการรับจำนำข้าว ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าวไทยเสียแชมป์
นายพิชัย ชุณหวชิร นายกสภาวิชาชีพบัญชีแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ที่จะนำสืบเพื่อหักล้าง ในประเด็นหลักเกณฑ์ การตีราคาสินค้าคงเหลือ และการคิดค่าเสื่อมของพืชผลการเกษตร
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ในขณะนั้น ที่จะนำสืบหักล้างในประเด็น ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ของโครงการรับจำนำข้าว และประเด็น ตัวเลขขาดทุนทางบัญชีที่ไม่ถูกต้อง
ดิฉันเห็นว่า ข้ออ้างในการตัดพยานหลักฐานทั้งหมดที่ดิฉันกล่าวถึง เป็นการปิดกั้นโอกาสของดิฉัน ที่จะนำพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนการไต่สวน และเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านสมาชิกจะเชื่อถือ และยึดสำนวน และความเห็นของ ป.ป.ช.ได้อย่างไร
6. ป.ป.ช.ใช้พยานที่เป็นปฏิปักษ์
ดิฉันเห็นว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ เกี่ยวข้องกับคณะทำงานหลายฝ่าย แต่เพราะความเร่งรีบ รวบรัด ในการไต่สวนคดีนี้ จึงพบว่าพยานของ ป.ป.ช. มีเพียง 7 ปากเท่านั้น และในจำนวนดังกล่าว มีพยานบุคคลถึงจำนวน 4 ปาก ที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองโดยตรงต่อรัฐบาลดิฉันทั้งสิ้น
อาทิ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ซึ่งเป็นฝ่ายค้านทางการเมือง สมควรหรือไม่ ที่บุคคลดังกล่าวจะเป็นพยานให้กับ ป.ป.ช.ในคดีนี้
นายนิพนธ์ พัวพงศกร จาก TDRI ซึ่งเป็นผู้รับจ้างทำงานวิจัยให้กับ ป.ป.ช.เอง และยังมีชื่อไปร่วมประชุมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อริเริ่ม และดำเนินโครงการประกันรายได้อีกด้วย
นายระวี รุ่งเรือง ประธานเครือข่ายชาวนาไทย ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 เพื่อร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.ในการประท้วงและขับไล่รัฐบาลของดิฉัน และจากสำนวน ป.ป.ช. ระบุว่าบุคคลดังกล่าว เพิ่งเริ่มทำนา เมื่อปี พ.ศ. 2549 และไม่มีนาเป็นของตนเอง แต่เป็นนาเช่า เพียงจำนวน 50 ไร่ เท่านั้น
ส่วนพยานที่เหลืออีกจำนวน 3 ปาก ก็เป็นพยานในประเด็น ที่ข้อโต้แย้งยังไม่ยุติ ทั้งสิ้น
เรียน ท่านประธานและท่านสมาชิกฯลำดับจากนี้ ดิฉันขอเน้นประเด็นที่สำคัญ โดยสรุปดังนี้
1.ประเด็นที่กล่าวหาว่า โครงการรับจำนำข้าวเกิดผลเสียหาย ทำให้ต้องมีการใช้ภาษีของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีความรั่วไหล มีผลเสียต่อภาระการคลังต่อประเทศ
โครงการรับจำนำข้าวนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียหาย แต่ในทางกลับกัน ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในเรื่องของรายได้ของผู้มีรายได้น้อย คือ ชาวนาผู้ผลิตข้าว และนำไปสู่การใช้จ่ายที่ต่อเนื่อง เป็นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
สำนักเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คำนวณว่า โครงการรับจำนำข้าว ฤดูการผลิต 2554/55 และ 2555/56 สามารถทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น เป็นจำนวน 308,000 (สามแสนแปดพัน) ล้านบาท และ 315,000 (สามแสนหนึ่งหมื่นห้าพัน) ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นกว่า 2.7% ของจีดีพีของประเทศในแต่ละปี
ในการดูแลชาวนาตามโครงการรับจำนำข้าว มีการใช้งบประมาณไม่เกิน 5% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะสมไม่เกินเลย สามารถดูแลเกษตรกรจำนวนกว่า 23% ของประชากรทั้งประเทศ ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น และยังสามารถส่งผลต่อการหมุนเวียนที่ดีของเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย
หนี้สาธารณะของประเทศ ยังอยู่ในระดับเพียง 45% ของจีดีพี ซึ่งต่ำกว่าเพดานที่กำหนดไว้ที่ 60% จึงสรุปได้ว่า วินัยการคลังของรัฐบาลช่วงที่ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรี มีความเข้มแข็ง และมั่นคง
ดิฉัน ขอยืนยันอีกครั้งว่า การดูแลโครงการ ที่ใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของประชาชนไม่ใช่เรื่องความเสียหาย
และเมื่อถามว่า จะเอาเงินมาจากไหน ก็สามารถตอบได้ว่า เมื่อเศรษฐกิจดี รายรับของรัฐบาลก็ดีด้วย รายได้ภาษีก็เพิ่มขึ้น ท่านจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่รัฐบาลดิฉันรับผิดชอบอยู่นั้น นอกจากจะไม่มีการเพิ่มประเภทภาษีแล้ว กลับลดอัตราภาษีที่สำคัญลงในหลายกรณี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยรายได้ของรัฐบาลยังคงเป็นไปตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
2.ประเด็นที่ว่าโครงการรับจำนำข้าว "ขาดทุน" และเสียหายมากขึ้น แล้วทำไมยังทำโครงการต่อ
การปิดบัญชีของคณะกรรมการปิดบัญชีฯนั้น ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ ทั้งในเรื่อง ปริมาณสต็อกที่ไม่รวมจำนวนที่ อตก. และ อคส. ยืนยันว่ามีอยู่จริง จำนวนถึง 2.98 ล้านตัน และราคาที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าสต็อก ซึ่งบางท่านอาจเห็นว่า ต่อให้แตกต่างกัน ก็ยังมีผลที่อาจเรียกว่า "การขาดทุนทางบัญชีสะสม" ที่สูงอยู่
ดิฉันขอชี้แจงว่า การที่นำตัวเลขของแต่ละปีการผลิตมาบวกรวมกันหลาย ๆ ปี แล้วเรียกว่า การขาดทุนทางบัญชีสะสมนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ถ้าหากนำตัวเลขการปิดบัญชี 3 ปีมาเทียบ ก็ต้องนำเอาประโยชน์ที่พี่น้องชาวนาได้รับ รายได้เพิ่มขึ้น และประโยชน์เศรษฐกิจ ในช่วง 3 ปี มาเทียบด้วย ซึ่งจะพบว่า "ประโยชน์ที่ได้รับโดยรวม" มีมูลค่าสูงกว่ามาก
ดิฉันขอเรียนยืนยัน ตามที่ได้แถลงเปิดคดีไว้ว่าโครงการรับจำนำข้าวมีคุณประโยชน์คุ้มค่าต่อประเทศชาติ มากกว่าเงินที่นำมาใช้ในโครงการ จึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะยุติโครงการ
3.ประเด็นที่กล่าวว่า รัฐบาลไม่จริงใจกับการป้องกัน และการปราบปรามการทุจริต ขอยืนยันว่า รัฐบาลดิฉัน มีความจริงใจต่อการปราบปรามทุจริต โดยจะเห็นได้ว่าได้มีการกำหนดมาตรการ เงื่อนไข ที่เป็นกลไกในการดำเนินการอย่างชัดเจน กล่าวคือ
1.การตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อควบคุม ติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุกขั้นตอน จำนวน 12 คณะ
2.มีการกำหนดมาตรการ 13 มาตรการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และปราบปรามการทุจริต
3. มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสต๊อกข้าวพร้อมกันทั่วประเทศ
4. มีการตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีเฉพาะเรื่องข้าวเป็นครั้งแรก
5. มีแต่งตั้งคณะกรรมการาปราบปรามทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ 276 คดี
6. เพื่อไม่ให้มีการรั่วไหล จึงให้มีการจ่ายเงินเข้าบัญชีชาวนาโดยตรงผ่านธนาคาร ธ.ก.ส.
7. และยังมีการรณรงค์เพื่อปราบปรามการทุจริตในภาพรวม ตามที่แถลงเป็นนโยบายไว้ต่อรัฐสภา อีกด้วย
4.ต่อข้อกล่าวหาที่ว่าการตั้งราคารับจำนำข้าวสูงกว่าตลาด และจำนำทุกเม็ด ทำให้ข้าวทั้งหมดอยู่ในมือรัฐบาล เป็นการผูกขาด และเกิดการทุจริต
โครงการรับจำนำข้าว ไม่ได้บิดเบือนกลไกตลาดข้าวตามที่มีการกล่าวหา ด้วยเหตุผลดังนี้
1.ชาวนานำข้าวมาจำนำในโครงการ โดยเฉลี่ยประมาณครึ่งหนึ่ง ของผลผลิตรวมในประเทศ ฉะนั้น จึงยังมีข้าว อยู่ในตลาดอีกกว่าครึ่ง ซึ่งเอกชนสามารถค้าขายได้ตามปกติ
2.ข้าวในส่วนที่เข้ามาอยู่ในมือของรัฐบาล ประมาณครึ่งหนึ่งของผลผลิตนั้นก็นำออกระบายตามระบบการประมูล และยุทธศาสตร์การระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ โดยมุ่งที่จะให้มีการแข่งขันในเรื่องราคา และมีพ่อค้าเข้าร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมาก จึงไม่ใช่การผูกขาด
3.โครงการรับจำนำข้าว เป็นการทำให้ตลาดข้าวโลกมีความเข้มแข็ง และเป็นธรรมมากขึ้น ไม่ใช่การทำลายกลไกตลาด และยังส่งผลให้ราคาข้าวไทยในตลาดสูงขึ้น
จากการดำเนินการดังกล่าว จะเห็นได้ว่า รัฐบาลไม่ได้ผูกขาด ตลาดการค้าข้าว และไม่ได้ก่อให้เกิดการทุจริตแต่อย่างใด
5.กรณีข้าวหาย ข้าวปลอมปน ข้าวเสื่อม ไม่ใช่ความเสียหายต่อรัฐ
รัฐบาลดิฉัน โดย กขช.ได้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ โดยกำหนดตัวผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน ตามลักษณะของสัญญา ซึ่งสอดคล้องกับรายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชี ของนางสาวสุภา ที่ระบุว่า หากมีการสูญหาย หรือสินค้าเสื่อมคุณภาพ เพราะความบกพร่อง หน่วยงานดังกล่าว จะต้องชดใช้ให้แก่รัฐ จากหลักประกันที่วางไว้ ในอัตราร้อยละร้อย ของมูลค่าสินค้าในคลังสินค้า
ท่านประธานสภา และสมาชิกสภานิติบัญญัติ ดิฉันขอใช้เวลาสรุปอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า ดิฉันได้ดำเนินการอะไรไปบ้าง เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ดังนี้
1.การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวนั้น เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ไม่มีการละเลย ต่อนโยบายปราบปรามการทุจริต แต่ประการใด
2.การดำเนินการโครงการเป็นไปในรูปแบบของ มติคณะรัฐมนตรี และมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยไม่ได้ดำเนินการโดยลำพังในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี หรือในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ
3.ดิฉันและคณะรัฐมนตรี ไม่เคยละเลยปัญหาการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพราะเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ดิฉันได้ให้นโยบายที่จะป้องกันปัญหาการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวว่า ให้เป็นไปโดยโปร่งใสและตรวจสอบได้
4.คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้มีมติ 13 ข้อ เพื่อเป็นมาตรการป้องกันการทุจริต และมีการออกมาตรการเสริม และมาตรการเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการทุจริต รวมทั้งตั้งคณะทำงาน เพื่อตรวจสอบปัญหาการทุจริต
มีการตั้งคณะทำงานในการตรวจนับสินค้าคงเหลือทั่วประเทศ ภายหลังได้รับทราบรายงาน คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ รวมทั้งคำสั่งตั้งคณะทำงาน (ที่มีร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เข้ามาตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการดำเนินคดีไปแล้ว
...
https://www.youtube.com/watch?v=TcPGLzrVrQg
Credit MaysaaNitto
ที่มา Voice TV
คดีถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (23ม.ค.58)ไม่ใช่แค่เหตุการณ์สำคัญ ในทางการเมืองเท่านั้น แต่จะเป็นอีกบันทึกหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมไทย เราไปย้อนดูเส้นทางของคดีนี้
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในปี 2556 คือจุดเริ่มต้น ของเส้นทางคดีรับจำนำข้าว เมื่อญัตติอภิปรายครั้งนั้น นำไปสู่การยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ให้แก่บริษัทรัฐวิสาหกิจของจีน โดยมีข้อกล่าวหาต่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในความผิดทางอาญา พร้อมพวกรวม 15 ราย
ทั้งหมดถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา ในปลายเดือน มกราคม 2557 ตามมาด้วย มติให้ตั้งกรรมการไต่สวน ขยายผลไปถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และวันที่ 8 พฤษภาคมปีเดียวกัน ป.ป.ช.มีมติ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดอาญา อดีตนายกรัฐมนตรี และให้ดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่ง
ท่ามกลางข้อสงสัยจากฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา เรื่องความเป็นธรรม และเร่งรัด กระบวนการไต่สวน หลัง ป.ป.ช.ตัดพยานบุคคล พยานเอกสาร การอ้างพยานฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ในข้อกล่าวหา และชี้มูลความผิดฐานปล่อยปละละเลย ด้วยมาตรา 157 นอกเหนือจากสำนวน ที่กล่าวหาว่ามีการทุจริต กระทั่งการปฏิเสธ คำขอเปลี่ยนตัว นายวิชา มหาคุณ จากการเป็นเจ้าของสำนวน หลังให้สัมภาษณ์ชี้นำคดีและวางตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ถูกกล่าวหา
นอกจากนี้ ขั้นตอนการถอดถอน เกิดข้อโต้แย้ง เรื่องอำนาจของ สนช. ซึ่งไม่มีกฎหมายมาตราใดให้อำนาจไว้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 ที่อ้างเป็นข้อกฎหมายเอาผิดและถอดถอน สิ้นสภาพไป หลังการยึดอำนาจ ในที่สุด สนช.มีมติ ออกข้อบังคับให้ตัวเองมีอำนาจถอดถอนได้ โดยอ้างพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ไม่อยู่แล้ว
ขณะที่อีกเส้นทางหนึ่ง คือ การฟ้องคดีอาญา กับนางสาวยิ่งลักษณ์ อัยการสูงสุด ตีกลับสำนวนชี้มูลของ ป.ป.ช.ให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม รวมถึงประเด็นจีทูจี โดยมีคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุด และ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ ความเห็นระหว่าง 2 องค์กร ยังไร้ข้อสรุป
ล่าสุด หลังการชี้มูลความผิดนายบุญทรง และพวก เพียง 2 วันก่อนหน้าลงมติถอดถอน ฝ่าย ป.ป.ช.ออกมาเปิดเผยว่า คณะทำงานร่วม พิจารณาข้อไม่สมบูรณ์เสร็จแล้ว และ 2 ฝ่ายเห็นพ้องให้ฟ้องอาญากับนางสาวยิ่งลักษณ์ ตรงกันข้ามกับฝ่ายอัยการสูงสุด ซึ่งยืนยันว่า ยังไม่เคยมีการประชุมนัดสุดท้าย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีมติ เห็นพ้อง ตามที่ฝ่าย ป.ป.ช.กล่าวอ้าง
ooo
โฉมหน้าพยานคดี #จำนำข้าว
ฝั่ง ปปช.
---------------------------------
คดีจำนำข้าว
ปปช.ใช้พยานเพียง 7 ปาก
ซึ่งในจำนวนนั้น ไม่มีชาวนา
หรือตัวแทนจากชาวนา!! เลยสักคนเดียว
-----------------
- 1 ในนั้นคือ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน #อภิสิทธิ์_เวชชาชีวะ
- 1 ในนั้นคือ หมอสูติฯ,สส.ฝ่ายค้าน #วรงค์_เดชกิจวิกรม
- 1 ในนั้นคือ อนุฯปิดบัญชีจำนำข้าว ซึ่งเป็นคนสนิท นายกรณ์ สมัยเป็น รมว.คลัง ซึ่งปัจจุบันได้ดิบได้ดีไปเป็น ปปช.ด้วยนะเออ! #สุภา_ปิยะจิตติ (เจ้คนนี้แหละที่คอยเขี่ยลูกให้ ปปช/สื่อตลอด)
- 1 ในนั้นคือ พ่อค้าข้าวส่งออก #วิชัย_ศรีประเสริฐ
- 1 ในนั้นคือนักวิชาการที่เคยรับเงินทุนจาก ปปช ไปทำงานวิจัยข้าว จนเป็นที่มาของโครงการประกันราคาในสมัยอภิสิทธิ์ แถมยังได้ไปนั่งประชุมลับ คณะกรรมการข้าว สมัยมาร์คเป็นนายกด้วยนะเออ #นิพนธ์_พัวพงศกร
- 1 ในนั้นคือ แกนนำม็อบชาวนาที่เข้าร่วมกับ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ วีรกรรมเคยร่วมกับพุทธอิสระปิดสถานที่ราชการ,ปิดถนน จนนำมาซึ่งการขวางการเลือกตั้งในที่สุด #ระวี_รุ่งเรือง
- 1 ในนั้นคือ คณะกรรมการผู้ตรวจเงินแผ่นดิน องค์กรเถื่อนนอก รธน. ครั้งหนึ่งสมัยม็อบ กกปส พุทธอิสระบุก สตง ลุงแกก็ยิ้มแก้มปริ ออกมาตอนรับขับสู้รับหนังสือด้วยตัวเอง แถมยังมีภาพหวานชื่นมอบ พวงมาลัยดอกมะลิ ให้พุทธอิสระ #ประจักษ์_บุญยัง
---------------
ตลกไหมคะ พยานทั้ง 7 ปาก ล้วนแล้วแต่เป็น ปรปักษ์
กับ #ยิ่งลักษณ์ และตระกูล #ชินวัตร มาโดยตลอด...
บางคนนี่เป็น #พ่อค้าข้าว ซึ่งอยู่เบื้องหลังวงจรอุบาท
ขูดเลือด เอารัดเอาเปรียบชาวนามาโดยตลอด
แต่กลับไปเป็นพยานในคดีนี้...
ประเทศไทย มีประชากรที่เรียกว่า #ครอบครัวชาวนา
อยู่กว่า 23 ล้านคน....
แต่กลับไม่มีสักคน ที่ได้เข้าร่วมเป็น #พยาน ในคดีนี้
ทั้งที่พวกเค้า.... มีส่วนได้-เสีย จากโครงการนี้โดยตรง
แต่ ปปช กลับเปิดโอกาสให้...
พรรคฝ่ายแค้น
พ่อค้าข้าว
องค์กรเถื่อน
ฯลฯ
เข้ามาเป็นพยานในคดีนี้.....
#ถุย!!
#ตลกไหมคะ !!! ???
(cr.มิตรสหายท่านหนึ่ง)
ที่มา FB SunaiFanClub