
มูฟดิ - MovED
December 17
·
ต้องสดุดีอีกกี่ผู้กล้า ถึงจะได้เวลาเจรจายุติสงคราม
: เมื่อการไม่อยากให้ใครตาย กลายเป็นอาชญากรรมของแผ่นดิน และการพูดว่า “พอแล้ว” ถูกคุกคามในนามคนรักชาติ
.
.
-1 : ไม่ใช่ทุกคนที่อยากไปเสี่ยงตาย -
จากการปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาระลอก 2 จนถึงวันนี้ (18 ธ.ค.) ล่าสุดได้มีการประกาศความอาลัยแด่วีรบุรุษทหารกล้า รายที่ 21 พลทหารวสันต์ ซึ่งสูญเสียระหว่างการปฏิบัติหน้าที่สู้รบในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ไม่นับรวมถึงชาวบ้าน ซึ่งได้รับผลกระทบจำต้องอพยพกว่า 329,000 คน
ถ้าแลกได้ ระหว่างคำนำหน้าว่า “ผู้กล้า” กับพาตัวเองกลับมาบ้าน พลฯ รายหนึ่ง ซึ่งเป็นทหารเกณฑ์ผลัดแรกของปีนี้ ที่ได้รับมอบหมายให้ไปประจำการบนภูมะเขือตอบชัดว่า “อยากกลับบ้าน” มากกว่า
“พี่ครับผมเหนื่อย / เจอหมดเลยครับ เจอศพเขมร / ผมนี้เกือบตาย / วันนี้ขอโทษน่ะพี่ / อยากระบายจริง ๆ / เรื่องในสื่อกับผมอยู่มันคนระเรื่องเลย”
ข้อความเหล่านี้ถูกส่งมาในช่วงค่ำ และเป็นเวลาซึ่งผู้รับไม่สามารถให้คำตอบอื่นใดได้ นอกจากรับฟัง ถ้ามีแนวหน้าที่ยังไม่อยากสมัครใจถูกสั่งให้ไปตาย สังคมแนวหลังจะยังพร้อมโอบรับพวกเขาด้วยความเข้าใจ หรือจะตีตราพวกเขาด้วยความขลาดเขลา เพียงเพราะพลฯอยากมีชีวิตรอด ?
ข้ออ้างของสงครามครั้งนี้เพียงเริ่มจาก “มึงยิงก่อน” กูเลยหยุดไม่ได้ ... จึงไม่จำเป็นต้องช่วยกันถามหาคำตอบว่า “เมื่อไหร่จะมีการหยุดยิง” ใช่แล้วหรือ ?
.
.
-2 : NO WAR ห้ามเห็นต่าง เพราะเป็นช่องว่างให้สิ้นไร้ความเป็นไทย –
ตั้งแต่เสียงปืนดังระลอกแรก มีคณะบุคคลบางกลุ่มแสดงตนชัดเจนถึงความต้องการให้ “ยุติสงคราม” ป้ายผ้าระบุข้อความ ‘พรมแดนคือเส้นสมมติ ความเป็นมนุษย์คือความจริง’ ถูกชูขึ้นจากคณะก่อการล้านนาใหม่ ได้ถูกแชร์ออกไปไม่น้อยกว่า 311 ครั้ง ยังไม่รวมการถูกบันทึกเพื่อส่งต่อในกลุ่มพูดคุย ซึ่งโดยมาก เป็นการแชร์ไปเพื่อเย้ยหยัน ด่าทอ และโกรธเคือง ที่คนกลุ่มนี้มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับสงคราม บ้างก็ว่า
“มายืนถือป้าย ถ่ายรูป โพสต์เอาสบายใจ แล้วก็แยกย้ายไปรับส่วนแบ่งกันเสร็จ เชื่อว่าที่ทำกิจกรรมแบบนี้ไม่ใช่คนไทยแน่นอน” หรือหนักกว่าคือการส่งข้อความเชิงข่มขู่ “โฉนดบ้านมึงกก็แค่สิ่งสมมติสินะ อยู่แถวไหนกันกูขอไปอยู่หน่อย” รวมถึงถ้อยคำหยาบคายที่เพ่นพ่านมากมายในโลกออนไลน์
เลยเถิดจนมาถึงความพยายามคุกคาม ตั้งคำถามกับ “ความเป็นไทย” ของนักกิจกรรมในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งรวมตัวกัน #ยืนหยุดสงคราม ที่บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น เพียงเพราะพวกเขาใช้สอยเสรีภาพเพื่อแสดงความต้องการ “สันติภาพ” เพราะไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย จึงไม่ต้องการสงคราม จนถูกชายในชุดคลุมสีเขียว จอดรถด่าทอว่า “ตอแหล” และลุกลามมาถูกนำไปเป็นเป้าโจมตีทางออนไลน์
ทั้งที่ การแสดงความเห็นต่างออกมาครั้งนี้ กระทำด้วยความสงบ เป็นการสื่อสารถึงทัศนะ แต่กลับต้องแลกมาด้วยการถูกด้อยค่า ด่าทอ ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกใช้ความรุนแรง หรือสิ่งนี้คือภาพที่สังคมไทยอยากเห็น หากไม่ใช่ เราอาจต้องการเพียงแค่ “สนามอารมณ์” สำหรับคนไม่พร้อมไปสนามรบที่แท้จริง ?
.
.
-3 : รักชาติควรสร้างชีวิต ไม่ใช่พากันปิดทองสร้างอนุสาวรีย์-
สิ่งที่น่ากลัวกว่าสงคราม ไม่ใช่เสียงปืน แต่คือบรรยากาศที่ทำให้ “การตั้งคำถาม” กลายเป็นอาชญากรรม เมื่อใดก็ตามที่คำว่า รักชาติ ถูกผูกขาดไว้กับการเห็นดีเห็นงามต่อการเข่นฆ่า เมื่อนั้นความเป็นมนุษย์จะถูกลดระดับเหลือแค่เครื่องมือของรัฐ
การไม่อยากให้ใครตาย ไม่ใช่การเลือกข้างศัตรู
การเรียกร้องให้เจรจา ไม่ใช่การขายชาติ
ท่ามกลางกระแสสังคมที่ “ศพ” ถูกยกย่องมากกว่าชีวิต
การพูดคำว่า “พอแล้ว” จำเป็นต้องได้รับการรับฟัง มากกว่าถูก “ล่าแม่มด”
อย่างน้อย วันนี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่ทหารเกณฑ์ทุกนายสมัครใจไปแนวหน้า เพื่อจะกลับมาพร้อมร่างไร้วิญญาณและการสดุดี ประชาชนตามแนวปะทะและชาวบ้านเองก็ไม่ได้อพยพเพื่อพิสูจน์ความภักดีต่อดินแดน แต่เพื่อความปลอดภัย
คนที่ไม่อยากเห็นใครตาย จึงไม่เท่ากับ “อยากเห็นชาติพัง” หรืออยากเห็นการสูญเสียดินแดน”
พวกเขาแค่อยากเห็นคนกลับบ้าน และทหารที่ถูกเกณฑ์ไปไม่ตายเปล่า
.
.
-4 : สันติภาพ is Now … ไม่ใช่อุดมคติ แต่คือความเร่งด่วน -
การเจรจาอาจไม่ใช่รางวัลของผู้ชนะที่ประชาชนคน Hardcore ซึ่งกระหายสงครามอยากเห็น แต่คือทางรอดสุดท้ายของผู้ที่ยังไม่ตาย ทุกวันที่การหยุดยิงถูกเลื่อนออกไปด้วยเหตุผลว่า “ยังไม่ถึงเวลาเจรจา” นำพาความเดือดร้อนของคนมากกว่า 400,000 คน รวมถึงงบประมาณประเทศที่ต้องจ่าย (ระลอกแรกของการปะทะ มีการเปิดเผยข้อมูลว่าประเทศไทยใช้งบประมาณรวมกว่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2,000 ล้านบาท/วัน*)
สงครามครั้งนี้ไม่ได้เกิดในสุญญากาศ มันกินทรัพยากรของรัฐ กินชีวิตแรงงาน กินอนาคตของครอบครัวชายแดน โรงเรียนถูกปิด พื้นที่ทำกินถูกทิ้ง บ้านเรือนกลายเป็นพื้นที่เสี่ยง ทั้งหมดนี้คือ “ต้นทุน” ที่เกิดขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องรอให้มีใครชนะหรือแพ้
อย่างน้อย ก็ช่วยทำให้การลงนามในข้อตกลงหยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข ที่กรุงปูตราจายาประเทศมาเลเซีย ภายใต้การเป็นเจ้าภาพของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เคยเกิดขึ้นถูกพูดถึงอีกครั้ง ทำให้ผลลัพธ์ “ยุติการใช้กำลังทุกประเภททันที” เกิดขึ้นและเปิดช่องทางเจรจาหาทางคลี่คลายความตึงเครียดด้วยกลไกระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค อย่างไม่ต้องกลัวว่า “ใครจะเสียหน้ามากกว่า” เมื่อต่างฝ่ายล้วนเกลื่อนกลาดด้วยความเสียหาย
วันนี้คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “เราจะยอมเจรจาเมื่อไหร่” แต่คือ ต้องสดุดีอีกกี่ผู้กล้า ต้องอพยพอีกกี่หมู่บ้าน ต้องมีทหารเกณฑ์ส่งข้อความมาบอกว่า ‘ผมเกือบตาย’ อีกกี่คน
ถึงเวลาที่ต้องเลิกวัดระดับความรักชาติด้วยจำนวนพวงหรีด และเริ่มวัดความสำเร็จของชาติ ด้วยจำนวนคนที่ได้กลับไปโอบกอดครอบครัวอย่างปลอดภัย
และสันติภาพไม่ควรถูกคุกคาม คนที่เรียกร้องมัน ไม่ควรถูกทำให้กลายเป็นศัตรู เพราะในสงครามนี้ไม่มีใครชนะ มีแต่คนที่ยังไม่ถูกนับรวมในยอดผู้เสียชีวิตเท่านั้นเอง
#nowar #ความเห็นต่างไม่ใช่ภัยคุกคาม #เจรจาทันที #ไทยกัมพูชา #กูบอกคนอ่านไม่ต้องเสือกไล่ไปชายแดน #สันติภาพ #isnow #ยุติสงคราม #อพยพ #เลิกนับศพทหารกล้า
*ที่มาการใช้จ่ายงบประมาณ : https://www.facebook.com/reel/1386664583243746
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1161289689474594&set=a.491254416478128
.....


