ที่มา Thai Voice Media
MON, 01/12/2015 - 01:34 JOM
เรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนหลายด้านต่อประเทศไทย สำคัญที่สุดคือ ความน่าเชื่อถือหรือ เครดิตของประเทศไทย ที่ดูเหมือนจะมีอยู่น้อยนิดในสายตาของนานาชาติ ขณะที่เดียวกัน ยังสะท้อนภาพให้เห็นว่ายังมี คนไทยบางกลุ่ม บางจำพวกที่ไม่ยอมรับความจริงนี้ว่าถูกปิดหูปิดตา รวมทั้งยอมปิดหูปิดตาตัวเอง
อย่างไรก็ตาม Thaivoicemedia เห็นว่า เรื่องราว การหนีร้อนไปพึ่งเย็น หรือการหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุนจากแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน ของ ตั้ง อาชีวะ จนได้รับการปกป้องคุ้มครองจากแผ่นดินของบ้านเมืองอื่น เขาต้องเผชิญกับวิบากรรม และเสี่ยงเป็น เสี่ยงตายอย่างไรบ้าง นี่คือ เส้นทางหนีตายจากบ้านเกิด ของตั้ง อาชีวะ สู่บ้านหลังใหม่ “นิวซีแลนด์”
“หลังจากที่ผมเป็นแกนนำขึ้นพูดบนเวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่ สนามกีฬาราชมังคลาฯ ในปี 2556 แล้ว กระแสการเคลื่อนไหวช่วงนั้น สร้างความตื่นตัว และสร้างพลังให้กับเด็กอาชีวะทั่วประเทศอย่างมาก ดังนั้น พวกทหารหรือผู้มีอำนาจ ก็กลัวการเคลื่อนไหวของเด็กอาชีวะทั่วประเทศ จะเป็นพลังที่จะเอาไม่อยู่ เขาจึงคิดที่จะกำจัดผม” ตั้ง อาชีวะ เริ่มบทสนทนา ถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขา กลายเป็น บุคคลที่รัฐบาลเผด็จการไทย ต้องการตัวมากที่สุด
“เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2556 ผมก็เลยหนีไปเชียงใหม่กับแฟน ครั้งแรก ตั้งใจจะไปตั้งหลักก่อน ไปอยู่ชายแดนเพื่อคิดแผนว่า หากจะหนี จะหนีไปประเทศไหนได้บ้าง และคิดว่าหนีไปอยู่เชียงใหม่ เพื่อให้เรื่องมันเงียบไปสักพัก แต่เรื่องกลับไม่เงียบ ตำรวจตามล่าผม และมีการประกาศล่าแม่มดไปทั่วประเทศ”
“ผมห็นข่าวจากทีวีมีประกาศตามหาตัวผมอยู่ จึงคิดว่า ต้องหาทางหนีออกนอกประเทศ เพราะถ้าอยู่ในประเทศต่อไป ไม่ปลอดภัยต่อชีวิตแน่นอน จึงได้เดินทางไปติดต่อทำหนังสือเดินทางที่เชียงใหม่ และเมื่อถึงวันที่จะไปรับหนังสือเดินทาง คือวันที่ 13 ธันวาคม 2556 แต่เมื่อเห็นข่าวประกาศจับผมทางทีวี.แล้ว เห็นว่าไม่ ปลอดภัยแน่นอน ก็เลยตัดสินใจไม่ไปรับหนังสือเดินทาง”
“และตัดสินใจเสี่ยงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้ง เพื่อเข้ามาเคลียร์ของบางอย่างที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นที่บ้านผมในกรุงเทพฯ ก็ถูกปาระเบิด ถูกยิงขู่ จนพ่อแม่พี่น้องต้องหนีย้ายออกไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยกันหมด ขณะเดียวกันก็มีข่าวประกาศจับผมออกไปทั่วประเทศแล้ว ผมเลยปลอมตัวเป็นผู้หญิง เดินทางเข้ากรุงเทพมากับแฟนทำเหมือนเป็นเพื่อนกัน ซึ่งตอนนั้นมี การตั้งค่าหัวผมแล้วด้วย ผมมาอยู่ที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้น ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากนักการเมือง หรือแกนนำเสื้อแดงคนใดเลย เพราะแต่ละคนกลัวจะมาติดร่างแหกับผม”
“ตอนนั้น บอกได้เลย ผมน้ำตาตกใน ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้แต่ว่าจะต้องหนีออกนอกประเทศให้เร็วที่สุด ผมก็บอกกับแฟนว่าจะทิ้งผมเลยก็ได้ เพราะเธอไม่ได้ติดร่างแหอะไร หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่เธอยืนยันจะไม่ยอมทิ้งผม เราจึงวางแผนที่จะหนีออกจากกรุงเทพฯอีกครั้ง”
“วันที่ 29 ธันวาคม 2556 จำเป็นต้องแปลงตัวเป็นกระเทยควาย พร้อมแฟนทำตัวเป็นเพื่อนซี้กัน นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพ ไป จันทบุรี ทำตัวประหนึ่งว่าจะไปเล่นการพนันที่บ่อนในเขมร เมื่อไปถึงขายแดนเขมร ก็นั่งแท็กซี่ เข้ากรุงพนมเปญ”
“สถานที่แรกที่ผมไปคือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชา เพื่อขอทำเรื่องขอลี้ภัย เมื่อทำเรื่องไว้แล้ว แต่ก็ต้องรอนานจนกว่าจะได้รับการอนุมัติ ขณะที่รอ ก็ต้องอยู่ในกัมพูชาไปก่อน ซึ่งตอนแรกที่อยู่ใน พนมเปญ ก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ แต่ก็ถือว่าปลอดภัย และสบายใจ และโล่งใจมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกตามล่าเหมือนอยู่ในเมืองไทย”
“ จนกระทั่งวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งเป็นวันที่เกิดรัฐประหารในประเทศไทย ตอนนั้น ผมกับแฟน มาอยู่ที่จังหวัด สีหนุวิว พักอยู่ที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง เจ้าของเป็นกัมพูชา ชื่อว่า โกโฮง เป็นนักธุรกิจ ต่อมาก็เขาก็เป็นเพื่อนกับผม เพราะเขาชอบดูข่าวการเมืองในประเทศไทย เขาชอบเสื้อแดง เขาเดินทางไปมา ติดต่อธุรกิจกับไทยเป็นประจำ และต่อมา วันที่ 25 มิถุนายน 2557 โกโฮง ถูกตำรวจไทยจับที่เมืองไทย ตำรวจไทยอาจจะเจอภาพผมในมือถือของ โกโฮง ก็ได้ เขาก็เลยโทรมาหาผมที่กัมพูชา และขอร้องให้ผมมอบตัวกับทางการไทย โดยเขาบอกผมว่า ลูกเมียเขา ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ ระยอง ถ้าผมไม่ยอมมอบตัวและกลับไทย ครอบครัวเขาลำบากแน่ อีกทั้งธุรกิจเขาก็จะเสียหายอย่างมากด้วย”
“ขณะเดียวกัน เกสต์เฮาส์ของเขา ที่ผมพักอยู่ ก็มีตำรวจกัมพูชามาสอบถาม อยู่บ่อยครั้ง และรัฐบาลไทยก็ส่งหน่วยสืบราชการลับมาพักอยู่ด้วย ผมเห็นว่า ถ้าอยู่ต่อไป ผมโดนจับแน่ จึงแกล้งทำเป็นยินยอมกับ โกโฮงว่า ผมจะมอบตัวกับทางการไทย เขา จึงได้เดินทางมากัมพูชา และได้พูดคุยกันโดย โกโฮง พยายามที่จะกล่อมผมให้มอบตัวกับทางการไทยให้ได้ และยังยืนยันกับผมว่า เมื่อมอบตัวแล้ว จะมีผู้ใหญ่ที่เมืองไทยให้การช่วยเหลือไม่ให้ติดคุก และบอกว่า ปลอดภัยแน่นอน”
“ตอนนั้นผมเชื่อว่า ทางการไทยต้องการจับ เป็น ไม่มีสัญญาณว่า จะจับตาย แต่อย่างใด ตลอดเวลาที่เราพูดคุยกัน ผมรู้ว่า มีการบันทึกทั้งภาพและเสียง ส่งให้กับ ตำรวจไทยตลอดเวลา ผมจึงนัดว่า จะมอบตัววันรุ่งเช้า ขอให้มั่นใจ ตอนที่คุยกันประมาณ 4 ทุ่มแล้ว”
“หลังจากที่คุยกับเพื่อนกัมพูชาแล้วประมาณตีสี่ ผมกับแฟนก็เตรียมจัดกระเป๋า พร้อม กับ มอร์เตอร์ไซด์ 1 คัน ขับออกจากเกส์ต์เฮาส์ทันที ขับมอร์เตอร์ไซด์ไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นมืดแปดด้านไม่รู้จะไปไหนดี ไม่มีแผนที่ด้วย แฟนก็ร้องไห้ แต่เขายืนยันที่จะไม่ทิ้งผม ผมขับมอร์เตอร์ไซด์ ไปเรื่อยๆ ได้น่าจะมากกว่า 100 กิโล เมตร จนมาถึงพรหมแดนกัมพูชา – เวียตนาม น่าจะเป็น จังหวัด ไสวเรียง ซึ่งตอนนั้นคิดว่า จะหนีไปเวียตนาม แต่คิดว่าคงไม่ได้ เพราะเวียตนาม ไม่ให้สิทธิกับผู้ลี้ภัยการเมือง และเป็นประเทศคอมมินิสต์ด้วย มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่ด้วยเหมือกัน จึงอยู่ที่ชายแดน ประมาณ 5 วันเลยตัดสินใจ กลับเข้ามาที่ พนมเปญ อีกครั้ง ครั้งนี้มาถึงก็เข้าไปหา หน่วยงานด้านการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ของ ยูเอ็น ที่พนมเปญ และทำเรื่องขอลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่สามเลย ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง เขาเห็นใจและเข้าใจผมมาก ผมจึงได้ทำเรื่องขอลี้ภัยมา นิวส์ซีแลนด์”
“จากนั้นเมื่อ นิวส์ซีแลนด์ตอบรับที่จะให้ ลี้ภัย ผมก็ขึ้นเครื่องจาก พนมเปญ มายังนิวส์ซีแลนด์ทันที ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเกือบปี “
“ก่อนหน้านั้นที่มีข่าวว่า ผมอยู่ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือ แคนนาดา นั้นเป็นการ สับขาหลอก เพื่อความปลอดภัยของผมเท่านั้น รวมทั้ง มีข่าวว่าผมถูกวิสามัญฆาตกรรม ที่ท่าเรือ สีหนุวิว ก็เป็นข่าวเท็จ ด้วยเหมือนกัน”
“ชีวิตผมนับจากนี้ไป ก็คงจะผูกพันอยู่กับประเทศนิวส์ซีแลนด์มากกว่าประเทศไทยแล้วละ จะไม่หันหลังกลับประเทศไทยอีกแล้ว หากยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ผมจะสร้างตัวเอง สร้างครอบครัว อยู่ที่นี่ รวมทั้งหากมีเวลาจะศึกษาเพิ่มเติมด้านกฎหมายการเมือง”
“ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เมืองไทยนั้น คงปล่อยให้เป็นคนรุ่นหลังๆ แล้วละครับ อาจจะคอยให้คำปรึกษา แนะนำได้ แต่จะไม่เคลื่อนไหวอะไรอีกแล้ว”
“ จบหน้าที่ของผมแล้ว เพราะลำพังตัวผมคนเดียว ไม่สามารถที่จะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ เราจะต้องสร้างตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน แน่นอนประสบการณ์ชีวิตที่หนีตายมาจากประเทศไทย จะเรียกว่าเป็นวิกฤติของชีวิตก็ว่าได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสให้กับผมด้วย ที่ได้มาอยู่ในประเทศที่เห็นความสำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชน และเป็นประชาธิปไตย และเป็นประเทศที่สวยงามที่สุดในโลกด้วย”