วันพฤหัสบดี, มกราคม 01, 2569

จดหมายถึงสังคมไทยในปี 2569 จากเจ้าของอำนาจที่แท้จริงชื่อ ‘ประชาชน’

https://www.facebook.com/watch/?v=1354753519248354
https://www.facebook.com/reel/1354753519248354

Decode.plus 
17 hours ago
·
จดหมายถึงสังคมไทยในปีหน้า จากเจ้าของอำนาจที่แท้จริงชื่อ ‘ประชาชน’
.
ปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นปีที่สัญญานของความสิ้นหวัง สั่นไหวใกล้เรากว่าที่เคย ตั้งแต่ตึกสตง. ถล่มใจกลางมหานคร สงครามชายแดนปะทุขึ้น เสียงปืนดังกว่าเสียงประชาชน น้ำท่วมภาคใต้หนักหนาสาหัส พิษเศรษฐกิจที่เผาจริง เผาแล้ว และกำลังจะเผาหนักขึ้นเรื่อย ๆ
แค่สภาสมัยเดียว เรามีนายกฯ ไปแล้ว 3 คน
แต่นโยบายต่าง ๆ ยังไม่คืบ ไม่ว่าจะเป็นนิรโทษกรรมประชาชน กฏหมาย PRTR รวมถึงกฏหมายหลายฉบับที่ประชาชนอยากได้ แต่รัฐบาลยังให้ผู้คนเฝ้ารอต่อไปอย่างเคว้งคว้าง
Decode ชวนฟังเสียงพ่อแม่พี่น้องแทบทุกภูมิภาคของประเทศไทย
รีวิวปีเก่า ตั้งเป้าหมายกับปีใหม่ เพื่ออยากให้คำถามที่ว่าสังคมไทยจะเท่าเทียมกันกี่โมงหายไปสักที
“เราอยากเห็นการกระจายอำนาจคืนสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ความเจริญไม่กระจุกตัวในส่วนกลางมากเกินไป เพราะทุกที่มีศักยภาพเหมือนกัน”
“อยากให้เห็นหัวเราบ้าง คืนสิทธิที่พึงเป็นของเขาตั้งแต่แรก เพราะเราก็เป็นประชาชนคนหนึ่งเหมือนกัน”
“ปีหน้าจะเลือกตั้งแล้ว ก็อยากให้ได้รัฐบาลที่มาจากเสียงประชาชนได้เป็นตัวแทนเสียงของประชาชนส่วนมากตามระบอบประชาธิปไตยจริง ๆ สักที เพราะความทุกข์ยากของพี่น้อง รอไม่ได้”


รวมภาพ ไข่แมวชีส 2568

https://www.facebook.com/eggcatcheese/posts/1184553050492915



Wrap Up The Year มองชีวิตคนไทยปี 2568 ไปกับ "รศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล"

https://www.youtube.com/watch?v=S0alm5g2vG8

Thairath Plus

Dec 29, 2025 

ก่อนปีใหม่ 2569 ไทยรัฐพลัสอยากชวนทุกคนมา Wrap Up The Year มองชีวิตคนไทยปี 2568 ไปกับ "รศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล" คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ


บทเรียนราคาแพงตลอดปี 2568 บันทึกความได้-เสีย จากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา



บันทึกความได้-เสีย เมื่อฝุ่นควันจางหาย จากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

โดย อรวรรณ ธีรพัฒนไพโรจน์
30.12.2025
The Standard

HIGHLIGHTS
  • ในมุมมองความมั่นคง ไทยถือว่าได้เปรียบในเชิงยุทธวิธี สามารถควบคุมพื้นที่พิพาทสำคัญและเปลี่ยนสถานะให้เป็น Buffer Zone ที่แข็งแกร่ง เพื่อใช้เป็นแต้มต่อในการเจรจาทางการทูตต่อไป ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาสูญเสียโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและเส้นทางยุทธศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก
  • เบื้องหลังสงครามคือการกวาดล้าง ‘รังสแกมเมอร์’ นัยยะสำคัญที่ซ่อนอยู่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องดินแดน แต่คือปฏิบัติการทำลายล้างเครือข่าย ‘Scam Army’ ข้ามชาติ เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงเศรษฐกิจสีเทาครั้งใหญ่
  • สงครามครั้งนี้แลกมาด้วยชีวิตของทหารไทยถึง 42 นาย และมีผู้บาดเจ็บพิการจากการเหยียบกับระเบิดจำนวนมาก แม้สงครามจบแต่ทหารหลายนายยังต้องเผชิญกับภาวะ PTSD
  • งบประมาณแผ่นดินกว่า 10,000 ล้านบาทถูกใช้ไปกับการรบและการเยียวยา ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรบสูงถึงวันละ 2,000 ล้านบาท ซ้ำร้ายการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหยุดชะงักจนเหลือศูนย์
  • บทสรุปชี้ให้เห็นว่า ทุกชัยชนะบนกองซากปรักหักพังนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในสงครามไม่มีใครชนะที่แท้จริง มีเพียงผู้ที่สูญเสียน้อยกว่า และผู้ที่เรียนรู้จากความเจ็บปวดได้เร็วกว่าเท่านั้น
เข็มนาฬิกาที่ด่านชายแดนพุ่งตรงสู่เวลาเที่ยงของวันที่ 30 ธันวาคม 68 ท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึง ข้อตกลงหยุดยิง 72 ชั่วโมงจากการลงนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสองชาติกำลังจะสิ้นสุดลง

สายลมหนาวไม่ได้ช่วยให้ไอร้อนจากปลายกระบอกปืนจางหายไป ความหวังที่จะเห็นสันติภาพถูกวางอยู่บนรอยร้าวแห่งความระแวง เพราะนี่คือการลงนามครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นบนกองเพลิงที่ยังไม่มอดดับสนิท และดูเหมือนแผลในครั้งนี้จะบาดลึกยิ่งกว่าเดิม

เมื่อทหารไทยสูญเสียขาเป็นรายที่ 11 ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องไปยังการส่งมอบเชลยศึกชาวกัมพูชา 18 นาย กลายเป็นฉากทัศน์ที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง สงครามครั้งนี้ไม่มีใครเดินออกมาได้อย่างสง่างาม แล้วในการต่อสู้ข้ามพรมแดนครั้งนี้ ใครกันที่เป็นผู้ชนะที่แท้จริง

จากควันไฟที่ยังกรุ่นอยู่บนพิกัดทับซ้อน สู่ปฏิบัติการถล่มรังสแกมเมอร์ที่กลายเป็นนัยยะสำคัญทางการเมือง ปฏิบัติการบดขยี้อาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อตัดวงจรขีดความสามารถทางการรบ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกระสุนและดินปืนอีกต่อไป

แต่คือกระดานหมากรุกระดับโลกที่โยงใย เอาขั้วอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เข้ามาพัวพันในปมเงื่อนที่ซับซ้อนภายใต้การลงนามหยุดยิง เมื่อเดิมพันครั้งนี้สูงเกินกว่าที่ใครจะถอนตัว

THE STANDARD ขอพาย้อนกลับไปสำรวจรอยแผล และดอกผลที่เกิดขึ้นตลอดปี 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชั่งน้ำหนักถึงความคุ้มค่าบนหยดเลือดและหยาดเหงื่อ ในสมรภูมิไทย-กัมพูชา


ไฟไหม้ ศาลาตรีมุข สัญลักษณ์มิตรภาพ ไทย-ลาว-กัมพูชา

ชนวนเหตุและสัญลักษณ์ที่ล่มสลาย

ชนวนเหตุแห่งรอยร้าว เริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ วันที่เสียงเพลงชาติกัมพูชาดังขึ้นเหนือปราสาทตาเมือนธม ก่อนที่เปลวเพลิงจะลุกโชนขึ้นเผาไหม้ ‘ศาลาตรีมุข’ สถาปัตยกรรมไม้ที่เป็นประจักษ์พยานแห่งมิตรภาพ จุดเริ่มต้นความขัดแย้งระดับชาติตลอดปี 2568

ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ:
  • 13 ก.พ. 68: ทหารและประชาชนกัมพูชาร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมือนธม ไทยยื่นประท้วง
  • 27 ก.พ. 68: ผบ.ทบ. กัมพูชา นำทหาร 80 นายพร้อมอาวุธไปยังสามแยกลาว อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
  • 1 มี.ค. 68: ศาลาตรีมุขเกิดเหตุเพลิงไหม้ มีทหารกัมพูชารุกล้ำพื้นที่ไทย
  • 28 พ.ค. 68: ปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
  • 29 พ.ค. 68: ไทย-กัมพูชา เจรจาเห็นพ้องใช้ JBC ถอนกำลัง ต่อมาฝ่ายกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่าจะไม่ปรับกำลังออกจากแนวปะทะ ฝ่ายไทยรายงานพบกัมพูชาละเมิด MOU 43 ถึง 651 ครั้ง (ปรับป้อม-ถนน-ขุดคู ฯลฯ)
  • 4 มิ.ย. 68: ไทยย้ำ 4 จุดหลัก เช่น ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม เป็นของไทย
  • 6 มิ.ย. 68: สมช. มีมติให้ ทบ. ควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดน
  • 7 มิ.ย. 68: เริ่มมาตรการควบคุมจุดผ่านแดน แนวชายแดนไทย-กัมพูชา
  • 8 มิ.ย. 68: กัมพูชาเชิญฝ่ายไทยเจรจา บรรลุข้อตกลงกลับไปวางกำลังแบบเดิมในปี 67
  • 14 มิ.ย. 68: เตรียมประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา
  • 16 ก.ค. 68: ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณช่องบก ข้อเท้าขาด 1 ราย
  • 23 ก.ค. 68: ทหารไทย 5 นาย ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดบริเวณช่องอานม้า มีทหารขาขาด 1 นาย / ช่วงเย็นแม่ทัพภาคที่ 3 ยกระดับ ปิดด่าน 4 แห่ง 2 สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมประณามกัมพูชาจากการลอบวางทุ่นระเบิด / รักษาการนายกฯ สั่งลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมเรียกทูตไทยและขับทูตกัมพูชากลับประเทศ
  • 24-28 ก.ค. 68: เหตุปะทะครั้งแรกเกิดที่ปราสาทตาเมือนธมและพื้นที่ใกล้เคียง (ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อุบลราชธานี) มีการใช้อาวุธหนัก มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย อ้างยึดพื้นที่สำคัญได้บางส่วน
  • 28 ก.ค. 68: ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณปราสาทตาควาย ข้อเท้าขาด 1 ราย ก่อนที่ไทย-กัมพูชา ตกลงหยุดยิงในเวลา 24.00 น.
  • 6-7 ส.ค. 68: ประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐฯ และจีนร่วมสังเกตการณ์ ทั้งสองฝ่ายตกลงในกรอบหยุดยิง 13 ข้อ ครอบคลุมการยุติการใช้อาวุธ ถอนกำลัง และตั้งคณะตรวจสอบเหตุละเมิดข้อตกลง
  • ส.ค.-พ.ย. 68: มีเหตุการณ์ยิงย่อยและการวางทุ่นระเบิดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณช่องบกและช่องอานม้า ซึ่งตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่ายบินเหนือเขตควบคุม และทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดเพิ่มอีก 4 นาย
  • ต้นเดือน ธ.ค. 68: สถานการณ์เริ่มตึงเครียดอีกครั้ง มีการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักของกัมพูชา
  • 7 ธ.ค. 68 : กัมพูชาเริ่มยิงปะทะที่ ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน (ศรีสะเกษ) ไทยยิงตอบโต้
  • 8 ธ.ค. 68 : ปะทะหนักที่ ช่องอานม้า และช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บหลายนาย มีการใช้อากาศยานไทยโจมตีตอบโต้ ขณะที่ กัมพูชายิงจรวด BM-21 ตกใส่บ้านเรือนประชาชนที่บ้านสายโท 10 จ.บุรีรัมย์
  • 9 ธ.ค. 68: พบกัมพูชาตั้งฐานที่บ้านหนองรี จ.ตราด
  • 10 ธ.ค. 68: F-16 ทิ้งระเบิดทำลายคลังจรวด BM-21 รวมถึงเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธของกัมพูชา
  • 14-15 ธ.ค. 68: การปะทะยังคงต่อเนื่องในหลายพื้นที่
  • 21 ธ.ค. 68: มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณบ้านสามหลัง จ.ตราด ขาขาด 1 ราย
  • 25 ธ.ค. 68: มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณใกล้ปราสาทตาควาย ขาขาด 1 ราย
  • 27 ธ.ค. 68: ก่อนประกาศหยุดยิง มีผลบังคับใช้ ในเวลา 12.00 น. มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่เขาสัตตะโสม ขาขาด 1 ราย
  • 29 ธ.ค. 68: มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่เขาสัตตะโสม ขาขาด 1 ราย
  • 30 ธ.ค. 68: เวลา 12.00 น. ครบกำหนดหยุดยิง 72 ชั่วโมง ที่ไทยเตรียมส่งคืนเชลยศึกกัมพูชา 18 นาย

ความเสียหายหลังเหตุการณ์การปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในมือของแต่ละฝ่ายคืออะไร

เมื่อม่านควันเริ่มจางลง เผยให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแนวปะทะ เพจ Thaiarmedforce.com สื่อความมั่นคงและเทคโนโลยีทางทหาร ได้ถอดรหัสสถานการณ์นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า การหยุดยิงในเวลานี้มิใช่การถอยหนี แต่คือ ‘จังหวะที่เหมาะสมที่สุด’ บนกระดานยุทธศาสตร์ เพราะหากกวาดสายตาผ่านแนวรบตลอด 800 กิโลเมตร สิ่งที่ไทยได้กลับมาคือ ‘แต้มต่อ’ ที่ประเมินค่าไม่ได้

พื้นที่พิพาทสำคัญอย่างช่องอานม้า ปราสาทตาควาย หรือหมู่บ้านตามแนวชายแดนตะวันออก ล้วนกลับมาอยู่ในการควบคุมของไทย เปลี่ยนสถานะจากพื้นที่สีเทาให้กลายเป็น Buffer Zone ที่แข็งแกร่ง และเป็นไพ่ใบสำคัญในมือสำหรับการเจรจาในอนาคต ทำให้หากต้องมีบทที่สามของสงคราม ไทยจะเป็นฝ่ายที่ยืนตระหง่านอยู่บนภูมิประเทศที่ได้เปรียบกว่าเดิมอย่างมหาศาล

ในทางกลับกัน บัญชีความสูญเสียของฝ่ายตรงข้ามกลับแดงเถือกไปด้วยตัวเลขที่น่าตกใจ ข้อมูลระบุชัดว่ากัมพูชาพ่ายแพ้ในแทบทุกแนวรบ ไม่เพียงแต่สูญเสียพื้นที่ที่เคยอ้างสิทธิ์ แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร สะพานขนส่ง และเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ถูกตัดขาด

ยิ่งไปกว่านั้น เพจ Thaiarmedforce.com ระบุว่า กรณีของ ‘ปราสาทพระวิหาร’ ที่ถูกแปรเปลี่ยนจากมรดกโลกให้กลายเป็นฐานที่ตั้งทางทหารเพื่อยิงถล่มไทย ทำให้ความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศสิ้นสุดลงทันที การโต้ตอบของไทยจึงกลายเป็นความชอบธรรม และอาจส่งผลให้กัมพูชาต้องเสี่ยงกับการเสียสถานะมรดกโลกด้วยน้ำมือของตนเอง นี่คือราคาแพงลิบลิ่วที่ต้องจ่ายให้กับความประมาทที่มองว่าไทยจะไม่กล้าใช้เขี้ยวเล็บทางอากาศเข้าจัดการ

แต่นอกเหนือจากผลแพ้ชนะในสนามรบ อีกหนึ่งปัจจัยที่บีบคั้นให้เข็มนาฬิกาต้องหยุดเดินคือ ‘กติกาโลก’ Thaiarmedforce.com ชี้ให้เห็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยไม่ใช่มหาอำนาจอย่างรัสเซียหรืออิสราเอลที่จะเมินเฉยต่อประชาคมโลกได้ การต่อเวลาพิเศษนี้อาจนำไปสู่การแทรกแซงของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งอาจเปลี่ยนผู้คุมเกมจากเราเป็นเขา

ดังนั้น การดึงเกมกลับมาสู่เวที GBC ที่ไทยควบคุมสถานการณ์ได้ จึงเป็นชัยชนะทางการทูตที่งดงามที่สุด ควบคู่ไปกับการคืนลมหายใจให้ทหารกล้าได้พักผ่อน และคืนชีวิตปกติสุขให้ชาวบ้านที่เสียสละมามากพอแล้ว

ท้ายที่สุด บทสรุปของสงครามครั้งนี้สอนให้รู้ว่า การทำให้คู่ต่อสู้อย่างกัมพูชาสิ้นสภาพอาจเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินจริงและไม่คุ้มค่ากับการลงทุน สิ่งที่ไทยทำได้ดีที่สุดคือการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ ‘การทูต’ ทำงานต่อจาก ‘ปลายกระบอกปืน’

ชัยชนะทางทหารจะไร้ความหมายหากเราพ่ายแพ้บนโต๊ะเจรจา วันนี้ไทยจึงเลือกที่จะหยุดเพื่อเดินหน้าต่อ โดยมีชัยชนะทางยุทธวิธีเป็นฐานที่มั่น เพื่อเปลี่ยนผลลัพธ์ในสนามรบให้กลายเป็นความมั่นคงถาวร ที่ไม่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้ออีกต่อไป เพราะเราไม่สามารถยกทัพไปยึดอะไรตามใจได้


ทุ่นระเบิดที่พบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

สมรภูมิแห่งการสูญเสีย

หลังสิ้นสุดการปะทะ สิ่งที่หลงเหลือไว้อย่างชัดเจนที่สุดคือความอาลัยและเกียรติยศของทหารกล้า 42 นาย ผู้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องแผ่นดินในสมรภูมิเลือดทั้งสองรอบ

ย้อนกลับไปในศึกระลอกแรก ช่วงกรกฎาคม 2568 แม้การเจรจาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีมาตรการภาษีของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เป็นแรงกดดัน จะนำมาซึ่งการหยุดยิง แต่กว่าจะถึงวันนั้น เราได้สูญเสียทหารไปถึง 15 นาย

เริ่มตั้งแต่ พลทหาร วรัญชิต ยวงสุวรรณ ที่ต้องจากไปเป็นรายแรก ตามมาด้วยวีรบุรุษจากฐานฟ้าลั่นและปราสาทตาควาย อย่าง จ.ส.อ. ธวัชชัย บุสภา และเหล่าทหารกล้าอีกหลายนายที่พลีชีพเพื่อตรึงแนวชายแดน จนถึงนาทีสุดท้ายก่อนหยุดยิงในวันที่ 28 กรกฎาคม ที่เราต้องเสียทหารไปรวดเดียวถึง 7 นายที่ช่องอานม้า นี่คือบทพิสูจน์ว่าเสรีภาพบนด้ามขวานแลกมาด้วยเลือดเนื้อของลูกหลานไทยอย่างแท้จริง

แต่คำว่า ‘สันติภาพ’ สำหรับกัมพูชากลับเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อสัญญาณการรบระลอกสองปะทุขึ้นในเดือนธันวาคม ภายใต้ภารกิจกวาดล้าง ‘รังสแกมเมอร์’ และทวงคืนอธิปไตย ตลอด 20 วันแห่งความดุเดือดตั้งแต่วันที่ 7-26 ธันวาคม กองทัพต้องสูญเสียนักรบไปอีก 27 นาย

ความสูญเสียถาโถมเข้ามาดั่งพายุ ตั้งแต่ จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต ผู้ประเดิมความเจ็บปวดในรอบสอง ไล่เรียงมาถึงวันที่หนักหนาสาหัสที่สุดอย่างวันที่ 10 และ 13 ธันวาคม ที่กระสุนพรากชีวิตทหารไปวันละ 4 นาย การสู้รบครั้งนี้ขยายวงกว้างและดุเดือด ข้าศึกใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาสถานะ แต่ทหารไทยทุกนาย ตั้งแต่ทหารพรานไปจนถึงหน่วยรบพิเศษ ยังคงเดินหน้าด้วยหัวใจที่แกร่งกว่าเหล็กไหล แม้จะรู้ว่าปลายทางอาจไม่ได้กลับบ้าน

แม้ลายเซ็นบนกระดาษข้อตกลงหยุดยิงจะแห้งสนิทแล้ว แต่ความตายยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนดิน ในวันที่ 29 ธันวาคม ขณะที่หลายคนกำลังเฉลิมฉลองส่งท้ายปี จ.ส.ต. สุจินต์ จิตกรียาน กลับต้องกลายเป็นผู้เสียสละขาเป็นรายที่ 11 จากกับระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่ดักรอเหยื่ออย่างไร้ปรานี

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายว่า ในสายตาของข้าศึกและสภาพพื้นที่จริง “สันติภาพที่แท้จริงยังมาไม่ถึง” การประชุมทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา-จีน เป็นเพียงฉากหน้า แต่ในสนามจริง ทหารช่างยังต้องแลกอวัยวะเพื่อเคลียร์เส้นทางปลอดภัยให้พี่น้องประชาชน

และเมื่อสงครามภายนอกจบลง ‘สงครามภายในใจ’ หรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น สำหรับทหารที่รอดชีวิต ภาพความตายของเพื่อนร่วมรบ เสียงระเบิด และวินาทีเฉียดตาย ยังคงฉายซ้ำในรูปแบบของภาพย้อนอดีต (Flashback) และฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน ความเครียดที่สะสมในสนามรบแปรเปลี่ยนเป็นความก้าวร้าว การแยกตัว หรือการพึ่งพาสารเสพติดเพื่อดับทุกข์ การนอนหลับให้สนิทกลายเป็นเรื่องยากเย็น ซึ่งหากสังคมไม่เข้าใจและไร้การเยียวยาที่ถูกวิธีบาดแผลที่มองไม่เห็นนี้อาจกัดกินชีวิตของวีรบุรุษเหล่านี้ไปตลอดกาล ชัยชนะจึงไม่ได้วัดกันแค่การยึดพื้นที่ แต่ต้องรวมถึงการ ‘พาใจทหารกลับบ้าน’ ให้ได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน


งานเก็บกู้และตรวจยึดทุ่นระเบิดรวมถึงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

งบดุลแห่งสงคราม

ภายใต้ควันไฟที่ปกคลุมสมรภูมิ มีอีกหนึ่งความจริงที่น่าตกใจซ่อนอยู่ในบัญชีงบประมาณแผ่นดิน วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ได้เปิดเผยตัวเลขที่ชวนให้ฉุกคิดว่า เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ของการปะทะ งบประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท และในปี 2569 ได้ตั้งงบส่วนนี้ไว้สูงถึง 83,930 ล้านบาท

แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงถูกขยายความโดย พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเครื่องจักรสงครามเริ่มเดินเครื่องเต็มกำลัง ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการจริงอาจพุ่งทะยานสูงถึง วันละ 2,000 ล้านบาท นี่คือราคาที่คนไทยต้องร่วมกันจ่าย เพื่อแลกกับการรักษาอธิปไตยในแต่ละวินาที

หากผ่าโครงสร้างราคาที่แฝงอยู่ในอาวุธยุทโธปกรณ์ จะพบว่าต้นทุนสงครามเริ่มต้นตั้งแต่ปลายนิ้วของทหารราบ แม้กระสุนปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มม. จะมีราคาเพียงนัดละ 15-20 บาท แต่เมื่อรวมกันทั้งกองทัพ ค่าใช้จ่ายจะตกอยู่ที่ราว 1,000 บาทต่อคนต่อวัน และเมื่อขยับสู่การยิงสนับสนุน ลูกปืนครกหนึ่งนัดอาจมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึง 1,000,000 บาท สำหรับรุ่นนำวิถีขนาด 120 มม. นั่นหมายความว่าเสียงหวีดหวิวของกระสุนที่พุ่งผ่านอากาศเพียงหนึ่งนัด มีมูลค่าเท่ากับเงินเก็บทั้งชีวิตของใครบางคน

ความดุเดือดของตัวเลขทวีคูณขึ้นเมื่อมองไปบนท้องฟ้าและปืนใหญ่ระยะไกล การส่ง F-16 ขึ้นครองอากาศมีต้นทุนสูงถึงชั่วโมงละ 750,000 บาท ขณะที่ Gripen อยู่ที่ 350,000 บาท เพื่อนำพาระเบิดร่อนนำวิถีอย่าง JDAM หรือ KGGB ที่มีราคาตั้งแต่ 1.2 ล้าน ถึง 2.7 ล้านบาท ไปสู่เป้าหมาย ส่วนภาคพื้นดิน ปืนใหญ่ 155 มม. แบบนำวิถี หนึ่งนัดมีราคาสูงถึง 2.38 ล้านบาท ขีปนาวุธบางชนิดมีราคาแตะ 30 ล้านบาทต่อลูก ข้อมูลเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่า สงครามยุคใหม่คือการระดมทรัพยากรที่มหาศาลที่สุดเพื่อทำลายล้างกันและกัน

พล.ท.พงศกร ย้ำด้วยว่าการรบตามแบบ Conventional Warfare ต้องยึดหลัก ‘รุกเร็ว จบเร็ว’ เพราะการปล่อยให้สงครามยืดเยื้อคือหายนะทางเศรษฐกิจที่ไม่คุ้มค่า บทเรียนจากบัญชีค่าใช้จ่ายนี้สอนให้รู้ว่า ชัยชนะในสงครามอาจทำให้ผู้ชนะรู้สึก ‘ได้ใจ’ ในชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อหักลบกลบหนี้กับงบประมาณและโอกาสในการพัฒนาประเทศที่สูญเสียไป ผลลัพธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ก้นตะกอนสำหรับทุกฝ่าย มักมีเพียงความ ‘เสียใจ’ เท่านั้น


ประชาชนหลบอยู่ภายในบังเกอร์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาด และเศรษฐกิจชายแดนต้องหยุดหายใจ

สงครามไม่ได้ทำลายเพียงแค่สิ่งปลูกสร้าง แต่มันกำลังทำลายชีวิตของผู้คนนับแสน เมื่อความตึงเครียดระลอกใหม่ปะทุขึ้นในเดือนธันวาคม หลังข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางพังทลายลง ตัวเลขผู้อพยพพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย

ข้อมูลจากศูนย์พักพิงใน 7 จังหวัดชายแดนระบุว่า มีพี่น้องคนไทยกว่า 263,325 คน ต้องทิ้งบ้านเรือน ทิ้งไร่นาที่กำลังออกผล เพื่อหนีตายเอาชีวิตรอด ขณะที่ฝั่งกัมพูชาเองก็มีผู้คนกว่า 330,000 คน ต้องชะตากรรมไม่ต่างกัน ภาพของผู้สูงอายุและเด็กน้อยที่ต้องนอนเบียดเสียดในศูนย์พักพิง ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ คือเครื่องยืนยันว่าความขัดแย้งด้านความมั่นคง ได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตมนุษยธรรมที่โหดร้ายที่สุดในปี 2568

และเมื่อเสียงปืนดังขึ้น เสียงของเครื่องจักรเศรษฐกิจก็เงียบลงทันที เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่อาจมองข้าม การสู้รบทำให้การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เคยคึกคักต้องกลายเป็น ‘ศูนย์’ ในพริบตา

อารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า เพียงแค่เดือนพฤศจิกายน การค้าชายแดนกับกัมพูชาลดลงถึง 100% เม็ดเงินกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท ที่ควรจะสะพัดในช่วงปลายปีหายวับไปกับตา ทิ้งไว้เพียงความเงียบเหงาของด่านชายแดนและความวิตกกังวลของผู้ประกอบการ ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนในกัมพูชากว่า 50,000 ล้านบาท

บาดแผลทางเศรษฐกิจยิ่งลึกขึ้นเมื่อมองภาพรวมระดับภูมิภาค ในขณะที่ไทยกำลังติดหล่มความขัดแย้ง เพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม กลับเร่งเครื่องแซงหน้าด้วยการปฏิรูปโครงสร้างและดึงดูดการลงทุนขนานใหญ่ แม้แต่ มาเลเซียและสิงคโปร์ ก็ยังจับมือกันเดินหน้าพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความกังวลว่า GDP ไทยจะโตรั้งท้ายอาเซียนจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาขาดแคลนแรงงานเริ่มส่อเค้าวิกฤต เมื่อแรงงานกัมพูชากว่า 3 แสนคนทยอยกลับประเทศ ทิ้งช่องว่างในภาคเกษตรและบริการให้ชะงักงัน แม้การส่งออกผ่านแดนไปจีนและเวียดนามจะพอช่วยพยุงตัวเลขรวมไว้ได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจทดแทนความสูญเสียในพื้นที่ที่บอบช้ำได้อย่างสมบูรณ์

สุดท้ายแล้ว ภาระทั้งหมดตกอยู่ที่งบประมาณแผ่นดินที่ต้องนำมา ‘โปะ’ ความเสียหาย รัฐบาลต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเยียวยาชีวิตและทรัพย์สินเบื้องต้นกว่า 2,740 ล้านบาท บวกกับงบปฏิบัติการทางทหารอีก 5,200 ล้านบาท รวมแล้วเกือบหมื่นล้านบาทที่ละลายไปกับไฟสงคราม โดยยังไม่รวมความเสียหายทางเศรษฐกิจอีกมหาศาล


ทหารไทยยิงถล่มอาคารคาสิโนและโรงแรมฝั่งกัมพูชาที่ใช้เป็นฐานสแกมเมอร์

เบื้องหลังยุทธการเด็ดปีก เมื่อ ‘คาสิโน’ คือ ป้อมปราการ

ภายใต้ฉากหน้าของข้อพิพาทเขตแดนที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2450 สงครามครั้งนี้กลับซ่อนนัยยะที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม มันไม่ใช่เพียงการแย่งชิงผืนดิน แต่คือ ‘ปฏิบัติการล้างบาง’ เพื่อถอนรากถอนโคน ‘เครือข่าย Scam Army’ หรือกองทัพสแกมเมอร์ข้ามชาติที่กัดกินเศรษฐกิจโลก

กองทัพภาคที่ 2 ได้นิยามบทบาทใหม่ของไทยว่าเป็น ‘Frontline Defender’ หรือปราการด่านหน้าของโลกในการหยุดยั้งมหันตภัยไซเบอร์ ปฏิบัติการทางอากาศที่แม่นยำจึงถูกใช้เพื่อทำลายฐานปฏิบัติการสแกม 6 แห่ง รวมถึงคาสิโนและโรงแรมหรูที่ถูกใช้เป็นฉากบังหน้าในการหลอกลวงเหยื่อ ซึ่งสร้างความเสียหายให้ไทยปีละกว่า 115,300 ล้านบาท การโจมตีครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการตัด ‘ท่อน้ำเลี้ยง’ เส้นใหญ่ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสีเทาของกัมพูชา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ในมุมมองทางยุทธศาสตร์ พื้นที่สีเทาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งทำเงิน แต่คือ ‘คลังแสงที่ซ่อนเร้น’ สำนักข่าว Asiatimes และหน่วยข่าวกรองไทยระบุตรงกันว่า อาคารคาสิโนเหล่านี้ถูกดัดแปลงให้เป็นฐานบัญชาการทางทหาร แหล่งเก็บโดรนพิฆาต และคลังอาวุธนับสิบแห่งที่เชื่อมโยงกับขั้วอำนาจในกัมพูชา

เมื่อภัยคุกคามถูกแฝงอยู่ในคราบพลเรือน กองทัพอากาศไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติการโจมตีเชิงลึกเพื่อทำลายขีดความสามารถในการรบของฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้กัมพูชาตอบโต้ด้วยจรวด BM-21 จนประชาชนนับแสนต้องพลัดถิ่น แต่สำหรับไทย นี่คือความจำเป็นที่ต้อง ‘ทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหาร’ เพื่อความปลอดภัยระยะยาวของลูกหลานไทยในอนาคต

แม้แรงกดดันจากเวทีโลกจะถาโถมเข้ามา ทั้งความพยายามไกล่เกลี่ยของมาเลเซีย หรือคำขู่เรื่องกำแพงภาษีจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่รัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ยืนหยัดปฏิเสธการแทรกแซงจากมือที่สามอย่างแข็งกร้าว โดยชี้แจงให้โลกเห็นภาพความจริงที่ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ได้ย้ำชัดว่า “เป้าหมายทุกจุดที่ถูกทำลาย ล้วนผ่านการพิสูจน์ทราบแล้วว่าเป็นฐานทัพที่ซ่อนตัวในคราบคาสิโน”

ปฏิบัติการครั้งนี้จึงไม่ใช่การรังแกเพื่อนบ้าน แต่คือการผ่าตัดเนื้อร้ายทิ้ง เพื่อไม่ให้ไทยต้องตกเป็นเหยื่อของสงครามไฮบริดที่ใช้ทั้งกระสุนปืนและสงครามไซเบอร์ในการทำลายล้างเราอีกต่อไป


ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

แม้ไม่รู้ว่าภาพทหารชาวกัมพูชา 18 นาย ก้าวเท้าข้ามเส้นแบ่งเขตแดนกลับสู่มาตุภูมิในช่วงเที่ยงวันที่ 30 ธันวาคม จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะการตรวจพบโดรนจำนวนมากถึง 250 ลำ เข้ามาในพื้นที่ของไทย ในวันที่ 28 ธันวาคม ทำให้กองทัพอาจทบทวนข้อตกลง เพราะมองว่าเป็นการยั่วยุและไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ลงนามร่วม รวมถึงโพสต์ล่าสุดของ ฮุน มาเน็ต และ ฮุน เซน สองผู้นำกัมพูชาที่แสดงท่าทีไม่ยอมรับการคงกำลังพลไว้ในตำแหน่งเดิมหลังการหยุดยิงว่าไม่มีผลต่อการปักปันเขตแดน

ทำให้เห็นว่า นี่คือบททดสอบก้าวแรกของสันติภาพที่ยังเปราะบางและเต็มไปด้วยขวากหนาม และไม่อาจลบภาพความหวาดระแวงที่ฝังลึกได้หมดสิ้น

ทางออกที่ยั่งยืนนับจากนี้จึงไม่อาจพึ่งพาเพียงลายเซ็นบนสนธิสัญญาหยุดยิง แต่ต้องอาศัยการทูต ภาคประชาชน และการจัดการพื้นที่ทับซ้อนด้วยความเข้าใจ เพื่อเปลี่ยน ‘เส้นขนานแห่งความขัดแย้ง’ ให้กลายเป็น ‘พื้นที่แห่งการพัฒนาร่วมกัน’ ที่ต้องไม่มีใครต้องสังเวยขาหรือลมหายใจเพื่อแย่งชิงอีก

บทเรียนราคาแพงตลอดปี 2568 ได้จารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ เพื่อเตือนใจเราเสมอว่า ทุกชัยชนะบนกองซากปรักหักพังนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายแพงเกินกว่าจะประเมินค่า และท้ายที่สุดแล้ว เมื่อฝุ่นควันจางหาย เราอาจค้นพบสัจธรรมนิรันดร์ที่ว่า “ในสงครามไม่มีใครชนะที่แท้จริง มีเพียงผู้ที่สูญเสียน้อยกว่า และผู้ที่เรียนรู้จากความเจ็บปวดได้เร็วกว่าเท่านั้น”

ABOUT THE AUTHOR
อรวรรณ ธีรพัฒนไพโรจน์
Content Creator กองบรรณาธิการข่าว

ABOUT THE PHOTOGRAPHER
ฐานิส สุดโต
บรรณาธิการภาพ ประจำสำนักข่าว THE STANDARD

ABOUT THE PHOTOGRAPHER
ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
ช่างภาพข่าว ประจำสำนักข่าว THE STANDARD

https://thestandard.co/thailand-cambodia-border-conflict-analysis-2025/



สัญญาณที่ดีต่อสันติภาพไทย-กัมพูชา ไทยปล่อยตัวแล้ว 18 เชลยศึกเขมรที่ด่านบ้านผักกาด จ.จันทบุรี

https://www.facebook.com/armymilitaryforcenews/posts/122178219560761044

Army Military Force
16 hours ago
·
ด่วน! เวลา 10:20น. ไทยปล่อยตัวแล้ว 18 เชลยศึกเขมรที่ด่านบ้านผักกาด จ.จันทบุรี
.
ตามรายงานระบุว่า ทหารกัมพูชา 18 นาย มีสุขภาพสมบูรฌ์แข็งแรงดี ก่อนหน้านั้นมี 7 นาย ขอให้ไทยช่วยทำฟันให้ก่อนส่งตัวกลับ แต่ไทยปฏิเสธและแจ้งให้กลับไปดำเนินการที่บ้านเกิดของตัวเอง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องทำตามเงื่อนไขการส่งตัวกลับ ระหว่างเดินทางกลับ มีสื่อเขมรมาทำข่าวหลายสำนัก ทั้ง 18 นาย ถูกยกย่องเป็นฮีโร่ วีรชนทหารกล้าของกัมพูชา
.
ต่อมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ เรื่องการส่งทหารกัมพูชา 18 คน กลับกัมพูชา ความว่า
.
โดยฝ่ายไทยได้ส่งทหารชาวกัมพูชา 18 คน ที่ถูกทางการไทยควบคุมตัว กลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อ 11 ของถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ได้ลงนามในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ซึ่งระบุว่า ไทยจะส่งทหารกัมพูชา 18 คน กลับกัมพูชา ภายหลังจากการหยุดยิงเป็นเวลาต่อเนื่อง 72 ชั่วโมง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
.
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ทหารกัมพูชาทั้ง 18 คน ถูกควบคุมโดยทางการไทย ทหารเหล่านี้ได้รับการดูแลตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 และหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติด้านมนุษยธรรมของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) โดยทางการไทยได้อนุญาตให้ ICRC เข้าเยี่ยมเป็นระยะๆ และประสานการนำส่งจดหมายของทหารกัมพูชาเพื่อติดต่อกับครอบครัว
.
การส่งกลับทหารกัมพูชาดังกล่าวสอดคล้องกับอนุสัญญาเจนีวาฯ ฉบับที่ 3 เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก โดยทางการไทยได้ตรวจสุขภาพก่อนส่งกลับ และแจ้งให้ทราบถึงสิทธิต่าง ๆ ตามอนุสัญญาเจนีวาฯ เพื่อประกันว่า การเดินทางกลับมาตุภูมิเป็นไปบนพื้นฐานของความสมัครใจ ปลอดภัย และมีศักดิ์ศรี และ ICRC ได้แจ้งให้ครอบครัวของทหารกัมพูชาทราบถึงการส่งกลับในวันนี้ด้วย นอกจากนี้ ICRC และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ได้ร่วมสังเกตการณ์การส่งกลับ
.
การส่งทหารทั้ง 18 คนกลับกัมพูชา สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของไทยที่จะเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับกัมพูชา และเป็นการแสดงถึงการยึดมั่นในอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 และหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศของไทย โดยไทยหวังว่า กัมพูชาจะตอบสนองเจตนารมณ์ดังกล่าว ด้วยการกระทำที่เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศต่อไป
.
สำหรับการปล่อนตัวครั้งนี้ ที่ด่านถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี


จอห์น ซิมป์สัน บรรณาธิการข่าวการเมืองโลกของบีบีซี วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปีนี้ว่า "ผมเคยทำข่าวสงครามมา 40 ครั้ง แต่ดูแล้วสถานการณ์ปี 2025 น่าห่วงที่สุด"



"ผมเคยทำข่าวสงครามมา 40 ครั้ง แต่ดูแล้วสถานการณ์ปี 2025 น่าห่วงที่สุด"จอห์น ซิมป์สัน

บรรณาธิการข่าวการเมืองโลก บีบีซีนิวส์
31 ธันวาคม 2025

คำเตือน : บทความนี้มีเนื้อหาที่อ่อนไหว รวมถึงคำบรรยายที่โจ่งแจ้งเกี่ยวกับความตาย ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านบางคนรู้สึกไม่สบายใจได้

ตลอดชีวิตการทำงานของผม ได้เคยผ่านการรายงานข่าวสงครามทั่วโลกมาแล้วกว่า 40 ครั้ง นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา ผมเคยได้เห็นสงครามเย็นในช่วงที่ความขัดแย้งตึงเครียดพุ่งขึ้นสูงสุด ก่อนมันจะสลายหายไปเฉย ๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมไม่เคยเจอปีที่สถานการณ์น่าห่วงกังวลอย่างยิ่ง เหมือนกับปี 2025 นี้มาก่อน

ไม่เพียงแต่ไฟสงครามครั้งใหญ่จะปะทุขึ้นทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเห็นได้ชัดเจนว่า หนึ่งในสงครามดังกล่าวกำลังลุกลาม และส่งผลกระทบสำคัญยิ่งทางภูมิรัฐศาสตร์ ในระดับที่ความขัดแย้งอื่น ๆ ไม่อาจเทียบได้

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน เคยกล่าวเตือนว่า สงครามที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเขา อาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามโลกได้ คำกล่าวนี้ถือว่าไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะประสบการณ์เกือบ 60 ปี ในการติดตามสถานการณ์สงครามของผม ทำให้สังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าคำพูดของผู้นำยูเครนนั้นถูกต้องแล้ว


ประธานาธิบดียูเครนเคยเตือนว่า การสู้รบในยูเครนตอนนี้อาจยกระดับกลายเป็นสงครามโลกได้

รัฐบาลของชาติพันธมิตรนาโต (NATO) กำลังตื่นตัวระแวดระวังในระดับสูงสุด เพื่อคอยดูสัญญาณความเคลื่อนไหวของรัสเซีย ที่จ้องจะลอบตัดสายเคเบิลเชื่อมต่อการสื่อสารใต้ทะเล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ค้ำจุนให้สังคมของโลกตะวันตกดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่า โดรนของรัสเซียพยายามล่วงล้ำน่านฟ้าและทดสอบแนวป้องกันของชาติพันธมิตรนาโต ส่วนแฮกเกอร์ของรัสเซียนั้น ก็เร่งพัฒนาวิธีบ่อนทำลายขัดขวางการดำเนินงานของกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ รวมทั้งบริษัทใหญ่และหน่วยงานกู้ภัยฉุกเฉินของฝ่ายตรงข้าม

รัฐบาลของชาติตะวันตกต่างก็แน่ใจว่า สายลับรัสเซียได้ก่อเหตุฆาตกรรมและพยายามลอบสังหารบรรดาผู้เห็นต่าง ซึ่งพากันอพยพลี้ภัยการเมืองมาอยู่ในประเทศของพวกเขา โดยผลการสอบสวนคดีพยายามฆ่านายเซอร์เก สกรีปาล อดีตสายลับรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองซอลส์บรี (Salisbury) ของอังกฤษ เมื่อปี 2018 (และพลอยทำให้นางดอว์น สเตอร์เจสส์ หญิงชาวอังกฤษโดนวางยาพิษจนเสียชีวิต) ได้ข้อสรุปว่าคำสั่งฆ่าดังกล่าว ผ่านความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจระดับสูงสุดของรัสเซีย ซึ่งก็คือประธานาธิบดีปูตินนั่นเอง

สงครามครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป

ปี 2025 ที่ผ่านมา มีสงครามใหญ่ที่สู้รบติดพันกันยาวนานถึง 3 เหตุการณ์ ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ก็เป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างมาก อันดับแรกคือสงครามยูเครน ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตไปแล้วถึง 14,000 คน ส่วนสงครามในฉนวนกาซา นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ลั่นวาจาว่าจะ "ล้างแค้นอย่างสุดกำลัง" หลังชาวยิวถูกกลุ่มฮามาสสังหารไปราว 1,200 คน ในการบุกโจมตีอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 ทั้งยังมีผู้ถูกจับเป็นตัวประกันอีก 251 คน ทำให้กองทัพอิสราเอลโจมตีตอบโต้ จนมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปกว่า 70,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงและเด็กกว่า 30,000 คน ตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุขที่กลุ่มฮามาสเป็นผู้บริหาร ซึ่งทางยูเอ็นถือว่าตัวเลขสถิติดังกล่าวถูกต้องเชื่อถือได้

นอกจากสงครามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีสงครามกลางเมืองในซูดานที่กองกำลังสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือด ทำให้มีประชาชนถึงกว่า 150,000 คน ต้องสังเวยชีวิตไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนอีก 12 ล้านคน ต้องกลายเป็นผู้อพยพพลัดถิ่นเพื่อหนีภัยการสู้รบ

หากโลกในปี 2025 มีสงครามเพียงแค่ 3 เหตุการณ์ข้างต้น ประชาคมนานาชาติอาจขวนขวายที่จะช่วยหยุดยั้งสงครามกันมากกว่านี้ แต่สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราหวัง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เคยกล่าวอวดอ้างว่า "ผมจัดการคลี่คลายปัญหาสงครามได้เก่งมาก" ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบินโดยสาร ซึ่งกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปอิสราเอล หลังเขาเป็นตัวกลางเจรจาให้หยุดยิงในฉนวนกาซาได้สำเร็จ แม้จะเป็นความจริงว่าทุกวันนี้มีคนตายที่นั่นน้อยลง แต่ดูเหมือนว่าการหยุดยิงก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาความขัดแย้งในฉนวนกาซาหมดสิ้นไป

เมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสของผู้คนในตะวันออกกลางแล้ว การที่จะบอกว่าสงครามยูเครนนั้นมีความรุนแรงยิ่งกว่าในอีกระดับหนึ่ง อาจฟังดูแปลกประหลาดไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ


"ผมจัดการคลี่คลายปัญหาสงครามได้เก่งมาก" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าว

นอกจากสงครามเย็นแล้ว สงครามส่วนใหญ่ที่ผมเคยพบเจอและได้รายงานข่าวมาในอดีต ล้วนเป็นความขัดแย้งในระดับเล็กน้อย แม้จะมีความโหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยอันตรายอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ก็ไม่ร้ายแรงพอจะสั่นคลอนสันติภาพของโลกทั้งใบ แม้สงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, และสงครามโคโซโวในบางครั้ง จะดูเหมือนร้ายแรงจนอาจลุกลามบานปลายไปเป็นสงครามโลกได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ชาติมหาอำนาจต่างหวาดกลัวกันว่า สงครามแบบดั้งเดิมที่เกิดขึ้นในสนามรบที่มีขอบเขตจำกัด จะกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ไปในที่สุด ดังจะเห็นได้ในกรณีของเซอร์ ไมก์ แจ็กสัน นายพลชาวอังกฤษ ที่ตะโกนใส่วิทยุสื่อสารขณะอยู่ในสนามรบที่โคโซโว เมื่อปี 1999 ว่า "ผมจะไม่เปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สามให้คุณ" เขากล่าวเช่นนี้เพราะผู้บังคับบัญชาในกองทัพพันธมิตรนาโต ออกคำสั่งให้กองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศส บุกเข้ายึดสนามบินแห่งหนึ่งในกรุงพริสตีนา หลังจากที่กองกำลังรัสเซียได้ไปถึงที่นั่นก่อนแล้ว

ในปี 2026 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ดูเหมือนรัสเซียจะสังเกตเห็นแล้วว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ไม่สนใจเรื่องปัญหาความมั่นคงของภูมิภาคยุโรปอีกต่อไป ทั้งยังดูมีความพร้อมเต็มเปี่ยม และกระเหี้ยนกระหือจะเดินหน้าผลักดันให้รัสเซียขึ้นครองความเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้อีกด้วย โดยเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีปูตินถึงกับบอกว่า เขาไม่มีแผนจะทำสงครามกับยุโรป แต่ก็ "พร้อมแล้วในตอนนี้" ที่จะเปิดฉากการสู้รบ หากชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคยุโรปต้องการ

ในเวลาต่อมา ปูตินยังกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ว่า "จะไม่มีปฏิบัติการทางทหารใด ๆ หากพวกท่านปฏิบัติต่อเราด้วยความเคารพ...หากพวกท่านเคารพผลประโยชน์ของเรา เช่นเดียวกับที่เราพยายามให้ความเคารพต่อผลประโยชน์ของท่านเสมอมา"


ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย บอกว่าเขาไม่มีแผนจะทำสงครามกับยุโรป แต่ก็ "พร้อมแล้วในตอนนี้" ที่จะเปิดฉากการสู้รบ หากชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคยุโรปต้องการ

ทว่ารัสเซียซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจอันดับต้นของโลก ได้รุกรานประเทศเอกราชในภูมิภาคยุโรปแห่งหนึ่งไปแล้ว สงครามนี้ส่งผลให้พลเรือนและทหารต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมหาศาล และยูเครนยังกล่าวหาว่ารัสเซียได้ลักพาตัวเด็กไปอย่างน้อย 20,000 คนด้วย ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ออกหมายจับประธานาธิบดีปูติน ซึ่งมีส่วนพัวพันกับการลักพาตัวเด็กยูเครนดังกล่าว แม้ทางการรัสเซียจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นเลยก็ตาม

เหตุผลที่รัสเซียยกมาอ้างในการรุกรานยูเครน ก็คือการป้องกันตนเองให้พ้นภัย จากการรุกคืบเข้ามาของกองกำลังพันธมิตรนาโต อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีปูตินได้เอ่ยถึงเหตุผลอีกข้อหนึ่งเอาไว้ด้วย นั่นคือความต้องการฟื้นฟูอำนาจแบบจักรวรรดิ เหนือเขตอิทธิพลดั้งเดิมของรัสเซียในภูมิภาค

สหรัฐฯ ขัดแย้งกับยุโรป

ผู้นำรัสเซียยังตระหนักรู้และอดรู้สึกขอบคุณไม่ได้ว่า ตลอดปี 2025 ที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้นำชาติตะวันตกส่วนใหญ่คิดไม่ถึงว่าจะมีวันเกิดขึ้น อย่างเช่นการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะหันหลังให้กับระบบป้องกันทางยุทธศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เริ่มฉายแววความเป็นไปได้แล้วอย่างแท้จริง

ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ จะแสดงความลังเลใจออกมา โดยไม่แสดงท่าทีแน่ชัดว่าต้องการจะปกป้องยุโรปหรือไม่ ซ้ำยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อทิศทางของแผนการด้านความมั่นคง ที่ยุโรปกำลังเดินหน้าจะไปให้ถึง โดยรายงานยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ ระบุว่าขณะนี้ยุโรปกำลังเผชิญความเสี่ยงอย่างชัดเจนที่จะ "ถูกทำลายลบล้างทางอารยธรรม"

รัสเซียขานรับรายงานฉบับดังกล่าวของสหรัฐฯ ทันที โดยบอกว่าแผนยุทธศาสตร์ของชาวอเมริกันฉบับนี้ มีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของผู้นำรัสเซียอย่างยิ่ง แต่ภายในประเทศรัสเซียเอง ประธานาธิบดีปูตินกลับต้องลงมือปิดปากฝ่ายค้านผู้ต่อต้านตัวเขาและสงครามในยูเครนจำนวนมาก ซึ่งผู้รายงานพิเศษประเด็นสิทธิมนุษยชนในรัสเซียของยูเอ็นบอกว่า ปูตินกำลังเจอกับปัญหาเงินเฟ้อที่ส่อแววจะหวนกลับมาอีกครั้ง รวมทั้งราคาน้ำมันดิบก็ตกต่ำ ทำให้ขาดรายได้จนต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำสงครามรุกรานยูเครน


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ปะทะคารมกันระหว่างการพบปะที่ทำเนียบขาว เมื่อเดือนก.พ. ของปีนี้

แม้ระบบเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะใหญ่กว่าของรัสเซียถึง 10 เท่า และยิ่งห่างไกลกันมากกว่านั้น หากคิดรวมเอาขนาดของระบบเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักรเข้าไปด้วย นอกจากนี้ ประชากรของภูมิภาคยุโรปรวมกันก็มีถึง 450 ล้านคน มากกว่าประชากรของรัสเซียที่มีอยู่ 145 ล้านคน ถึงสามเท่า แต่ถึงกระนั้นชาติต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตก ยังดูจะหวาดหวั่นอยู่ว่าตนเองอาจต้องสูญเสียความอบอุ่นใจ และขาดความสะดวกสบายแบบผู้ได้รับการดูแลจากสหรัฐฯ ไป เมื่อไม่นานมานี้ยุโรปก็ยังคงแสดงท่าทีอิดออด ไม่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเสริมสร้างความมั่นคงของตนเอง ตราบใดที่ยังสามารถโน้มน้าวใจสหรัฐฯ ให้คอยพิทักษ์ปกป้องยุโรปต่อไปได้

สหรัฐฯ เองก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นกัน เนื่องจากเริ่มมีอิทธิพลลดต่ำลงในเวทีโลก ทั้งยังหันมาใส่ใจกับกิจการภายในมากขึ้นกว่าเก่า ทำให้สหรัฐอเมริกาในตอนนี้ ผิดแผกแตกต่างจากสหรัฐอเมริกาที่ผมเคยรู้จัก และได้เคยรายงานข่าวถึงมาตลอดชีวิต ปัจจุบันสหรัฐฯ ย้อนกลับไปเป็นเหมือนในยุคทศวรรษ 1920-1930 ที่มุ่งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติเหนือสิ่งอื่นใด

แม้คาดกันว่าทรัมป์อาจจะสูญเสียอำนาจความแข็งแกร่งทางการเมืองไปมาก ในการเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้านี้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ทรัมป์น่าจะได้สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้สหรัฐฯ โดยเดินหน้าเข้าหาการแยกตัวโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกไปมากแล้ว จนกระทั่งประธานาธิบดีคนใหม่ที่มีใจฝักใฝ่ในพันธมิตรนาโต ซึ่งอาจได้มาจากการเลือกตั้งในปี 2028 ก็ยังไม่อาจจะทวนกระแสกลับไปโอบอุ้มยุโรปได้ง่าย ๆ ผมไม่คิดว่าประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย จะไม่สังเกตเห็นแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงนี้เลย

สงครามเสี่ยงยกระดับความรุนแรง

ดูเหมือนว่าปี 2026 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน น่าจะยินยอมทำข้อตกลงสันติภาพตามหน้าที่ เพื่อรักษาดินแดนผืนใหญ่ของยูเครนเอาไว้ให้ได้ แต่ก็ยังคงมีคำถามว่า พวกเขามีหลักประกันมากพอที่จะหยุดยั้งกองทัพรัสเซีย ไม่ให้หวนกลับมารุกรานอีกในช่วง 2-3 ปี ต่อจากนี้หรือไม่ ?

นั่นคือคำถามสำคัญของยูเครนและชาติพันธมิตรในยุโรป ซึ่งต่างก็รู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในภาวะสงครามกับรัสเซียไปเรียบร้อยแล้ว ในอนาคตยุโรปจะต้องก้าวเข้ามาช่วยรับผิดชอบ โดยให้การสนับสนุนด้านความมั่นคงต่อยูเครนมากขึ้น แต่หากสหรัฐฯ เมินหน้าหนียูเครนไปจริง ตามที่ได้เคยพูดขู่เอาไว้หลายครั้ง ภาระที่ยุโรปต้องเข้ามาแบกรับแทนนั้นจะหนักหนาสาหัสยิ่ง


หากสหรัฐฯ เมินหน้าหนียูเครนไปจริง ภาระด้านความมั่นคงที่ยุโรปต้องเข้ามาแบกรับแทนนั้น จะหนักหนาสาหัสยิ่ง

ส่วนคำถามที่ว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในที่สุดจะกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ไปหรือไม่นั้น ? เราต่างทราบกันดีว่าประธานาธิบดีปูตินเป็นนักพนันตัวยง มีบุคลิกแตกต่างจากผู้นำที่มีความระมัดระวังรอบคอบ ซึ่งจะไม่คิดรุกรานยูเครนเหมือนที่ปูตินทำในเดือนก.พ. ปี 2022 อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้บรรดาขุนพลและผู้นำทางการเมืองเลือดร้อนของรัสเซีย ยังเคยกล่าวข่มขู่ชาติตะวันตกว่า จะใช้อาวุธใหม่ที่มีอานุภาพร้ายแรงลบสหราชอาณาจักรและชาติยุโรปอื่น ๆ ออกจากแผนที่โลก แต่โชคยังดีที่ปูตินค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ดีกว่าลูกน้องในเรื่องนี้

แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรนาโต และยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน แต่ขณะนี้ความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้การโจมตีแบบเดียวกันจากฝ่ายตรงข้าม มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับสูงลิ่วจนน่ากลัวเลยทีเดียว

บทบาทของจีนในเวทีโลก

หันมาดูสมรภูมิฝั่งเอเชียตะวันออกกันบ้าง ไม่นานมานี้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ลั่นวาจาเป็นเชิงข่มขู่ไต้หวันอยู่สองสามครั้ง ซึ่งฟังดูสอดคล้องกับรายงานข่าวกรองที่นายวิลเลียมส์ เบิร์นส์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางหรือซีไอเอ (CIA) ของสหรัฐฯ เคยเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสีได้สั่งการให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนเตรียมพร้อม เพื่อบุกยึดเกาะไต้หวันภายในปี 2027 ดังนั้นนับจากนี้หากจีนไม่มีความเคลื่อนไหว หรือไม่ได้ลงมือขั้นเด็ดขาดใด ๆ กับไต้หวัน ผู้นำตลอดกาลอย่างประธานาธิบดีสี ก็จะกลายเป็นคนโลเลอ่อนแอในสายตาชาวจีนไปในทันที ซึ่งเขาย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

คนส่วนใหญ่มองว่าประเทศจีนในปัจจุบันทรงอำนาจอิทธิพลและมั่งคั่ง จนรัฐบาลจีนไม่ต้องสนใจกับความคิดเห็นสาธารณะของพลเมืองเลยก็ได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่การลุกฮือขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตย และต่อต้านผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเติ้ง เสี่ยวผิง ในปี 1989 ซึ่งจบลงด้วยเหตุสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน บรรดาผู้นำจีนได้คอยจับตาเฝ้าดูปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อพวกเขา ด้วยความใส่ใจหมกมุ่นและระมัดระวังอย่างยิ่ง

ตัวผมเองเคยเป็นผู้สังเกตการณ์ในโศกนาฏกรรมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินมาแล้ว โดยเฝ้าปักหลักทำข่าวอยู่ที่นั่น และหลายครั้งก็อาศัยกินนอนอยู่ที่จัตุรัสแห่งนี้เสียเลย


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (กลาง) ได้ลั่นวาจาเป็นเชิงข่มขู่ไต้หวันอยู่สองสามครั้งเมื่อไม่นานมานี้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 มิ.ย. 1989 ไม่ได้มีเพียงแค่ทหารกราดยิงใส่นักศึกษาที่มาชุมนุมประท้วง แต่ยังมีการปะทะนองเลือดเกิดขึ้นในกรุงปักกิ่งและในเมืองใหญ่อีกหลายแห่งของจีน ชนชั้นกรรมาชีพหลายพันคนพากันออกมาเดินขบวนประท้วงตามท้องถนน โดยหวังจะฉวยโอกาสที่ทหารยิงนักศึกษา โค่นล้มการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ไปด้วยในคราวเดียวกัน

เมื่อผมขับรถสำรวจไปตามท้องถนนในสองวันต่อมา ผมเห็นสถานีตำรวจ 5 แห่ง และกองบัญชาการตำรวจส่วนภูมิภาคอีก 3 แห่ง ถูกไฟเผาจนเหลือแต่ซาก ที่ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง กลุ่มผู้ประท้วงที่โกรธเกรี้ยวจับตำรวจมาเผาทั้งเป็น แล้วตั้งซากศพที่ดำเกรียมพิงไว้กับกำแพง หมวกที่เป็นเครื่องแบบตำรวจสวมอยู่บนศีรษะของศพในมุมเอียงเหมือนล้อเลียน ในปากของเขามีบุหรี่เสียบอยู่มวนหนึ่ง

เหตุการณ์ข้างต้นทำให้ผมสรุปได้ว่า รัฐบาลจีนในยุคนั้นไม่เพียงแค่กำราบปราบปรามการประท้วงอย่างยาวนานของนักศึกษา แต่ยังปราบปรามการลุกฮือต่อต้านครั้งใหญ่ของประชาชนคนธรรมดาลงได้อย่างราบคาบอีกด้วย

ปัจจุบันเหล่าผู้นำทางการเมืองของจีน ยังคงไม่สามารถจะกลบฝังความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อ 36 ปีก่อนได้ ทำให้พวกเขาเฝ้ามองหาสัญญาณของการลุกฮือต่อต้านอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวจากลัทธิฝ่าหลุนกง คริสตจักรที่เป็นอิสระต่าง ๆ ความเคลื่อนไหวของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง หรือแม้แต่การชุมนุมเล็ก ๆ เพื่อร้องเรียนเหตุทุจริตคอร์รัปชันในท้องถิ่น ทั้งหมดจะถูกปราบปรามอย่างรุนแรงไม่ต่างกัน

นับตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา ผมยังได้รายงานข่าวสถานการณ์จากจีนต่อไปอีกนานหลายปี ได้เห็นจีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง และยังได้รู้จักแม้กระทั่ง "ป๋อ ซีไหล" ผู้นำที่เป็นศัตรูคู่แข่งของสี จิ้นผิง มาอย่างยาวนาน เขาเป็นคนจีนที่ชื่นชมประเทศอังกฤษ และกล้าพูดคุยถึงเรื่องการเมืองของจีนอย่างเปิดเผย

ครั้งหนึ่งป๋อ ซีไหล บอกกับผมว่า "คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการออกเสียงเลือกตั้งของประชาชน รู้สึกหวาดระแวงและขาดความมั่นคงปลอดภัยขนาดไหน"

ป๋อ ซีไหล ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในปี 2013 หลังศาลไต่สวนพบว่ามีความผิดจริงฐานรับสินบน, ฉ้อโกง, และใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ


หลังจากปี 1989 เป็นต้นมา จอห์น ซิมป์สัน ยังได้รายงานข่าวสถานการณ์จากจีนต่อไปอีกนานหลายปี

หากจะกล่าวโดยสรุปแล้ว สถานการณ์ทั้งหมดที่ได้เอ่ยถึงทำให้ปี 2026 ดูจะเป็นปีสำคัญที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง จีนจะเติบโตและทรงอิทธิพลยิ่งขึ้น และแผนยุทธศาสตร์เพื่อบุกยึดไต้หวันของสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันที่เขาภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จะเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่า สงครามในยูเครนอาจสงบลงชั่วคราวด้วยข้อตกลงหยุดยิง แต่ก็เป็นไปได้มากว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายประธานาธิบดีปูตินมากกว่า

ข้อตกลงที่ว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ปูติน สามารถกลับมารุกรานแย่งชิงดินแดนของยูเครนได้ในรอบใหม่เมื่อเขาพร้อม ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นตัวการที่ทำให้ประเทศของเขาเหินห่างกับชาติยุโรปมากขึ้น แม้อำนาจทางการเมืองของทรัมป์น่าจะลดลง หลังผลการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือน พ.ย. ของปีหน้า ประกาศออกมาก็ตาม ส่วนสถานการณ์ความมั่นคงในปี 2026 จากมุมมองของยุโรป แทบจะไม่มีสิ่งใดที่ดูหมองหม่นเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว

หากคุณคิดว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะเป็นการระดมยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่กัน คุณอาจคิดผิดถนัด เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะเป็นการทำสงคราม ที่ใช้ทั้งกลยุทธ์การทูตและการทหารผสมผสานกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ระบอบการปกครองแบบอัตตาธิปไตย ที่ผู้นำคนเดียวมีอำนาจตัดสินใจในทุกเรื่อง จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูและอาจมีชัยชนะเหนือพันธมิตรชาติตะวันตก ซึ่งดูเหมือนว่าจะต้องถูกบีบให้แตกสลายไปในที่สุด และกระบวนการที่ว่านี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

https://www.bbc.com/thai/articles/c74wj182dqeo



เตือนแรง ถ้าไทย ไม่ยอม “ผ่าตัดโครงสร้าง” แต่เลือก ประคองด้วยการแจกเงินไปเรื่อยๆ ประเทศอาจ หลุดจากเส้นทางประเทศกำลังพัฒนา อย่างถาวร ไม่ใช่แค่ “โตช้า” แต่คือ โตไม่ทันโลก และถอยหลังเมื่อเทียบกับคนอื่น


เสียงในหัว
Yesterday
·
เหตุผลที่ Bloomberg มองว่าไทยเสี่ยง

1) เศรษฐกิจโตต่ำเรื้อรัง
•GDP โตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านต่อเนื่อง
•ไม่สร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

2) รายได้คนไทย “หยุดนิ่ง”
•ค่าแรงจริงแทบไม่เพิ่ม แต่ค่าครองชีพสูงขึ้น
•ชนชั้นกลางเริ่มถอย ความเหลื่อมล้ำฝังลึก

3) แรงงานหาย + สังคมสูงวัย
•คนวัยทำงานลดลง เด็กเกิดน้อย
•ผลิตภาพแรงงานไม่เพิ่ม แต่ภาระรัฐเพิ่ม

4) การลงทุนหนี
•นักลงทุนย้ายฐานไปประเทศที่
•นโยบายชัด
•แรงงานพร้อม
•โครงสร้างรัฐเอื้อต่อธุรกิจมากกว่า

5) เสพติด “แจกเงิน” แทนปฏิรูป
•ใช้นโยบายกระตุ้นระยะสั้น
•แต่ไม่แก้โครงสร้างใหญ่ เช่น
•การศึกษา
•ระบบราชการ
•ภาษี
•การผูกขาด



ประเด็นเตือนที่แรงที่สุด

ถ้าไทย ไม่ยอม “ผ่าตัดโครงสร้าง”
แต่เลือก ประคองด้วยการแจกเงินไปเรื่อยๆ
ประเทศอาจ หลุดจากเส้นทางประเทศกำลังพัฒนา → พัฒนาแล้ว อย่างถาวร

ไม่ใช่แค่ “โตช้า”
แต่คือ โตไม่ทันโลก และถอยหลังเมื่อเทียบกับคนอื่น
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1384687613223538&set=a.553222476370060



ที่สุดแห่งปีของ ‘คดีทางการเมือง’ ปี 2568 “หวังว่าเพื่อนเราจะได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระอีกครั้งในปี 2569”



ที่สุดแห่งปีของ ‘คดีทางการเมือง’ ปี 2568

30/12/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิในุษยชน

ตลอดปี 2568 ยังคงเป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แม้ภายใต้การนำของรัฐบาลพลเรือน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองยังคงถูกลิดรอน สิทธิประกันตัวของผู้ต้องขังทางการเมืองยังเป็นปัญหา ประชาชนยังอยู่กับคดีความจากการแสดงออกจำนวนมากในชั้นศาลและชั้นพิจารณาต่าง ๆ อีกทั้งกฎหมายนิรโทษกรรมคดีความทางการเมืองที่ปัจจุบันหลังยุบสภาฯ ก็ต้องหยุดชะงักไป และยังต้องติดตามว่าจะมีการนำกลับมาพิจารณาใหม่หรือไม่ หลังมีรัฐบาลใหม่

เวลากว่า 5 ปี ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่การชุมนุมครั้งใหญ่เมื่อปี 2563 ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการออกมาชุมนุมและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองพุ่งทะลุไปไม่น้อยกว่า 1,987 คน ในจำนวน 1,341 คดี และยังมีผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ไม่น้อยกว่า 55 ราย ซึ่งเป็นยอดผู้ต้องขังที่สูงสุดตั้งแต่รอบปี 2563 ที่ผ่านมา

ในปี 2568 นี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขอนำเสนอ “ที่สุด” ในหลากหลายเรื่องในแต่ละช่วงเดือนของปฏิทินจากสถานการณ์คดีทางการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี เพื่อชวนทบทวนและเป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของสิทธิมนุษยชนไทย

ขอเชิญชวนประชาชนร่วมจดจำเรื่องราวของความ “ที่สุด” เหล่านี้ไปด้วยกัน
 


มกราคม: คดีละเมิดอำนาจศาล ‘อานนท์ นำภา’ เหตุถอดเสื้อประท้วงศาลไม่ออกหมายเรียกให้ต่อสู้คดี จุดเริ่มต้น “ห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี”

เมื่อเดือน ม.ค. 2568 อานนท์ นำภา ถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล จากเหตุที่ถอดเสื้อประท้วงศาลที่ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญในคดีมาตรา 112 #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 หลังคดีไต่สวนเพียง 1 นัด ซึ่งในนัดดังกล่าวอานนท์ถอดเสื้อประท้วงอีกครั้ง หลังศาลจะพิจารณาคดีลับ โดยการประท้วงดังกล่าวเป็นไปเพื่อรักษาเกียรติประชาชนที่มาติดตามการพิจารณาคดี ก่อนศาลยอมให้ประชาชนนั่งฟังในห้องพิจารณาต่อไป

หลังการไต่สวนเสร็จสิ้นในเดือน มี.ค. 2568 คดีถูกนัดฟังคำสั่งในเดือนเดียวกัน ในวันดังกล่าวศาลไม่เบิกตัวอานนท์ขึ้นไปที่ห้องพิจารณาคดีและเรียกทนายความไปฟังคำสั่งที่ห้องเวรชี้ ไม่ให้ประชาชนเข้าฟัง ซึ่งต่อมาทราบจากอานนท์ว่าศาลมีคำสั่งลงโทษจำคุก 6 เดือน รวมทั้งอานนท์ยังพยายามแสดงออกประท้วงการอ่านคำสั่งในลักษณะที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนดังกล่าว โดยการถอดเสื้อประท้วง และเตะขาซึ่งสวมโซ่กุญแจข้อเท้าสลับซ้ายขวาไปเรื่อย ๆ ระหว่างศาลอ่านคำสั่ง

ในวันที่ศาลอ่านคำสั่งในห้องเวรชี้ พบว่าศาลมีคำสั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี ระบุว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป” ลงในรายงานกระบวนพิจารณาคดี

ต่อจากนั้นเรื่อยมาการพิจารณาในหลายคดีของศาลอาญา โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 ถูกระบุเหมือนกันทุกตัวอักษรในแต่ละคดี แม้จะไม่ใช่องค์คณะผู้พิพากษาเดียวกัน จนถึงปัจจุบันมี 11 คดีแล้ว อาจสะท้อนว่าไม่ได้เกิดจากดุลยพินิจเฉพาะกรณีของผู้พิพากษาแต่ละราย แต่เป็นผลจากนโยบายจากผู้บริหารศาล หากเป็นเช่นนี้จริง ย่อมขัดต่อหลักการอิสระของตุลาการ (Judicial Independence) เพราะอำนาจในการออกคำสั่งจำกัดสิทธิควรอยู่ภายใต้การพิจารณาความเหมาะสมในแต่ละคดี มิใช่แนวนโยบายแบบเหมารวม

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ศาลอาญาเบิกตัวอานนท์ ไต่สวนคดี “ละเมิดอำนาจศาล” โดยไม่มีทนายความ ก่อนเลื่อนไปไต่สวนอีกครั้ง 5 มี.ค. 68

สถิติคดีที่ศาลมีคำสั่ง ‘ห้ามเผยแพร่’ เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี



กุมภาพันธ์: กรมราชทัณฑ์ออกนโยบายย้ายนักโทษในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นักโทษการเมืองถูกบังคับย้ายเรือนจำ 16 ราย

จากสถานการณ์โยกย้ายผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ ตามนโนบายของกรมราชทัณฑ์ในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2568 ได้กำหนดให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเรือนจำสำหรับรองรับควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ทุกประเภท

นโยบายดังกล่าวส่งผลให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทยอยย้ายผู้ต้องขังที่คดีเด็ดขาดแล้ว ไปควบคุมตัวที่เรือนจำอื่น ๆ แทน แต่ในความเป็นจริง กลุ่มผู้ต้องขังที่คดียังไม่สิ้นสุด อย่างผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาเองก็ถูกย้ายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

สำหรับผู้ต้องขังในคดีการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ บางส่วนถูกย้ายตัวไปคุมขังในเรือนจำอื่น ๆ พร้อมกับผู้ต้องขังทั่วไปด้วย โดยพบว่ามีผู้ต้องขัง 16 คน (เป็นผู้ต้องขังคดีถึงที่สุด 5 คน และผู้ต้องขังที่คดียังไม่สิ้นสุด 11 คน) ได้แก่ คเชนทร์, ขุนแผน, จักรี, วีรภาพ วงษ์สมาน, อัฐสิษฎ, พีรพงษ์, “ก้อง” อุกฤษฎ์ สันติประสิทธิ์กุล, สถาพร, “บุ๊ค” ธนายุทธ ณ อยุธยา, ขจรศักดิ์, ประวิตร, วีรวัฒน์, เมธี อมรวุฒิกุล, “วิจิตร”, อนุชา และทีปกร กระจายไปในเรือนจำ 4 แห่ง ได้แก่ เรือนจำกลางบางขวาง เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา และเรือนจำพิเศษธนบุรี

การย้ายดังกล่าวไม่มีการแจ้งญาติล่วงหน้า ทำให้เกิดปัญหาการติดตามไปขอเยี่ยมในช่วงต้น อีกทั้งส่งผลกระทบในหลายด้าน มีทั้งด้านดีที่บางคนพบว่าเรือนจำใหม่ไม่แออัดเท่าเรือนจำเดิม และอาหารพอจะมีคุณภาพมากกว่า แต่ก็มีด้านที่ต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกัน เผชิญกับการปรับตัวใหม่ รวมทั้งปัญหาเรื่องการเยี่ยมและการส่งจดหมายสื่อสารกับบุคคลภายนอก ซึ่งนำไปสู่คำถามเกี่ยวกับมาตรฐานของแต่ละเรือนจำของกรมราชทัณฑ์

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เปิด Map ใหม่ของผู้ต้องขังทางการเมือง: พบถูกบังคับย้ายเรือนจำ 16 ราย เผชิญปัญหาการเยี่ยม-ส่งจดหมาย



มีนาคม: ศาลปกครองสูงสุด สั่งเพิกถอนกฎกระทรวงปี 2518 ว่าด้วย “ทรงผมนักเรียน” ทันที ระบุจำกัดเสรีภาพ-ไม่สอดคล้องอัตลักษณ์ทางเพศ

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีที่ตัวแทนนักเรียน “กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท” รวม 13 ราย ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางตั้งแต่เมื่อปี 2563 โดยมีกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขอให้เพิกถอนกฎกระทรวงเกี่ยวกับการไว้ผมทรงผมของนักเรียนตั้งแต่เมื่อปี 2518 ที่ออกตามความในประกาศของคณะรัฐประหารยุคจอมพลถนอม กิตติขจร

ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) เกี่ยวกับการไว้ผมทรงผม โดยเห็นว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ปี 2515 ออกโดยไม่ได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย และความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล จึงมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ จึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เปิดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดฉบับเต็ม ให้ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยทรงผมนักเรียนทันที ไม่เหมาะกับสมัยนิยม เป็นการละเมิดสิทธิบนเนื้อตัวเกินเหตุ



เมษายน: พอล แชมเบอร์ส ถูกจับกุม-คุมขังคดี ม.112 สองเดือนถัดมาอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี

เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2568 ดร.พอล เแชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน และอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรในขณะนั้น ได้เข้ามอบตัวตามหมายจับในคดีมาตรา 112 ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก จากเหตุมีการเผยแพร่คำโปรยหรือข้อความแนะนำงานเสวนาวิชาการในเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ของประเทศสิงคโปร์ และมีแม่ทัพภาค 3 ในนาม ผอ.รมน.ภาค 3 มอบอำนาจให้นายทหารไปกล่าวหา

การถูกกล่าวหาดังกล่าว ตำรวจยังนำตัวพอลไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก และศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว 2 ครั้ง ทำให้ต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำในคืนนั้น

กระทั่งวันรุ่งขึ้น หลังการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งให้ประกันตัวระหว่างสอบสวน โดยให้วางหลักประกัน 300,000 บาท ให้วางหนังสือเดินทาง (Passport) ไว้ต่อศาล และติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) ในวันเดียวกัน พอลยังถูกเพิกถอนวีซ่า ทำให้จะต้องประกันตัวโดยวางเงินประกันไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลกอีก 300,000 บาท

จนเวลาผ่านมาเกือบสองเดือน อัยการสูงสุดมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ลงวันที่ 27 พ.ค. 2568 โดยสรุปแล้วเห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอว่า ดร.พอล เป็นผู้จัดทำข้อความตามเอกสารดังกล่าวหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าว จึงทำให้คดีของพอลสิ้นสุดลงแล้ว

กรณีนี้สะท้อนปัญหาการใช้มาตรา 112 ในหลากหลายด้าน ทั้งการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ทหาร ผลกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการ รวมทั้ง ดร.พอล ยังได้รับผลกระทบทั้งการถูกคุมขังในเรือนจำ 1 คืน การถูกให้ใส่กำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เป็นระยะเวลา 21 วัน การต้องสูญเสียงานที่มหาวิทยาลัยนเรศวร และความรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตทางวิชาการในประเทศไทย

หลังจากนั้นทนายความรับมอบอำนาจจาก ดร.พอล ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีทำให้ได้รับความเสียหายจากคำสั่งเพิกถอนวีซ่าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนมากกว่า 3.6 ล้านบาท

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

“พอล แชมเบอร์ส” นักวิชาการ ม.นเรศวร ถูกออกหมายจับคดี ม.112 เหตุกองทัพภาคที่ 3 กล่าวหา เตรียมเข้ารับทราบข้อหา 8 เม.ย.

สิ้นสุดแล้ว! อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ม.112 ‘พอล แชมเบอร์ส’ เห็นว่าไม่ปรากฏว่าเป็นผู้โพสต์

“พอล แชมเบอร์ส” มอบอำนาจยื่นฟ้องกลับตำรวจ ออกคำสั่งเพิกถอนวีซ่าไม่ชอบ เรียกค่าเสียหายกว่า 3.6 ล้านบาท



พฤษภาคม: สั่งฟ้อง ‘เนติวิทย์’ อารยะขัดขืนไม่เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วรอฟังคำพิพากษาปี 69

จากเหตุที่ ‘แฟรงค์’ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อ่านแถลงการณ์อารยะขัดขืน ไม่เข้าร่วมกับการบังคับเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection) เนื่องจากขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน ความเชื่อทางศีลธรรม ทั้งยังล้าสมัย ไม่มีประสิทธิภาพ และมีส่วนทำให้สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตย และการไม่เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารของเขานั้นเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ เพื่อสิทธิเสรีภาพของพลเมืองที่ดีขึ้น และเพื่อให้กองทัพที่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสมกับยุคสมัย โดยแถลงการณ์ดังกล่าวถูกอ่านในสถานที่ตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการประจำปี 2567 (เกณฑ์ทหาร) ที่เทศบาลตำบลบางปู จ.สมุทรปราการ

หลังจากนั้นเนติวิทย์ถูกดำเนินคดีในข้อหา “หลีกเลี่ยงไม่เกณฑ์ทหาร” ตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 45 ซึ่งเมื่อเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีต่อศาลแขวงสมุทรปราการ ก่อนที่จะสืบพยานแล้วระหว่างวันที่ 10-11 ก.ย. 2568 จนเสร็จสิ้น โดยฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่

คดีนี้ยังคงอยู่ในระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนศาลแขวงสมุทรปราการจึงจะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป ซึ่งคาดว่าอาจจะมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาออกมาในปีหน้า

คดีนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายในเรื่องสิทธิของพลเมืองในการปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรมครั้งแรกในประเทศไทย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

สั่งฟ้อง “เนติวิทย์” กรณีอารยะขัดขืนไม่เข้ารับการเกณฑ์ทหาร -ชี้ปฏิเสธด้วยเหตุผลทางมโนธรรม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ก่อนศาลสั่งไม่ขัง

ย้อนดูเส้นทาง 11 ปี การปฏิเสธการบังคับเกณฑ์ทหารด้วยมโนธรรมของ “เนติวิทย์”



มิถุนายน: ‘วิจิตร’ ป่วย แพทย์วินิจฉัยปอดอักเสบเรื้อรัง เกิด #วิจิตรต้องได้รักษา ผลักดันการดูแลนักโทษในเรือนจำ

“วิจิตร” (นามสมมติ) ผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 10 ปี ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์ข้อความทางการเมืองในช่วงหลังรัฐประหาร ปี 2557-58 รวม 10 โพสต์ และศาลยังคงไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี ระยะแรกวิจิตรถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนภายหลังถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม

หลังถูกขังมาระยะหนึ่งในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 วิจิตรมีอาการป่วยวิกฤติ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจพบว่าเขามีภาวะปอดติดเชื้อและมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ต่อมาหลังอาการเริ่มทรุดลงและมีติดตามอาการจากสังคม วิจิตรถูกส่งตัวมาตรวจร่างกายและแอดมิทที่สถาบันโรคทรวงอก ผ่าตัดนำชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองส่งตรวจแล้วไม่พบเชื้อวัณโรค แต่วินิจฉัยว่าเป็นอาการปอดติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งต้องรับยาสเตียรอยด์

วิจิตรแอดมิทอยู่ที่สถาบันโรคทรวงอกเป็นระยะเวลารวม 10 วัน จนเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 จึงถูกส่งตัวกลับไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ปัจจุบันเขาถูกย้ายกลับมาขังที่เรือนจำกลางคลองเปรมแล้ว หลังอาการเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ยังคงไม่ได้รับสิทธิประกันตัว แม้คดีจะอยู่ในเกณฑ์ตามกฎหมายนิรโทษกรรม

ในช่วงที่วิจิตรมีอาการทรุดหนัก เกิดแฮ็ชแท็ก #วิจิตรต้องได้รักษา โดยประชาชนร่วมกันจับตาและผลักดันเพื่อเรียกร้องสิทธิการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมให้กับผู้ต้องขังอีกด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

แพทย์วินิจฉัย ‘วิจิตร’ ป่วยปอดอักเสบเรื้อรัง ต้องรักษาต่อเนื่อง 6 เดือน เตือนสภาพเรือนจำไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วย ล่าสุดถูกส่งตัวกลับ รพ.ราชทัณฑ์ แล้ว



กรกฎาคม: สภาผู้แทนราษฎรปัดตกกฏหมาย “นิรโทษกรรมประชาชน”

16 ก.ค. 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง โดยลงมติผ่านความเห็นชอบในวาระแรกต่อร่างจำนวน 3 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่เสนอโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน (เดิม) และพรรคภูมิใจไทย และไม่รับหลักการใน 2 ฉบับ คือร่างของพรรคก้าวไกล (เดิม) และฉบับของเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน

“นิรโทษกรรมประชาชน” คือร่างกฎหมายที่ภาคประชาชนกว่า 35,905 รายชื่อเสนอต่อรัฐสภา เพื่อนิรโทษกรรมประชาชนในคดีความที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ครอบคลุมทุกคดีรวมถึงคดีมาตรา 112 ตั้งแต่ช่วงเวลาหลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา

หากการนิรโทษกรรมเกิดขึ้นภายใต้ความผิดแนบท้ายตามร่างกฎหมายสามฉบับที่ผ่านมติเห็นชอบ ผู้ชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองในช่วงปี 2563 เป็นต้นมา จะได้รับประโยชน์เพียงบางส่วนเท่านั้น โดยจากการประมาณการของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีไม่น้อยกว่า 1,977 คน ใน 1,331 คดี จะมีคดีที่ถูกกล่าวหาในข้อหาซึ่งไม่มีในบัญชีแนบท้ายของร่างนิรโทษกรรมทั้งสามฉบับ อยู่อย่างน้อย 805 คดี คิดเป็นผู้ถูกดำเนินคดีค้างอยู่กว่า 1,218 คน ที่จะไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามกฎหมายทั้งสามฉบับ หรือได้ประโยชน์เพียงบางส่วน (ต่อมาในชั้นกรรมาธิการได้มีการเพิ่มเติมข้อหาในบัญชีแนบท้ายเพิ่มเติม)

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2568 หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ส่วนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขฯ ที่ค้างการพิจารณาอยู่ในกรรมมาธิการของวุฒิสภาต้องตกไป แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 147 วรรคสองเปิดช่องให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง ร้องขอต่อรัฐสภาให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่ตกไปภายใน 60 วัน นับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองในยุคหลังปี 2563 จำนวนกว่า 1,218 คน อาจไม่ได้ประโยชน์จากร่างกฎหมายนิรโทษกรรม 3 ร่าง ที่สภารับรอง

หากอนุทินรีบยุบสภาหนี ร่างแก้รัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรม-อากาศสะอาดฯ ร่างกม.รวม 106 ฉบับอาจ “ตกไป” ทันที



สิงหาคม: ปล่อยตัว ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’ สิ้นสุดการคุมขังคดี ม.112 นาน 8 ปี 4 เดือน 19 วัน

เดือน ส.ค. 2568 มีผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองถูกปล่อยตัวจากเรือนจำทั้งสิ้น 6 คน ได้แก่ อัญชัญ ปรีเลิศ, สมบัติ ทองย้อย, สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ, ธนายุทธ ณ อยุธยา, ธนพร และทีปกร หลังเข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2568

สำหรับกรณีของ อัญชัญ ปรีเลิศ ที่ถูกปล่อยตัวในเดือน ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา เป็นผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในผู้อัปโหลดและเผยแพร่คลิปเสียงของ “บรรพต” ดีเจผู้จัดรายการวิทยุใต้ดิน รวมทั้งหมด 29 ครั้ง เป็นความผิด 29 กระทง นับเป็นการสิ้นสุดการคุมขังรวมทั้งสิ้น 8 ปี 4 เดือน 19 วัน

หากย้อนกลับไปในช่วงปี 2563 อัญชัญเคยนับเป็นผู้ถูกพิพากษาจำคุกคดีมาตรา 112 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น จากนั้นเธอก็ตัดสินใจไม่อุทธรณ์คดีอีก ทำให้อัญชัญกลายเป็นผู้ต้องขังคดีถึงที่สุดตั้งแต่นั้นเรื่อยมา

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ต้องขังได้รับการปล่อยตัวในครั้งดังกล่าว แต่เป็นผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้วและเข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ เท่านั้น แต่ยังคงมีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองอีกหลายคนยังคงถูกคุมขังอยู่

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ปล่อยตัว “อัญชัญ ปรีเลิศ” สิ้นสุดการคุมขังคดี ม.112 นาน 8 ปี 4 เดือน 19 วัน



กันยายน: ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคดี ม.110 ลงโทษสูง จำคุก ‘เอกชัย’ 21 ปี 4 เดือน อีกสี่คน 16 ปี ด้าน ‘ไผ่-ครูใหญ่’ ก็ถูกพิพากษาจำคุกคดี ม.112 ทั้งหมดถูกคุมขัง

ในช่วงเดือน ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดี “ประทุษร้ายต่อเสรีภาพพระราชินี” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 ของ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ, “เก่ง” ชนาธิป และ “ขวัญ” ภาณุภัทร์ จากเหตุถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีและเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและอัยการโจทก์อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นเห็นว่าการกระทำของทั้งห้าคนเป็นความผิด ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี ส่วนเอกชัยจำคุก 21 ปี 4 เดือน ไม่รอการลงโทษ ทำให้ทั้งห้าคนถูกนำตัวไปคุมขังอยู่ในเรือนจำจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัวออกมาต่อสู้คดีในชั้นฎีกา

นอกจากนั้นแล้วในเดือนเดียวกัน ยังมีคดีมาตรา 112 ของ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ จากกรณีปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในการชุมนุมหน้าโรงเรียนภูเขียวและ สภ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 เพื่อเรียกร้องให้ตำรวจ สภ.ภูเขียว ขอโทษ กรณีไปคุกคามนักเรียนที่บ้าน

ศาลจังหวัดภูเขียวได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจตุภัทร์ 2 ปี 12 เดือน และจำคุกอรรถพล 2 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าการหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์ย่อมกระทบถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แม้คำปราศรัยไม่เอ่ยถึงกษัตริย์องค์ใด แต่จำเลยเกิดใน ร.9 และอยู่ในช่วง ร.10 เชื่อว่าเจตนาสื่อถึง ร.9 – ร.10 หลังศาลปฏิเสธการให้ประกันตัว ทำให้ปัจจุบันทั้งสองคนยังถูกคุมขังอยู่ และคดียังอยู่ในระหว่างชั้นฎีกา

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา คดี ม.110 เชื่อว่า 5 จำเลย พยายามขัดขวาง “ขบวนเสด็จ” ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี ส่วน “เอกชัย” เพิ่มโทษรวม 21 ปี 4 เดือน รอลุ้นประกันชั้นฎีกา

พิพากษายืน จำคุก “ไผ่” 2 ปี 12 เดือน “ครูใหญ่” 2 ปี คดี 112 ศาลอุทธรณ์ชี้ แม้คำปราศรัยไม่เอ่ยถึงกษัตริย์องค์ใด แต่จำเลยเกิดในรัชกาลที่ 9 – อยู่ในรัชกาลที่ 10 เชื่อว่าเจตนาสื่อถึง ร.10


ตุลาคม: ต้องถูกขังจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิด “แดง ชินจัง” ถูกขัง 1 ปีเศษจนปล่อยตัว หลังยกฟ้องครบ 5 คดี

“แดง ชินจัง” หรือยงยุทธ ผู้ถูกดำเนินคดีเกี่ยวเนื่องกับวัตถุระเบิดฯ จากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 2557 จำนวน 5 คดี ถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นช่วงภายหลังที่ศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องและไม่อนุญาตให้ประกันตัวเรื่อยมา

ถึงแม้ยงยุทธจะพยายามยื่นคำร้องขอประกันตัวในทุกคดีรวมกันถึง 49 ฉบับ (แยกเป็นการยื่นขอประกันตัวในศาลชั้นต้น 38 ฉบับ และยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันตัวต่อศาลอทุธรณ์ 11 ฉบับ) และระบุเหตุผลประกอบเรื่องพยานหลักฐานในคดีที่ถูกกล่าวหามาจากการที่จำเลยถูกซ้อมทรมานไปด้วยก็ตาม อีกทั้งเมื่อศาลอาญาทยอยมีคำพิพากษายกฟ้องออกมาแต่ละคดีแล้ว ก็ยังคงปฏิเสธการให้ประกันตัวในคดีที่เหลืออยู่

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2568 ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องครบทั้ง 5 คดีที่เขาถูกคุมขังอยู่ เป็นผลให้เขาถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ หลังถูกขังระหว่างพิจารณายาวนานถึง 415 วัน หรือประมาณ 1 ปี 1 เดือนเศษ โดยที่ไม่เคยได้รับสิทธิประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีแม้แต่ครั้งเดียว

ในทางหลักการ มาตรการของศาลในการขังผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ระหว่างพิจารณาคดี มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อควบคุมไม่ได้ผู้กระทำความผิดหลบหนี ไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ก่อเหตุอันตรายอื่น อาจเกิดอุปสรรคหรือความเสียหายต่อการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งยงยุทธถูกแจ้งข้อกล่าวหาและได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน ไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี อีกทั้งยืนยันต่อสู้คดีถึงที่สุด รวมทั้งก่อนหน้านี้เขาก็เคยถูกกล่าวหาและคุมขังในคดีอื่น ๆ ในช่วง คสช. แต่ก็ต่อสู้คดีจนสิ้นสุดเรื่อยมาโดยไม่ได้หลบหนี

แต่ก็พบว่าศาลก็ไม่ได้พิจารณาคุ้มครองสิทธิในการได้รับประกันตัวเพื่อออกมาสู้คดีของจำเลยตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างชัดเจนมากนัก คำถามสำคัญจึงอยู่ที่มาตรฐานการพิจารณาคำสั่งให้ประกันตัวของศาลว่า จำเลยในคดีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความมั่นคง’ หรือเพียงแต่ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาที่มี “ความร้ายแรง” แม้พยานหลักฐานจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะต้องถูกคุมขังจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิดหรือไม่

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ศาลอาญายกฟ้อง “แดง ชินจัง” 2 คดีสุดท้ายเหตุระเบิดชุมนุม กปปส. ปี 57 รอปล่อยตัวค่ำนี้ สิ้นสุดการคุมขัง 415 วัน โดยไม่ได้สิทธิประกันตัว

ต้องถูกขังจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิด: “แดง ชินจัง” ผู้ถูกคุมขังนาน 415 วัน และคำร้องขอประกันตัวที่ถูกปฏิเสธถึง 49 ฉบับ



พฤศจิกายน: สั่งฟ้อง ม.112 ‘เจ๊จวง – เจ๊เทียม’ ติดป้ายหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว เรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา และ ‘ยาใจ’ ชูสามนิ้วต่อหน้าพระเทพฯ

เมื่อเดือน พ.ย. 2568 มีคดีมาตรา 112 ถูกสั่งฟ้องต่อศาล 3 คดี ซึ่งในจำนวนนั้น มีคดีของ “เจ๊จวง” และ “เจ๊เทียม” สองแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว ซึ่งถูกดำเนินคดีจากเหตุติดป้ายไว้บริเวณหน้าร้าน มีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112, งบประมาณแผ่นดิน และเรียกร้องให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” จำนวน 2 ป้าย เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 โดยคดีนี้มี ทรงชัย เนียมหอม สมาชิกกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส.) เป็นผู้กล่าวหา

คำฟ้องของอัยการระบุว่าป้ายที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว มีประชาชนทั่วไปเดินผ่านไปมาและพบเห็นข้อความได้ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

ส่วนอีกคดีหนึ่ง เป็นคดีมาตรา 112 ของ “ยาใจ” ทรงพล สนธิรักษ์ ซึ่งถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ‘ชูสามนิ้ว’ ต่อกรมสมเด็จพระเทพฯ ระหว่างพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2565 และเผยแพร่โดยการให้สัมภาษณ์ต่อเพจ “ทะลุมข” และ “The Isaan Record” โดยถูกสั่งฟ้องเป็น 3 กรรม

ในคดีนี้คำฟ้องของอัยการระบุว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพฯ ซึ่งเป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงออกถึงข้อเรียกร้องทางการเมืองต่อต้านอำนาจเผด็จการให้หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่ได้แสดงความเคารพสักการะและปฏิบัติตามขั้นตอนการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์

การสั่งฟ้องคดีลักษณะนี้ ยังทำให้ต้องติดตามสถานการณ์การต่อสู้คดีมาตรา 112 ในปีต่อไป

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

อัยการสั่งฟ้องคดี ม.112 “เจ๊จวง – เจ๊เทียม” สองแม่ค้าบะหมี่ กรณีติดป้ายหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา

สั่งฟ้องคดี ม.112 ‘ยาใจ ทะลุฟ้า’ กล่าวหาชูสามนิ้วต่อหน้าสมเด็จพระเทพฯ ในพิธีรับปริญญา มข. โดยไม่แสดงความเคารพสักการะ



ธันวาคม: ศาลฎีกาพิพากษา ‘บัสบาส’ จำคุกสูง 46 ปี คดี ม.112 ด้านผู้ต้องขังการเมือง 55 คน ถูกขังข้ามปี ไม่มีโอกาสได้ฉลองปีใหม่กับครอบครัว

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2568 ศาลจังหวัดเชียงรายอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีของ “บัสบาส” หรือมงคล ถิระโคตร ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 27 โพสต์ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2564 แก้จากเดิมในชั้นอุทธรณ์ ถูกลงโทษจำคุก 50 ปี เป็นลงโทษจำคุก 46 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากให้แก้เป็นยกฟ้องในความผิด 2 กระทง แต่โทษจำคุกของศาลฎีกาในคดีนี้ ยังนับได้ว่าเป็นคดีมาตรา 112 ที่โทษสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ในช่วงวันหยุดยาวนี้ หลาย ๆ คนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวหรือคนรัก พร้อมกับการเฉลิมฉลองและเสียงนับถอยหลังต้อนรับปีใหม่ 2569 ผู้ต้องขังทางการเมืองทั้ง 55 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต้องผ่านพ้นปีใหม่โดยห่างไกลจากบรรยากาศเหล่านั้น

28 คน ซึ่งเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของผู้ต้องขังทางการเมืองทั้งหมด เป็นผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี ยังคงรอคอย “สิทธิประกันตัว” เพื่อที่จะได้รับ “อิสรภาพ” และออกมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว

ด้าน “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร ถูกคุมขังมาจวนครบ 2 ปี และอาจจะต้องอยู่ในเรือนจำอีก 44 ปี กว่าจะได้ออกมาฉลองปีใหม่กับครอบครัว ทั้งนี้เขายังมีคดีมาตรา 112 ที่รอคำพิพากษาในศาลฎีกาอีก 1 คดีด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

รายชื่อผู้ต้องขังทางการเมือง 2568

ยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ศาลฎีกาพิพากษาแก้คดี ม.112 “บัสบาส” เป็นลงโทษจำคุก 46 ปี จากเดิมชั้นอุทธรณ์ลง 50 ปี

https://tlhr2014.com/archives/80797



สิ้นปีนี้ อย่างน้อย 55 คน ถูกคุมขังข้ามปี หนึ่งในนั้นคือ "วุฒิ" ผู้ฝากคำอวยพรมาถึงทุกคนจากหลังกรงขัง


Amnesty International Thailand
10 hours ago
·
สิ้นปีนี้ อย่างน้อย 55 คน ถูกคุมขังข้ามปี
หนึ่งในนั้นคือ "วุฒิ" ผู้ฝากคำอวยพรมาถึงทุกคนจากหลังกรงขัง
ประชาชนวัย 50 ปีคนนี้ เป็นคนจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาถูกคุมขังมาแล้ว 1,010 วัน ในคดี ม.112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กจำนวน 12 ข้อความ ศาลอาญามีนบุรีพิพากษาจำคุก 12 ปี 72 เดือน (ประมาณ 18 ปี)
.
วุฒิเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เคยทำงานเป็นช่างเชื่อมในโรงงาน แต่ตอนหลังได้มารับงานเป็นช่างเชื่อมอิสระ ก่อนหน้านี้ได้ติดตามการเมืองมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เคยไปร่วมการชุมนุมทั้งการคัดค้านรัฐประหารและการชุมนุมกับคนเสื้อแดงมาก่อน ในฐานะผู้ชุมนุม
.
จดหมายฉบับนี้จากเขา ลงชื่อด้วยคำว่า 'นช. วุฒิ คนที่ถูกลืม'
แม้จะลงชื่ออย่างนั้น แต่เขาก็ยังขอบคุณโปสการ์ดจากทุกคน และยืนยันว่าเขาเก็บรักษาจดหมายทุกฉบับไว้เป็นอย่างดี
.
และยังฝากคำอวยพรถึงทุกคนในโอกาสที่วันปีใหม่
.
จดหมายของเขาระบุข้อความว่า..
.
'สวัสดีครับ เจ้าหน้าที่แอมเนสตี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายฯ ฟรีด้อมบริดจ์ ทุกท่านที่อยู่ข้างนอก และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ยังห่วงใยและคอยให้กำลังใจกับพวกที่ถูกคุมขัง รวมถึงช่วยบริจาคซัพพอร์ตให้กับฟรีด้อมบริดจ์ เพื่อช่วยเหลือพวกเราที่ถูกคุมขังอยู่
.
ความมีเมตตา มิตรไมตรี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่หยิบยื่นให้กับพวกเราของทุกท่าน มันช่างยิ่งใหญ่และประเมินค่าไม่ได้เลยครับ (มือของผู้ให้คือใจแห่งความสุขของผู้รับ รอยยิ้มแห่งความหวังของคนหลังม่านลูกกรงเหล็ก)
.
สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากว่าพวกเราไม่มีปฏิสัมพันธ์ และอุดมการณ์เพื่อสิทธิและเพื่อสังคมร่วมกัน
ผมและเพื่อนอาจโชคร้ายที่โชคชะตาไม่เข้าข้าง เลยต้องถูกคุมขังให้สิ้นอิสรภาพทางกาย
.
แม้ตัวจะถูกคุมขัง แต่หัวใจยังภักดีต่ออุดมการณ์เพื่อสิทธิเสรีภาพทางสังคมเหมือนเดิมครับ
.
นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.เก่าและเรื่องเล่าเก่า ๆ กำลังจะหมดไป พ.ศ.ใหม่กำลังจะมา ผม น.ช.วุฒิขออวยพรให้กับทุก ๆ ท่าน เริ่มต้นชีวิตใหม่ กับพ.ศ.ใหม่ ขอให้มีความสุขกับความท้าทายใหม่ ๆ และขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ทำ และประสบความสำเร็จในธุรกิจที่มี ขอให้มีแต่ความร่ำรวย มั่นคง เจริญ ๆ ประสบผลสำเร็จทุกท่าน
.
ปีใหม่นี้ผมกราบขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านเคารพไหว้บูชาให้กับทุกท่านและครอบครัว ขอให้มีแต่ความสุขทั้งกายและใจ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง โปรดอย่าเจ็บไข้
.
ขอให้ทุกท่านเดินทางปลอดภัย เดินทางใกล้ไกล จะขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ เดินทางท่องเที่ยวหรือเดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย เดินทางสู่เป้าหมาย สู่อ้อมอกอ้อมกอดของคนที่รักของครอบครัวอย่างมีความสุขสมหวังทุกท่านครับ
.
สำหรับผมนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมเพชตัวเองดี ชีวิตต้องติดคุก ต้องถูกตัดหาง เขี่ยทิ้ง สูญสิ้นอิสรภาพทางกาย หัวใจถูกทำลายโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นเพราะเราที่เกิดมาจน เป็นคนต้นทุนชีวิตต่ำ จึงไม่ใช่กุญแจดอกสำคัญที่จะเหนี่ยวรั้งชีวิตใคร ช่างมัน อดีตเป็นเพียงคำมั่นสัญญา กาลเวลาคือปัจจุบันของโลกแห่งความจริง
.
ผมอยากรู้จัง บทละครชีวิตจริงของมนุษย์บนโลกใบนี้ ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์ (ขอระบายครับ 555+++)
.
จดหมายและโปสการ์ดเขียนให้กำลังใจของทุกท่าน ที่เขียนถึงพวกเราที่ส่งเข้ามา ผมอ่านทุกข้อความ ตัวอักษร ผมอ่านทีไรตื้นตันใจ ปิติแห่งความสุขเสมอ จดหมายและโปสการ์ดของทุกท่าน ผมเก็บรักษาไว้อย่างดี ผมกราบขอบพระคุณทุกท่านที่มีเมตตาและคอยส่งกำลังใจให้กับพวกเราที่ถูกคุมขังอยู่ครับ
.
ผมเป็นคนการศึกษาต่ำ หากใช้คำใดไม่ถูกและไม่สุภาพ ผมกราบขออภัยมา ณ ตรงนี้ด้วยครับ สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับ
.
นช. วุฒิ คนที่ถูกลืม'
.
จดหมายของคุณ คือหน้าต่างใบสำคัญของเพื่อนในเรือนจำ
ร่วมอวยพรปีใหม่ เขียนจดหมายถึงเพื่อน freeratsadon.amnesty.or.th
#FreeRatsadon

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1305837638248648&set=a.479820490850371



8 ก.พ. 69 🗳️มาครั้งเดียว กา 3 ใบ! เปิดขั้นตอนเลือกตั้ง สส. และประชามติ 8 ก.พ. 69


We Watch
7 hours ago
·
มาครั้งเดียว กา 3 ใบ! เปิดขั้นตอนเลือกตั้ง สส. และประชามติ 8 ก.พ. 69
.

เมื่อวาน (30 ธันวาคม 2568) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่จดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ที่ 568/2568 ระบุขั้นตอนการใช้สิทธิเลือกตั้ง สส.ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 และออกเสียงประชามติเรื่อง “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569

โดยขั้นตอนการลงคะแนนเสียงใช้สิทธิเลือกตั้ง สส.และออกเสียงประชามติจะประกอบไปด้วย 10 ขั้นตอน ดังนี้

1. ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ ตรวจสอบจากบัญชีรายชื่อที่ปิดประกาศไว้หน้าหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งจะประกอบด้วย 2 ชุด คือบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สส.และบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ

2. การเตรียมตัวก่อนเข้าคูหา จำลำดับที่ของตนเอง หมายเลขผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและหมายเลขพรรคการเมืองที่จะเลือก พร้อมกับเตรียมหลักฐานแสดงตน เช่น บัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดของราชการที่มีรูปถ่ายและเลขประจำตัวประชาชน หรือแอปพลิเคชัน ThaID

3. แสดงตนขอใช้สิทธิเลือกตั้ง สส. ยื่นหลักฐานแสดงตนและแจ้งลำดับที่ต่อกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง จากนั้นลงลายมือชื่อหรือพิมพ์ลายนิ้วมือในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สส.

4. รับบัตรเลือกตั้ง สส.และลงลายชื่อที่ต้นขั้วบัตรเลือกตั้ง สส. ให้ลงลายมือชื่อที่ต้นขั้วบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 ประเภท จากนั้นรับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

5. เข้าคูหาลงคะแนนเลือกตั้ง สส. เข้าคูหาลงคะแนน และทำเครื่องหมาย X ลงในช่องทำเครื่องหมายในบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 ใบ โดยบัตรแบบแบ่งเขตสามารถ ‘เลือกได้เพียง 1 คนเท่านั้น’ และบัตรแบบบัญชีรายชื่อก็ ‘เลือกได้เพียง 1 พรรคการเมือง’ เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้หากไม่ประสงค์เลือกใครให้ทำเครื่องหมาย X ลงในช่อง “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” และหากไม่ประสงค์เลือกพรรคการเมืองใดให้ทำเครื่องหมาย X ลงในช่อง “ไม่เลือกบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองใด” หลังจากเลือกแล้วให้พับบัตรเลือกตั้งตามรอยพับและออกจากคูหา

6. หย่อนบัตรเลือกตั้ง สส.ลงในหีบบัตรเลือกตั้ง นำบัตรเลือกตั้งพับและหย่อนลงในหีบบัตรเลือกตั้งแต่ละประเภทให้ถูกต้องด้วยตนเอง

7. แสดงตนขอให้สิทธิออกเสียงประชามติ หลังจากหย่อนบัตรเลือกตั้ง สส.เสร็จแล้ว ให้เดินไปยังจุดถัดไปในที่เลือกตั้งเดียวกัน เพื่อขอให้สิทธิออกเสียงประชามติ โดยยื่นหลักฐานแสดงตนและแจ้งลำดับตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ

8. รับบัตรออกเสียงประชามติและลงลายมือชื่อที่ต้นขั้วบัตรออกเสียงประชามติ ให้ลงลายชื่อหรือพิมพ์ลายนิ้วมือในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ และลงลายมือชื่อที่ต้นขั้วบัตรออกเสียงประชามติ จากนั้นรับบัตรออกเสียงประชามติจำนวน 1 ใบ พร้อมรับหลักฐานแสดงตนคืน

9. เข้าคูหาลงคะแนนออกเสียงประชามติ เข้าคูหาและทำเครื่องหมาย X เพียงช่องเดียว ในช่อง ‘เห็นชอบ’ หรือ ‘ไม่เห็นชอบ’ หรือ ‘ไม่แสดงความคิดเห็น’ จากนั้นพับบัตรออกเสียงประชามติตามรอยพับแล้วออกจากคูหา

10. หย่อนบัตรประชามติและออกจากหน่วยเลือกตั้ง นำบัตรออกเสียงประชามติที่พับแล้วหย่อนลงหีบบัตรออกเสียงประชามติด้วยตนเอง และเดินออกจากที่เลือกตั้งตามทางออกที่กำหนด

สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปและการออกเสียงประชามติจะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์​ 2569 ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.

อ้างอิง
คณะกรรมการการเลือกตั้ง, "จดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ที่ 568/2568 เรื่อง ขั้นตอนการใช้สิทธิเลือกตั้ง สส.ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 และออกเสียงประชามติ," 30 ธันวาคม 2568, https://www.ect.go.th/ect_th/th/db_119_ect_th_cms_1/7654


https://www.facebook.com/photo?fbid=1274657071363164&set=a.621001693395375
https://x.com/weareonwatch/status/2006320454987112737




ลาก่อน 2568 ขอต้อนรับปีใหม 2569 อำนาจอยู่ในมือคุณ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น แล้วพบกัน





https://x.com/vishwachou901/status/2005975270772335069