วันจันทร์, มกราคม 19, 2558

เปิดแผนรัฐ "ล่าสุดขอบฟ้า!" “นักโทษแดง”



ที่มา แนวหน้าออนไลน์
วันอังคาร ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ยังคงเป็น “หอกข้างแคร่” คอยทิ่มแทง สร้างความรำคาญใจให้กับรัฐบาลสำหรับบรรดาผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญา “มาตรา 112” หรือพวก “หมิ่นสถาบัน” ที่ส่วนใหญ่หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ยังปฏิบัติการ “ป่วน” รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ก็เล่นเอาสั่นสะเทือนไปทั้งทำเนียบรัฐบาล ภายหลัง “จอม เพชรประดับ” ออกมาปล่อยข่าวอัปมงคลทุบหุ้นไทยจน “แดง” ไปทั้งกระดาน

ล่าสุด เอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ออกมาโพสต์ภาพโชว์ “พาสปอร์ต” นิวซีแลนด์ จนทำให้ “เต้น” กันไปทั้งรัฐบาล ถึงขั้นต้องขอคำชี้แจงจากอุปทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย เกี่ยวกับ“สถานะ” ของผู้ต้องหารายนี้ ซึ่งใช้ประโยชน์จากการได้รับสถานะที่ได้รับจากรัฐบาลนิวซีแลนด์เคลื่อนไหวทางการเมืองและกระทบต่อความมั่นคงไทย ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ไทยและนิวซีแลนด์

ปฏิบัติการป่วนที่เหล่า “วายร้าย 112” ปล่อยออกมาเป็นระยะ ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล จนทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกอาการ “ฮึ่มๆ” สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งนำตัวผู้กระทำผิดทั้งในและนอกประเทศมาลงโทษให้ได้ โดยเป้าหมายสำคัญ “จี้” ไปยังผู้กระทำผิดมาตรา 112 ที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ แล้วใช้เป็นฐานที่มั่นในการโจมตีสถาบันผ่านช่องทาง “โซเชียลเนตเวิร์ก”

งานนี้ “บิ๊กตู่” ตระหนักดีว่าการดำเนินการขอส่งตัวผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในต่างประเทศไม่มีกฎหมายลักษณะนี้ และบางประเทศไม่มีกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดน รวมถึงปัญหาเรื่ององค์กรสิทธิมนุษยชน จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเดินเกม “บนดิน” ด้วยการเปลี่ยนจากคำว่า “ส่งผู้ร้ายข้ามแดน” มาใช้คำว่า “ผู้ที่มีความผิดตามกฎหมายของไทย” เพื่อหวังลบข้อกล่าวอ้างของบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่มักให้เหตุผลว่า “ไม่มีกฎหมายเช่นนี้” ทุกครั้งที่ทางการไทยร้องขอ

สำหรับหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพ “ล่า” วายร้าย 112 ทั้งระบบ คือ กระทรวงยุติธรรม ที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา นั่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งได้กำหนดแนวทางดำเนินการกับวายร้ายเหล่านี้ โดยตั้งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มติดตามคดีเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดกลับมาดำเนินคดีในประเทศ 2.กลุ่มดำเนินการกับการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียล ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงไอซีที และ 3.กลุ่มที่ต้องดำเนินการเกี่ยวกับงานต่างประเทศในด้านการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรา 112 ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีการเมือง

ในส่วนของ “กองทัพ” ก็ได้มีการปรับแผนการทำงานทั้งบนดิน และ “ใต้ดิน” โดยแยก “บัญชีดำ” กลุ่มผู้กระทำผิดมาตรา 112 ออกเป็น 2 ประเภท คือ “พวกที่เคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศ” อาทิ จักรภพ เพ็ญแข, ใจลส์ (ใจ) อึ๊งภากรณ์, ตั้ง อาชีวะ, จรรยา ยิ้มประเสริฐ, ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ “โรส”, อั้ม เนโกะ, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และล่าสุดก็จอม เพชรประดับ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วคนพวกนี้จะใช้ช่องทางโซเชียลเนตเวิร์กเข้ามาแสดงความเห็นได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเข้าถึงกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย และเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว

“เรื่องคลิปวีดีโอ หรือการโพสต์ข้อความเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย ถือเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก ถึงแม้ที่ผ่านมา รัฐบาล คสช. กองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังติดปัญหาทางเทคนิคบางประการ” แหล่งข่าวจากกองทัพบก กล่าว

ทั้งนี้ กองทัพได้ส่งรายชื่อดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทางกฎหมายแล้ว แต่ยอมรับว่าความแตกต่างของกฎหมายในแต่ละประเทศเป็น “อุปสรรค” ที่ไม่สามารถนำคนเหล่านี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายไทยได้ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลและกองทัพจะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขอความร่วมมือ และทำความเข้าใจชี้แจงกับต่างประเทศถึงการเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้นว่าเป็นการ “สร้างความแตกแยก” และถือเป็น “ภัยต่อความมั่นคง” เนื่องจากมีการดึงสถาบันมาใช้ในการเคลื่อนไหว แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนอง

“สิ่งหนึ่งที่กองทัพให้ความสนใจและติดตาม คือ เรื่องค่าใช้จ่ายของกลุ่มคนดังกล่าวในขณะที่อยู่ในต่างประเทศ เพราะจากการตรวจสอบประวัติ ฐานะการเงินอย่างกรณีของ ตั้ง อาชีวะ ถือว่าเขาไม่ใช่คนร่ำรวย ดังนั้นต้องมีบุคคล หรือกลุ่มคนที่คอยสนับสนุนด้านการเงินอยู่เบื้องหลัง” แหล่งข่าวจากกองทัพบก ตั้งข้อสังเกต

กลุ่มต่อมา คือ “พวกที่เคลื่อนไหวในประเทศ” ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกที่ฝักใฝ่พรรคการเมือง โดยจะเคลื่อนไหวจาบจ้วงเบื้องสูง ควบคู่ไปกับการ “ต้านรัฐประหาร” รวมถึงกลุ่มนักวิชาการที่เคยออกมาเคลื่อนไหวให้มีการรณรงค์ยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในช่วงที่ผ่านมา

การกระทำความผิดภายใต้ “กฎอัยการศึก” ถือว่าทหารมีอำนาจเต็มที่ในการติดตาม ควบคุมตัว ผ่าน 2 ช่องทาง คือ กองทัพบก ซึ่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้สั่งให้ติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มคนเหล่านี้อย่างใกล้ชิด ผ่านศูนย์ปฏิบัติการพิเศษกองทัพบก(ศปก.ทบ.)

อีกส่วน คือ คสช. โดย พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย(กกล.รส.) ได้กำชับให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยระดับกองทัพภาคเข้มงวด ในการจัดการกับคนที่หมิ่นสถาบันในพื้นที่ที่รับผิดชอบแล้ว

แหล่งข่าวผู้นี้กล่าวด้วยว่า สิ่งที่กองทัพดำเนินการในขณะนี้ คือ ยึดปฏิบัติตามกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่การไล่ล่า หรือ “หมายหัว” ใคร แต่ถ้าใครทำผิด หรือได้รับเบาะแสจากประชาชน ในฐานะเจ้าหน้าที่ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะพบผู้กระทำผิดในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1, 2 และ 3 โดยจากการปฏิบัติในช่วงที่ผ่านมาสามารถจำแนกกลุ่มคนที่กระทำความผิดได้ 2 ประเภท คือ เป็นกลุ่มคนที่มีความคิด “สุดโต่ง” ต้องควบคุมตัวจับขึ้นศาลทหารอย่างเดียว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ พอจะพูดคุยทำความเข้าใจ “ปรับทัศนคติ” ได้

“บางครั้งเจ้าหน้าที่เคยถามว่าที่ผ่านมาพระองค์ท่านเคยทำอะไรให้ไม่พอใจ เขาก็ตอบไม่ได้ บอกแค่ว่าที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และชื่นชอบพรรคการเมืองบางพรรค บางคนเราให้อ่านพระบรมราโชวาทของในหลวง รวมถึงให้ดูพระราชกรณียกิจ บอกให้เขาท่องจำให้ขึ้นใจ แล้วให้ทำข้อสอบให้ผ่านเกณฑ์ จากนั้นก็ให้เซ็นสัญญาว่าจะไม่ทำอีก เพื่อให้ซึมซับในสิ่งดีๆ ที่สถาบันทำไว้ให้กับคนไทย เพราะจุดประสงค์ของกองทัพอยากแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าปลายเหตุ” แหล่งข่าวจากกองทัพบก กล่าว

การกระทำความผิดมาตรา 112 เกิดขึ้นมาตั้งแต่รัฐบาลยุคก่อนๆ ที่ดูเหมือนจะ “เกียร์ว่าง” ปล่อยวางทำ “หูทวนลม” จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบันที่ดูจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่ากลุ่มคนเหล่านี้ที่รัฐบาลถือเป็นภัยต่อสถาบัน และความมั่นคงของชาติ จะถูก “จัดการ” ได้มากน้อยเพียงใดภายใต้ “รัฐบาลทหาร” ที่มี “อำนาจ” เต็มมือ

SCOOP@NAEWNA.COM
ooo

ปฏิบัติการไล่ล่า “นักโทษแดง” “จารุพงศ์-จักรภพ” ใกล้จนตรอก


ปฏิบัติการไล่ล่า “นักโทษแดง” “จารุพงศ์-จักรภพ” ใกล้จนตรอก

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
โดย ทีมการเมือง
17 มกราคม 2558

ตั้งแต่ทำรัฐประหารเหมือน “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะควบคุมความเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง” ภายในประเทศได้อยู่หมัด บรรดาสมุนแดง-ไพร่แดง ที่ออกมาก่อกวนบ้านเมืองมาหลายปีหันหลังกลับเข้าที่ตั้งเกือบหมด เพื่อเฝ้ารอเวลาที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี คืนอำนาจให้ประชาชน

แนวรบ-แนวร่วมของ “คนเสื้อแดง” ที่มักออกมาป่วนบนท้องถนนถอยไปตั้งรับคอยป่วนในโลกโซเซี่ยลมีเดียแทน เพื่อปล่อยข่าวลือด้านลบของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” หรือข่าวลบเกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ปมเพาะขบวนการ “แดงล้มเจ้า” ให้แข็งแรงต่อไป

ส่วนแนวร่วม “คนเสื้อแดง” ตามหัวเมืองทั้งในภาคเหนือ-ภาคอีสาน ยังคงขยับตัวเคลื่อนไหวได้ลำบาก เพราะ “บิ๊กตู่” สั่งการให้ “กองทัพภาค” จับตาบรรดา “หัวขบวน” ที่มีรายชื่ออยู่ใน “แบล็คลิสต์” ของ “กองทัพ” ชนิดตามเกาะติดเกือบทุกความเคลื่อนไหว ทำให้ปลุกระดมได้ลำบาก

แต่หาก “กองทัพ” ปลดล็อคกฎเหล็ก “อัยการศึก” เมื่อไรมีหวังแนวรบ-แนวร่วม “คนเสื้อแดง” กลับมาเคลื่อนไหวจู่โจมทั้งบนดินและใต้ดินชนิด “จัดเต็ม” ได้ทันที ไม่ให้เสียเวลา-ไม่ให้รัฐบาลได้ตั้งตัว

แต่ปัญหาของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ที่แก้เท่าไรก็ไม่ตกคือการติดตามตัว “ผู้กระทำผิดมาตรา 112” และ “นักรบแดง” มาดำเนินคดีให้เป็นตัวอย่าง เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดูแทบไม่ได้เลยสักคน

ส่วนหนึ่งเพราะความมือระหว่างประเทศของนานาประเทศแทบจะไม่มีให้เห็น แม้ “บิ๊กตู่” พยายามจะทอดมิตรและปรากฎตัวในวงประชุมระดับโลกหลายครั้ง แต่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศแค่ “ฉากหน้า” เท่านั้น แต่ “ฉากหลัง” แล้ว แทบไม่มีประเทศยอมรับไทยได้เลย

นอกจากนี้การทำความเข้าใจกับ “องค์กรระหว่างประเทศ” ให้เข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้อง “ยึดอำนาจ” การบริหารประเทศจาก “รัฐบาลปูแดง” ยังดำเนินการได้น้อยมาก แถมยังไม่สามารถทำให้นานาประเทศเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงได้

เกือบทุก “รัฐบาล” ของนานาประเทศยังคงทำหนูทวนลมอยู่ เมื่อเห็นหนังสือที่ “กระทรวงการต่างประเทศ” ส่งไปเพื่อขอความร่วมมือเกี่ยวกับการขอตัวผู้กระทำผิดมาตรา 112 มาดำเนินคดีในประเทศไทย

โดยเฉพาะกรณีของ “เอกภพ เหลือรา” หรือ “ตั้ง อาซีวะ” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ได้ “สถานะภาพผู้หลี้ภัยทางการเมือง” จาก “สำนักงานใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยทางการเมือง” (UNHCR) ซึ่งเป็นหน่วยงานลูกของ “สหประชาชาติ” หรือ (UN)

หน่วยงานความมั่นคง วิเคราะห์ว่า ยูเอ็นเอชซีอาร์เจตนาที่จะช่วยเหลือบรรดาผู้ต้องหาคดี 112 อยู่แล้ว เพราะยูเอ็นเอชซีอาร์ไม่เห็นด้วยที่ประเทศไทยยังมีกฎหมายอาญามาตรา 112 บังคับใช้อยู่ และที่ผ่านมา “คนเสื้อแดง” พยายามใช้ช่องทางของยูเอ็นเอชซีอาร์ฟ้องร้องคดีสลายการชุนนุมปี 2553 มาโดยตลอด

และพยายามเอาผิด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กทหาร” ที่ร่วมวงอยู่ใน “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.) ให้จงได้ แต่ยังติดขัดปัญหาหลายอย่าง

ที่สำคัญก่อนหน้านี้ “ยูเอ็นเอชซีอาร์” ได้ให้สถานภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองกับ “แกนนำคนเสื้อแดง” และ “ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน” ไปหลายรายแล้ว

ความสำคัญของสถานภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองคือ หากผู้มีสถานะดังกล่าวแล้วเดินทางไปยังประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จะได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ โดยไม่ผิดกฎหมายของประเทศนั้น สรุปคือไม่ถือเป็นผู้หลบหนี้เข้าเมือง สถานะนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “ตั้ง อาชีวะ” ได้รับการรับรองให้เป็นพลเมืองของประเทศนิวซีแลนด์ไปโดยปริยาย

แบบที่คนธรรมดาไม่มีคดีติดตัวยังทำไม่ได้

มีการวิเคราะห์ว่า “นิวซีแลนด์” คงไม่ได้พิจารณาว่า “ตั้ง อาชีวะ” ติดโทษคดีหมิ่นสถาบัน แต่มองเพียงว่า “ตั้ง อาชีวะ” มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง จึงให้สถานะ “พลเมือง” โดยที่ไม่ได้พิจารณาประเด็นอื่น

นอกจากนี้หน่วยงานความมั่นคง ยังคงตามแกะรอยปริศนาที่มีข่าวหลุดออกมาว่ามี “เอ็นจีโอ” บางองค์กรที่คอยให้ความช่วยเหลือ “แกนนำคนเสื้อแดง” และ “ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน” อยู่

ว่ากันว่าเป็น “เอ็นจีโอ” ระดับ “บิ๊กเนม” ซึ่งบางรายยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่มีหลายรายที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ มีส่วนสำคัญที่ช่วยเหลือทั้งทุนทรัพย์และการันตีสถานะของคนกระทำผิด

โดยล่าสุดมีกระแสข่าวออกมาหนาหูว่า “ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน” ระดับ “ตัวแม่” อาทิ “จักรภพ เพ็ญแข - จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” เป็นต้น ไม่ได้หนีไปไหนไกล แต่ยังอาศัยประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่ซุกหัวนอน แถมยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ไทยไว้วางใจมาโดยตลอด

“สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” คือดินแดนที่ “นักโทษแดง” ปักหมุดเช็อินอยู่ในตอนนี้ อาศัยช่องทางระหว่าง “ลาว - กัมพูชา” ที่มีภูมิประเทศชายแดนติดกันกระโดดข้ามไปมาระหว่าง 2 ประเทศ

เรื่องของเรื่องก็มาจากความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐบาลบิ๊กตู่” กับ “นายกฯฮุนเซน” ผู้นำกัมพูชา ที่อิ๋อ๋อชื่นมื่นขึ้นตามลำดับ “นักโทษแดง” จึงกระโดดหนีข้ามไปอาศัยร่มเงาของ “ลาว” แทน แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่ “นักโทษแดง” อาศัยจังหวะที่ “รัฐบาล” เผลอ ข้ามเขตแดนมา “กัมพูชา” เพราะมีพรรคพวกเพื่อนฝูงและธุรกิจบางส่วนที่ต้องดูแล

มีรายงานข่าวออกมาว่า “รัฐบาลไทย” ได้ส่ง “ทหาร” ระดับฝีมือดีใน “กองทัพ” ออกไปไล่ล่า “นักโทษแดง” ให้กลับมารับโทษในเมืองไทยให้ได้ แต่กลับคว้าน้ำเหลวกลับมาทั้ง 2 ครั้งที่แอบซุ่มเข้าไป

โดยเชื่อว่ามี “หน่วยทหาร” ของลาว คอยให้ความช่วยเหลือบรรดา “นักโทษแดง” ในทางลับอยู่ และคอยบอกเส้นทางหนีไม่ให้เจอกับ “ทหารไทย” ได้ เพราะก่อนที่จะส่งทหารเข้าไป “หน่วยข่าวกรอง” สืบรู้พิกัดที่อยู่ของ “นักโทษแดง” เกือบทั้งหมด

ฉะนั้นหากบรรดา “นักโทษแดง” หลบหนีไปได้ ไม่ต้องไปสงสัยใครที่ไหนให้ไกล ฟันธงได้เลยว่า “เจ้าหน้าที่ลาว” มีส่วนเอี่ยวอย่างแน่นอน เพราะต้องเข้าใจว่าเดิม “ลาว” ถือเป็น “คอมมิวนิสต์” จึงมีความเป็นไปได้ที่จะให้ความช่วยเหลือกับ “เศษคอมมิวนิสต์” จากประเทศไทย

ตอนนี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จึงเปลี่ยนเกมเล่น ดอดติดต่อ “บิ๊กรัฐบาลลาว” เพื่อขอเข้าพื้นที่อย่างเป็นทางการในการค้นหา “นักโทษแดง” กลับมาลงโทษ เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูให้ได้

และเหมือนจะเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานจะได้ตัว “นักโทษแดง” กลับมาดำเนินคดีอย่างแน่นอน