.jpeg)
พายุ บุญโสภณ: ความมืดบอดไม่อาจดับแสงดาว
วจนา วรรลยางกูร
23 Dec 2025
101
1
เด็กชายพายุ บุญโสภณ ใช้ชีวิตวัยเด็กที่อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ หลังพ่อแม่แยกทางกัน เขาก็เติบโตมากับตายาย พร้อมความฝันอยากเป็นนักแข่งรถ อันเป็นอาชีพในฝันของเหล่าเด็กชายในยุคสมัยที่มีภาพยนตร์แนวแข่งรถชื่อดังหลายเรื่อง
เมื่อขึ้นชั้นมัธยมและต้องเลือกทำกิจกรรมชมรม พายุเลือกชมรมสิ่งแวดล้อมตามเพื่อนๆ ที่นี่เองที่ทำให้เขาได้เริ่มสัมผัสกับกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม โดยไม่รู้ว่าในอนาคตเขาจะทำงานทุ่มเทเพื่อเรื่องนี้
จากชัยภูมิ พายุไปเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่นั่นเองเขาได้รู้จัก ‘กลุ่มดาวดิน’ ที่เคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในประเด็นปัญหาของชาวบ้านในพื้นที่
“พอเข้ามหา’ลัย ผมไม่ชอบกิจกรรมที่มีระบบโซตัสเลยไม่เข้าร่วมเลย พอดีเพื่อนชวนไปปาร์ตี้ที่บ้านดาวดิน พอไปก็เจอพี่ๆ ที่คุยกันเรื่องประเด็นในพื้นที่ สิ่งแวดล้อม ปัญหาโครงสร้าง ผมเป็นเด็กปีหนึ่งก็ไม่เข้าใจเลย แต่อยากคุยกับเขาเลยกลับไปหาข้อมูลเพื่อจะไปคุยกับคนอื่น แต่เขาคุยลึกไปเรื่อยๆ เราไม่เห็นภาพ อยากเรียนรู้ พี่ๆ เลยชวนโบกรถไปลงพื้นที่เลย” พายุเล่า
ขณะนั้นกลุ่มดาวดินทำงานร่วมกับเอ็นจีโอในพื้นที่อีสานที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไปเรียนรู้ปัญหาของชาวบ้าน โดยเฉพาะที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองทองคำ
พายุตามรุ่นพี่โบกรถไปวังสะพุง หลังฟังชาวบ้านเล่าสภาพปัญหาของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้สกัดทองจนผู้คนเจ็บป่วย เขาก็ได้เห็น ‘ภาพเปลี่ยนชีวิต’
“ชาวบ้านพาขึ้นไปบนเหมือง มีแอ่งน้ำเป็นแหล่งละลายแร่ ในน้ำมีแต่สารเคมี ผมเพิ่งรู้ว่าตรงนั้นชื่อ ‘ภูทับฟ้า’ เป็นภูที่สูงที่สุดในวังสะพุง แต่มองไม่เห็นแล้ว เหมืองระเบิดภูเขาจนไม่เหลืออะไร แต่มีกองดิน-กองเศษแร่ถมสูงเป็นภูเขาแทน ผมเห็นภาพนั้นแล้วช็อกว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมเราไม่เคยรู้เลย แล้วชาวบ้านเขาก็ต่อสู้ปัญหานี้กันมาด้วยตัวเขาเอง”
ภาพตรงหน้าและเรื่องที่ได้ยินช่วยเปิดหูเปิดตาให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นวัยมัธยม ก่อนที่พายุจะเจอคำถามสำคัญจากพี่ๆ กลุ่มดาวดินว่า “คนเรียนนิติศาสตร์ พอเห็นประเด็นปัญหาอย่างนี้จะเอากฎหมายมาช่วยชาวบ้านได้อย่างไร?”
แม้ว่าพายุยังไม่พบคำตอบในวันนั้น แต่เขารู้สึกว่าคำถามนี้เป็นโจทย์ท้าทายให้ตัวเองต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้น หลังจากนั้นเขาจึงเข้ามาร่วมกิจกรรมกับดาวดินเต็มตัว
“ผมคิดกับคำถามนั้นอย่างจริงจังว่า เราเรียนกฎหมายมากมาย แต่ไม่มีกฎหมายไหนเลยเหรอที่จะช่วยชาวบ้านได้ ผมรู้สึกว่าห้องสี่เหลี่ยมในมหา’ลัยไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง เลยไปเน้นเรียนรู้จากพื้นที่จริงแล้วเอากลับมาตั้งคำถามกับอาจารย์และเพื่อนในห้อง
“หลังจากนั้นใจเราอยู่กับเรื่องการแก้ไขปัญหาพื้นที่แล้ว อีสานไม่ได้มีแค่ประเด็นเหมืองแร่เมืองเลย แต่มีเรื่องการจัดการน้ำ อุตสาหกรรม ฯลฯ สี่ปีในรั้วมหา’ลัยต้องใช้ให้คุ้ม ไปศึกษาเรียนรู้กับชาวบ้าน ช่วยกันผลักดันขบวนการให้เกิดข้อเรียกร้องได้จริง ผมเลยทำกิจกรรมเป็นหลัก เรียนเป็นรอง”
หลังพายุเข้ามหาวิทยาลัยและร่วมเคลื่อนไหวกับดาวดินได้เพียงปีเดียวก็เกิดการรัฐประหาร 2557 จากกลุ่มที่ทำงานประเด็นเชิงพื้นที่ ดาวดินก็ออกมาต่อต้านรัฐประหาร เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าปัญหาในพื้นที่จะไม่ถูกแก้ไข หากโครงสร้างการเมืองอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
“เราเคยมาเคลื่อนไหวที่กรุงเทพฯ มีทหารระดับสูงตะโกนถามว่า ‘พวกมึงมาเคลื่อนไหวอะไรกัน’ พวกเราตอบไปว่า ‘พี่น้องเหมืองแร่เมืองเลยจะตายแล้ว’ เขาก็งงว่ามันเกี่ยวอะไรด้วย เราพยายามเอาปัญหาในพื้นที่มาสื่อสารกับคนภายนอกให้มากที่สุด” เขาเล่า
เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อดาวดินเริ่มเป็นที่รู้จักคือเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารเดินทางเยือนขอนแก่น แล้วสมาชิกกลุ่มดาวดินไปชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านจนถูกรวบออกจากพื้นที่
พายุเล่าว่าเขาโดนตำรวจจับในงานนั้นแล้วถูกส่งตัวเข้าค่ายทหาร เมื่อพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเซ็นเอ็มโอยูเลิกเคลื่อนไหวต่อต้าน เจ้าหน้าที่จึงเรียกผู้ปกครองให้มาค่ายทหาร เวลานั้นเองที่คนในครอบครัวของพายุเพิ่งรู้ว่าเขาไปทำกิจกรรมการเมือง
“ตาเคยเป็นตำรวจ พอตายายมาถึงค่ายทหารก็สวดผมชุดใหญ่เลย สุดท้ายผมเลยต้องเซ็นเอ็มโอยู”
เมื่อเดินทางถึงบ้าน บทสนทนาระหว่างตาหลานจึงเกิดขึ้น พายุใช้เวลาทั้งวันอธิบายเหตุผลที่เขาต้องออกไปเคลื่อนไหว เพราะรู้ดีว่าถ้าการพูดคุยครั้งนี้ไม่เป็นไปด้วยดี เขาอาจจะกลับไปทำกิจกรรมไม่ได้อีก
“ผมเล่าให้ฟังว่าปัญหาของชาวบ้านคืออะไร เราเรียนนิติศาสตร์ไปทำไม ค่อยๆ คุยด้วยเหตุผล ถ้าใช้อารมณ์แบบตอนเด็กคงไม่ได้แล้ว ผมยกตัวอย่างว่าที่คอนสารบ้านเราก็มีปัญหาที่ดิน อยู่ๆ รัฐมาประกาศว่าเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยไม่สำรวจว่ามีชาวบ้านอาศัยอยู่ ชาวบ้านก็ถูกขับไล่ กลายเป็นคนไม่มีที่ทำกิน เขาเลยต้องต่อสู้เรียกร้อง ตายายฟังเรื่องนี้เขาก็เข้าใจนะ เขาอินเรื่องนี้เลยคุยกันง่าย ถ้าพูดเรื่องหลักการกฎหมายเชิงโครงสร้างเขาอาจไม่เข้าใจ
“สุดท้ายผมพบว่า เขาแค่กลัวผมเรียนไม่จบ ถ้าเรียนจบแน่นอนเขาก็สบายใจ ไม่ห้ามอะไร แต่เขาก็ห่วง บอกว่าห้ามทำอะไรสุ่มเสี่ยง ตอนนั้นผมบอกว่า ‘ไม่เสี่ยงแน่นอน’ ดาวดินมีตัวหลักอย่างพี่ไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) อยู่แล้ว ผมทำงานเบื้องหลังมากกว่า”
พายุเล่าพร้อมยิ้มเมื่อนึกถึงบทสนทนาในอดีต อาจเพราะเขารู้อนาคตว่าความเสี่ยงที่ว่านั้นมีหน้าตาแบบไหน

2
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย พายุทำงานกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ซึ่งทำงานเรื่องปัญหาที่ดิน แล้วจึงได้เข้าไปเป็นคณะกรรมการพีมูฟ (ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม: P-move) ทำให้เขาได้เชื่อมต่อและเรียนรู้ประเด็นการเคลื่อนไหวขององค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ
หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ต้นปี 2563 กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความไม่พอใจของประชาชนระเบิดออกจากการอยู่ภายใต้ระบอบทหารมายาวนาน เกิดการชุมนุมต่อต้านทั่วประเทศจนกลายเป็น ‘ขาขึ้น’ ของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน พายุเห็นโอกาสอันดีในการสร้างแนวร่วมผลักดันประเด็นที่เขาทำงานอยู่
“ปี 2563 เกิดม็อบคนรุ่นใหม่ ช่วงนั้นผมทำงานกับคนุร่นใหม่ที่ชัยภูมิ จึงตั้งกลุ่ม ‘ราษฎรชัยภูมิ’ ตอนนั้นม็อบกระแสสูง จึงรวมตัวกันเกิดเครือข่าย ‘ราษฎรโขงชีมูน’ อย่างรวดเร็ว ผมเติบโตมากับดาวดิน ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ทำงานหนุนเสริมชาวบ้านให้ขบวนการเข้มแข็งมากขึ้น พอมาทำงานเอ็นจีโอจึงพยายามเชื่อมคนรุ่นใหม่เข้ากับขบวนการชาวบ้านด้วย”
พายุพยายามคุยกับพีมูฟว่าควรเคลื่อนไหวไปพร้อมม็อบคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการร่วมผลักดันข้อเสนอเชิงโครงสร้างอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง ‘ทะลุฟ้า’ มาร่วมเมื่อพีมูฟเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ
“เราเอาประเด็นเชิงโครงสร้างไปคุยกับชาวบ้านให้เห็นภาพว่า ถ้าเราแก้รัฐธรรมนูญได้ ชาวบ้านจะสามารถกำหนดอนาคตตัวเองได้ ชาวบ้านก็เอาด้วย จนสุดท้ายพีมูฟตกลงเคลื่อนไหวเรื่องเอเปค เพราะมันเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมของชาวบ้านโดยตรง” พายุบอก
การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 จัดในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 โดยมีวาระหลักเรื่องโมเดลเศรษฐกิจ BCG ภาคประชาชนจึงรวมตัวกันเคลื่อนไหวในนามกลุ่ม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ เรียกร้องให้ยกเลิก BCG ที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ พร้อมให้ประยุทธ์ยุติบทบาทประธานการประชุม เพราะไม่มีความชอบธรรม รวมถึงเรียกร้องให้ยุบสภา ให้มีการเลือกตั้ง และร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน
“เราตั้งขบวนจากลานคนเมืองเพื่อเดินไปศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อสื่อสารให้นานาชาติรับรู้ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เป้าหมายวันนั้นมีแค่เดินขบวนรณรงค์ไปให้ใกล้ศูนย์ประชุมมากที่สุด เพื่อที่จะสื่อสารให้เสียงดังขึ้นและชัดเจนมากที่สุด” พายุเล่า
วันที่ 18 พ.ย. 2565 ม็อบนัดหมายเคลื่อนไหวกันโดยมีพายุรับหน้าที่ประสานงานและรับผิดชอบให้ขบวนเคลื่อนต่อไปได้ในฐานะหัวหน้าการ์ด วันนั้นเจ้าหน้าที่ตั้งแนวกั้นสามจุด หลังผ่านการเจรจาและล้มแนวกั้นแผงเหล็กไปได้ เมื่อถึงแนวกั้นที่สามที่มีรถควบคุมฝูงชนจอดรอไว้ เจ้าหน้าที่ก็มีปฏิบัติการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรง
“วันนั้นผมอยู่ข้างหน้าขบวนตลอด มีพี่ทีมเจรจาได้ยินเจ้าหน้าที่คุยกัน เขาเลยมาบอกผมว่า ‘เขาเล็งแล้วนะ เขาล็อกตัวแล้ว ระวังตัวด้วย’ ผมรับฟังคำเตือนนะ แต่ไม่รู้จะระวังตัวอย่างไร ผมเป็นการ์ดที่ต้องพาขบวนไปข้างหน้าให้ได้”
ช่วงเที่ยง ระหว่างที่ผู้ชุมนุมพักกินข้าว มีผู้ชุมนุมบางส่วนทำกิจกรรมเผาพริกเผาเกลือในเตาอั้งโล่ที่วางบนรถตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงประกาศว่าเป็น ‘การวางเพลิง’ หลังจากนั้นมีการขว้างปาสิ่งของใส่กันทั้งจากผู้ชุมนุมและตำรวจ ตามมาด้วยการบุกเข้าสลายการชุมนุม เจ้าหน้าปาพลุแฟลร์เพื่อบดบังทัศนวิสัย แล้วจึงยิงกระสุนยางเข้าใส่ผู้ชุมนุม โดยเป็นการเล็งปืนในระดับศีรษะซึ่งผิดหลักการสลายการชุมนุม
“ตอนนั้นผมยืนสูบบุหรี่คุยกับเพื่อนอยู่ แล้วอยู่ๆ มีพลุควันกลิ้งมาตกที่พื้น เพื่อนบอกว่า ‘พี่…วิ่ง’ ผมก็วิ่ง แล้วหันไปเห็นเจ้าหน้าที่ คฝ. วิ่งมา ผมจึงบอกให้ทีมการ์ดคล้องแขนคุ้มกันชาวบ้านที่นั่งกินข้าวกันอยู่ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำร้ายคน แต่ยื้อไม่อยู่ แนวการ์ดแตกกันหมด แล้วรถเครื่องเสียงของเราก็ถอยหลัง อาจเพราะเขาเจอกระสุนยางยิงใส่หน้ารถ ผมเลยวิ่งไปบอกรถเครื่องเสียงว่าอย่าถอย ให้จอดไว้ เพราะมีชาวบ้านล้อมวงนั่งกินข้าวอยู่หลังรถ เสร็จแล้วพอหันไปมองตำรวจข้างหน้า…ผมก็โดนยิงเลย”
พายุบอกว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บ แต่หูอื้อและงุนงง เขาจึงหลบไปนั่งพักบนฟุตบาทริมถนน ก่อนเจอเจ้าหน้าที่วิ่งเข้ามาจะทุบซ้ำ
“หูอื้อ ได้ยินเสียงวิ้ง ผมรู้สึกเย็นๆ จึงจับที่หน้า ก็พบว่าเลือดออกเต็มเลย พอนั่งพักก็มีเจ้าหน้าที่ คฝ. สองคนวิ่งเข้ามาจะตีผมซ้ำ ผมเลยชูมือเปื้อนเลือดให้ดู เขาเลยยั้งมือแล้ววิ่งไปหาผู้ชุมนุมคนอื่น เจ้าหน้าที่ คฝ. อีกคนเห็นเลยเรียกผมให้ขึ้นรถไปโรงพยาบาล
“ตอนนั้นผมคิดว่าช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้แล้ว ผิดหวังว่าตัวเองอยู่ไม่จบ โดนยิงก่อน ปกติผมอยู่จนเสร็จงานตลอด”
พายุถูกกระสุนยางยิงเข้าที่ดวงตาข้างขวาจนแหลกละเอียด แต่หลังเกิดเหตุช่วงแรกเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าแผลร้ายแรงแค่ไหน ขณะอยู่บนรถพยาบาล เขาถามเพื่อนรุ่นน้องที่นั่งมาบนรถด้วยว่า “ม็อบเป็นอย่างไรบ้าง” คำตอบของเพื่อนทำให้เขาฉุกคิด “พี่ไม่ต้องห่วงหรอก พี่คิดเรื่องตัวเองเถอะ”
“ตอนอยู่บนรถพยาบาลผมรู้สึกว่ามันนานมากเลย ก็เลยคิดว่าถ้ามองไม่เห็นจะเอาอย่างไรต่อ แล้วก็คิดว่าไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เรื่องอื่นค่อยฝึกเอา พอถึงโรงพยาบาลตำรวจก็นอนรอบนรถเข็น 3-4 ชั่วโมง กว่าจะเข้าห้องผ่าตัด ผมก็นอนคิดกับตัวเองไปเรื่อยๆ ว่ามีตัวเลือกอะไรบ้าง จะบอกที่บ้านอย่างไร
“พอหมอมาตรวจ ตอนนั้นแผลน่ากลัวมาก หมอมองไม่เห็นลูกตาแล้ว เขาส่องตาผมแล้วถามว่า ‘มองเห็นไหม’ ผมบอก ‘มองไม่เห็นเลยครับหมอ’ ‘เห็นสักนิดไหม เห็นกี่เปอร์เซ็นต์’ ‘ไม่เห็นเลย’ เขาก็ผ่าตัดแล้วปิดแผล รอตรวจวันถัดมาว่าจะมีโอกาสมองเห็นไหม แต่ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้
“วันต่อมา พอหมอมาตรวจแล้วผมยังมองไม่เห็น ตอนนั้นผมก็รู้แล้วว่าจะมองไม่เห็นอีก” พายุเล่า

3
แม้ตาจะเคยขอร้องพายุว่า “ห้ามทำอะไรสุ่มเสี่ยง” แต่พายุที่ตกปากรับคำในวันนั้นคงนึกไม่ว่าถึง ‘เสี่ยง’ ที่ว่าคือการออกไปชุมนุมแล้วโดนเจ้าหน้าที่ยิงกระสุนยางใส่ตาจนบอดอย่างผิดปกติวิสัย
หลังออกจากโรงพยาบาล เขาพักอยู่ที่กรุงเทพฯ หนึ่งเดือน แล้วจึงกลับบ้านไปหาตายายที่ชัยภูมิ
“ตอนนั้นผมใส่ตาเทียมแล้ว ก็ขับรถยนต์กลับบ้านเองเลย ผมพยายามให้ตายายเห็นว่าผมใช้ชีวิตตามปกติได้ เพราะเขาเป็นห่วงว่าเราจะใช้ชีวิตปกติไม่ได้ หยิบจับอะไรไม่ได้ ต้องให้คนอื่นช่วย
“เขาเป็นห่วงผมมาก ตาผมนึกว่าคนเราสามารถเปลี่ยนดวงตาให้กันได้ เขาบอกว่า ‘ถ้าอย่างนั้นเอาตาของตาไปเปลี่ยนก็ได้ จะได้กลับมามองเห็น กลับมาทำงานได้’ ผมซึ้งมาก แต่ต้องแสดงความเข้มแข็ง ก็พูดติดตลกว่า ‘ประเทศไทยยังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก มันทำไม่ได้หรอก’” ชายหนุ่มเล่าท้ายเสียงสั่น
เหตุการณ์สลายการชุมนุมวันนั้นมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 31 คน นอกจากพายุที่ตาบอดแล้ว หลายคนเจอความรุนแรงจากตำรวจอย่างผิดปกติ เช่น จ่อยิงเข้าที่ลำตัว ใช้กระบองฟาดหน้า เล็งยิงเข้าที่ศีรษะ เยาวชนหญิงรายหนึ่งถูกตำรวจกระทืบที่ศีรษะ นอกจากนี้มีการกระทืบนักข่าวและห้ามไม่ให้บันทึกภาพ
หลังเหตุการณ์ตำรวจจึงดำเนินคดีผู้ชุมนุม 25 คน โดยศาลพิพากษาโทษปรับ ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงเกินเหตุที่เกิดขึ้น แม้ผู้ชุมนุมจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง แต่คดียังไม่มีความคืบหน้าใด
ที่ผ่านมามีการยื่นให้ กมธ.กฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมม็อบเอเปค โดยมีการเรียกตำรวจมาชี้แจง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าปฏิบัติการดังกล่าวไม่ใช่การสลายการชุมนุม แต่เป็นการจับกุมซึ่งหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีคำสั่งศาลให้สลายการชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ด้านตำรวจก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกันเองภายในองค์กร ซึ่งแน่นอนว่าไม่นำไปสู่อะไร
อีกด้านหนึ่ง พายุและแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเคยไปรายงานต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ (CAT) ที่เจนีวาว่า กรณีที่เกิดขึ้นกับพายุและม็อบต้านเอเปคเป็นการสลายการชุมนุมโดยไม่ชอบตามหลักสากล เนื่องจากคณะกรรมการฯ เคยวินิจฉัยกรณีการสลายการชุมนุมในเกาหลีใต้ว่าการควบคุมการชุมนุมโดยใช้อาวุธความรุนแรงต่ำ (อย่างกระบอง กระสุนยาง หรือแก๊สน้ำตา) โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือจงใจละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นถือเป็นการทรมานลักษณะหนึ่ง
คณะกรรมการต่อต้านการทรมานจึงเสนอให้ไทยปฏิรูปกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ให้สอบสวนกรณีพายุอย่างเป็นธรรมทันที และให้เยียวยาผู้เสียหายอย่างรอบด้าน
แม้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเรียกร้องให้ตรวจสอบว่ากรณีนี้เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ หรือไม่ รวมถึงคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง แต่สามปีที่ผ่านมาก็สะท้อนความล่าช้าในการปกป้องประชาชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง และสะท้อนว่าเหตุการณ์นี้อาจไม่สามารถฝ่าวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐไทยไปได้
สำหรับพายุเอง เขารู้ดีว่าการเรียกร้องความยุติธรรมในเรื่องนี้คาดหวังได้น้อยมาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้เพื่อยืนยันหลักการว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
“มันเป็นเรื่องที่ต้องสู้เพื่อยืนยันหลักการถึงความผิดของเจ้าหน้าที่ การลอยนวลพ้นผิดไม่ควรเกิดขึ้น ผมรู้ว่าระบบยุติธรรมไทยเป็นอย่างไร ตั้งแต่ผมทำงานกับชาวบ้าน กว่าคนที่ต่อสู้เพื่อบ้านเกิดจะได้รับความยุติธรรมนั้นมันนานมาก เราเลยไม่คาดหวังเรื่องระยะเวลา
“พอมีกรณีที่เกิดขึ้นกับผม เราก็ต้องสื่อสารว่ามันมีปัญหา ความล่าช้าของระบบยุติธรรมคือความไม่ยุติธรรม เรื่องนี้เกิดจากวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นแค่กรณีผม แต่เกิดขึ้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
พายุยืนยันว่า การใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ที่ทำให้เขาสูญเสียการมองเห็นนั้นไม่ใช่ปัญหาที่เขาเรียกร้องให้ตัวเองเพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยในการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
“เรื่องนี้ไม่ควรเป็นแค่เรื่องของผม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผมไม่ควรเกิดขึ้นอีกในการชุมนุมใดก็ตามในอนาคต การลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเป็นกรณีแรก มันเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกคนควรได้รับความยุติธรรม เจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดต้องได้รับการลงโทษ นี่คือเรื่องของทุกคนที่ผมต้องออกมาพูดผ่านเรื่องของตัวเองและมันไม่ควรเกิดขึ้นอีกในอนาคต” พายุยืนยัน
หลังเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น คำถามที่ชายหนุ่มเผชิญบ่อยครั้งคือ “หากย้อนเวลาได้ วันนั้นจะยังออกมาม็อบไหม?”
เขาตอบหนักแน่น “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็จะยังทำเหมือนเดิม แต่ต้องป้องกันตัวเองมากกว่านี้ อย่างไรผมก็คงยังยืนข้างหน้าเหมือนเดิม คุมม็อบเหมือนเดิม เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องทำและเป็นเรื่องที่เราตั้งใจทำตั้งแต่แรก”
101
1
เด็กชายพายุ บุญโสภณ ใช้ชีวิตวัยเด็กที่อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ หลังพ่อแม่แยกทางกัน เขาก็เติบโตมากับตายาย พร้อมความฝันอยากเป็นนักแข่งรถ อันเป็นอาชีพในฝันของเหล่าเด็กชายในยุคสมัยที่มีภาพยนตร์แนวแข่งรถชื่อดังหลายเรื่อง
เมื่อขึ้นชั้นมัธยมและต้องเลือกทำกิจกรรมชมรม พายุเลือกชมรมสิ่งแวดล้อมตามเพื่อนๆ ที่นี่เองที่ทำให้เขาได้เริ่มสัมผัสกับกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม โดยไม่รู้ว่าในอนาคตเขาจะทำงานทุ่มเทเพื่อเรื่องนี้
จากชัยภูมิ พายุไปเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่นั่นเองเขาได้รู้จัก ‘กลุ่มดาวดิน’ ที่เคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในประเด็นปัญหาของชาวบ้านในพื้นที่
“พอเข้ามหา’ลัย ผมไม่ชอบกิจกรรมที่มีระบบโซตัสเลยไม่เข้าร่วมเลย พอดีเพื่อนชวนไปปาร์ตี้ที่บ้านดาวดิน พอไปก็เจอพี่ๆ ที่คุยกันเรื่องประเด็นในพื้นที่ สิ่งแวดล้อม ปัญหาโครงสร้าง ผมเป็นเด็กปีหนึ่งก็ไม่เข้าใจเลย แต่อยากคุยกับเขาเลยกลับไปหาข้อมูลเพื่อจะไปคุยกับคนอื่น แต่เขาคุยลึกไปเรื่อยๆ เราไม่เห็นภาพ อยากเรียนรู้ พี่ๆ เลยชวนโบกรถไปลงพื้นที่เลย” พายุเล่า
ขณะนั้นกลุ่มดาวดินทำงานร่วมกับเอ็นจีโอในพื้นที่อีสานที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไปเรียนรู้ปัญหาของชาวบ้าน โดยเฉพาะที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองทองคำ
พายุตามรุ่นพี่โบกรถไปวังสะพุง หลังฟังชาวบ้านเล่าสภาพปัญหาของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้สกัดทองจนผู้คนเจ็บป่วย เขาก็ได้เห็น ‘ภาพเปลี่ยนชีวิต’
“ชาวบ้านพาขึ้นไปบนเหมือง มีแอ่งน้ำเป็นแหล่งละลายแร่ ในน้ำมีแต่สารเคมี ผมเพิ่งรู้ว่าตรงนั้นชื่อ ‘ภูทับฟ้า’ เป็นภูที่สูงที่สุดในวังสะพุง แต่มองไม่เห็นแล้ว เหมืองระเบิดภูเขาจนไม่เหลืออะไร แต่มีกองดิน-กองเศษแร่ถมสูงเป็นภูเขาแทน ผมเห็นภาพนั้นแล้วช็อกว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมเราไม่เคยรู้เลย แล้วชาวบ้านเขาก็ต่อสู้ปัญหานี้กันมาด้วยตัวเขาเอง”
ภาพตรงหน้าและเรื่องที่ได้ยินช่วยเปิดหูเปิดตาให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นวัยมัธยม ก่อนที่พายุจะเจอคำถามสำคัญจากพี่ๆ กลุ่มดาวดินว่า “คนเรียนนิติศาสตร์ พอเห็นประเด็นปัญหาอย่างนี้จะเอากฎหมายมาช่วยชาวบ้านได้อย่างไร?”
แม้ว่าพายุยังไม่พบคำตอบในวันนั้น แต่เขารู้สึกว่าคำถามนี้เป็นโจทย์ท้าทายให้ตัวเองต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้น หลังจากนั้นเขาจึงเข้ามาร่วมกิจกรรมกับดาวดินเต็มตัว
“ผมคิดกับคำถามนั้นอย่างจริงจังว่า เราเรียนกฎหมายมากมาย แต่ไม่มีกฎหมายไหนเลยเหรอที่จะช่วยชาวบ้านได้ ผมรู้สึกว่าห้องสี่เหลี่ยมในมหา’ลัยไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง เลยไปเน้นเรียนรู้จากพื้นที่จริงแล้วเอากลับมาตั้งคำถามกับอาจารย์และเพื่อนในห้อง
“หลังจากนั้นใจเราอยู่กับเรื่องการแก้ไขปัญหาพื้นที่แล้ว อีสานไม่ได้มีแค่ประเด็นเหมืองแร่เมืองเลย แต่มีเรื่องการจัดการน้ำ อุตสาหกรรม ฯลฯ สี่ปีในรั้วมหา’ลัยต้องใช้ให้คุ้ม ไปศึกษาเรียนรู้กับชาวบ้าน ช่วยกันผลักดันขบวนการให้เกิดข้อเรียกร้องได้จริง ผมเลยทำกิจกรรมเป็นหลัก เรียนเป็นรอง”
หลังพายุเข้ามหาวิทยาลัยและร่วมเคลื่อนไหวกับดาวดินได้เพียงปีเดียวก็เกิดการรัฐประหาร 2557 จากกลุ่มที่ทำงานประเด็นเชิงพื้นที่ ดาวดินก็ออกมาต่อต้านรัฐประหาร เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าปัญหาในพื้นที่จะไม่ถูกแก้ไข หากโครงสร้างการเมืองอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
“เราเคยมาเคลื่อนไหวที่กรุงเทพฯ มีทหารระดับสูงตะโกนถามว่า ‘พวกมึงมาเคลื่อนไหวอะไรกัน’ พวกเราตอบไปว่า ‘พี่น้องเหมืองแร่เมืองเลยจะตายแล้ว’ เขาก็งงว่ามันเกี่ยวอะไรด้วย เราพยายามเอาปัญหาในพื้นที่มาสื่อสารกับคนภายนอกให้มากที่สุด” เขาเล่า
เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อดาวดินเริ่มเป็นที่รู้จักคือเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารเดินทางเยือนขอนแก่น แล้วสมาชิกกลุ่มดาวดินไปชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านจนถูกรวบออกจากพื้นที่
พายุเล่าว่าเขาโดนตำรวจจับในงานนั้นแล้วถูกส่งตัวเข้าค่ายทหาร เมื่อพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเซ็นเอ็มโอยูเลิกเคลื่อนไหวต่อต้าน เจ้าหน้าที่จึงเรียกผู้ปกครองให้มาค่ายทหาร เวลานั้นเองที่คนในครอบครัวของพายุเพิ่งรู้ว่าเขาไปทำกิจกรรมการเมือง
“ตาเคยเป็นตำรวจ พอตายายมาถึงค่ายทหารก็สวดผมชุดใหญ่เลย สุดท้ายผมเลยต้องเซ็นเอ็มโอยู”
เมื่อเดินทางถึงบ้าน บทสนทนาระหว่างตาหลานจึงเกิดขึ้น พายุใช้เวลาทั้งวันอธิบายเหตุผลที่เขาต้องออกไปเคลื่อนไหว เพราะรู้ดีว่าถ้าการพูดคุยครั้งนี้ไม่เป็นไปด้วยดี เขาอาจจะกลับไปทำกิจกรรมไม่ได้อีก
“ผมเล่าให้ฟังว่าปัญหาของชาวบ้านคืออะไร เราเรียนนิติศาสตร์ไปทำไม ค่อยๆ คุยด้วยเหตุผล ถ้าใช้อารมณ์แบบตอนเด็กคงไม่ได้แล้ว ผมยกตัวอย่างว่าที่คอนสารบ้านเราก็มีปัญหาที่ดิน อยู่ๆ รัฐมาประกาศว่าเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยไม่สำรวจว่ามีชาวบ้านอาศัยอยู่ ชาวบ้านก็ถูกขับไล่ กลายเป็นคนไม่มีที่ทำกิน เขาเลยต้องต่อสู้เรียกร้อง ตายายฟังเรื่องนี้เขาก็เข้าใจนะ เขาอินเรื่องนี้เลยคุยกันง่าย ถ้าพูดเรื่องหลักการกฎหมายเชิงโครงสร้างเขาอาจไม่เข้าใจ
“สุดท้ายผมพบว่า เขาแค่กลัวผมเรียนไม่จบ ถ้าเรียนจบแน่นอนเขาก็สบายใจ ไม่ห้ามอะไร แต่เขาก็ห่วง บอกว่าห้ามทำอะไรสุ่มเสี่ยง ตอนนั้นผมบอกว่า ‘ไม่เสี่ยงแน่นอน’ ดาวดินมีตัวหลักอย่างพี่ไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) อยู่แล้ว ผมทำงานเบื้องหลังมากกว่า”
พายุเล่าพร้อมยิ้มเมื่อนึกถึงบทสนทนาในอดีต อาจเพราะเขารู้อนาคตว่าความเสี่ยงที่ว่านั้นมีหน้าตาแบบไหน

2
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย พายุทำงานกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ซึ่งทำงานเรื่องปัญหาที่ดิน แล้วจึงได้เข้าไปเป็นคณะกรรมการพีมูฟ (ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม: P-move) ทำให้เขาได้เชื่อมต่อและเรียนรู้ประเด็นการเคลื่อนไหวขององค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ
หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ต้นปี 2563 กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความไม่พอใจของประชาชนระเบิดออกจากการอยู่ภายใต้ระบอบทหารมายาวนาน เกิดการชุมนุมต่อต้านทั่วประเทศจนกลายเป็น ‘ขาขึ้น’ ของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน พายุเห็นโอกาสอันดีในการสร้างแนวร่วมผลักดันประเด็นที่เขาทำงานอยู่
“ปี 2563 เกิดม็อบคนรุ่นใหม่ ช่วงนั้นผมทำงานกับคนุร่นใหม่ที่ชัยภูมิ จึงตั้งกลุ่ม ‘ราษฎรชัยภูมิ’ ตอนนั้นม็อบกระแสสูง จึงรวมตัวกันเกิดเครือข่าย ‘ราษฎรโขงชีมูน’ อย่างรวดเร็ว ผมเติบโตมากับดาวดิน ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ทำงานหนุนเสริมชาวบ้านให้ขบวนการเข้มแข็งมากขึ้น พอมาทำงานเอ็นจีโอจึงพยายามเชื่อมคนรุ่นใหม่เข้ากับขบวนการชาวบ้านด้วย”
พายุพยายามคุยกับพีมูฟว่าควรเคลื่อนไหวไปพร้อมม็อบคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการร่วมผลักดันข้อเสนอเชิงโครงสร้างอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง ‘ทะลุฟ้า’ มาร่วมเมื่อพีมูฟเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ
“เราเอาประเด็นเชิงโครงสร้างไปคุยกับชาวบ้านให้เห็นภาพว่า ถ้าเราแก้รัฐธรรมนูญได้ ชาวบ้านจะสามารถกำหนดอนาคตตัวเองได้ ชาวบ้านก็เอาด้วย จนสุดท้ายพีมูฟตกลงเคลื่อนไหวเรื่องเอเปค เพราะมันเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมของชาวบ้านโดยตรง” พายุบอก
การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 จัดในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 โดยมีวาระหลักเรื่องโมเดลเศรษฐกิจ BCG ภาคประชาชนจึงรวมตัวกันเคลื่อนไหวในนามกลุ่ม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ เรียกร้องให้ยกเลิก BCG ที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ พร้อมให้ประยุทธ์ยุติบทบาทประธานการประชุม เพราะไม่มีความชอบธรรม รวมถึงเรียกร้องให้ยุบสภา ให้มีการเลือกตั้ง และร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน
“เราตั้งขบวนจากลานคนเมืองเพื่อเดินไปศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อสื่อสารให้นานาชาติรับรู้ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เป้าหมายวันนั้นมีแค่เดินขบวนรณรงค์ไปให้ใกล้ศูนย์ประชุมมากที่สุด เพื่อที่จะสื่อสารให้เสียงดังขึ้นและชัดเจนมากที่สุด” พายุเล่า
วันที่ 18 พ.ย. 2565 ม็อบนัดหมายเคลื่อนไหวกันโดยมีพายุรับหน้าที่ประสานงานและรับผิดชอบให้ขบวนเคลื่อนต่อไปได้ในฐานะหัวหน้าการ์ด วันนั้นเจ้าหน้าที่ตั้งแนวกั้นสามจุด หลังผ่านการเจรจาและล้มแนวกั้นแผงเหล็กไปได้ เมื่อถึงแนวกั้นที่สามที่มีรถควบคุมฝูงชนจอดรอไว้ เจ้าหน้าที่ก็มีปฏิบัติการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรง
“วันนั้นผมอยู่ข้างหน้าขบวนตลอด มีพี่ทีมเจรจาได้ยินเจ้าหน้าที่คุยกัน เขาเลยมาบอกผมว่า ‘เขาเล็งแล้วนะ เขาล็อกตัวแล้ว ระวังตัวด้วย’ ผมรับฟังคำเตือนนะ แต่ไม่รู้จะระวังตัวอย่างไร ผมเป็นการ์ดที่ต้องพาขบวนไปข้างหน้าให้ได้”
ช่วงเที่ยง ระหว่างที่ผู้ชุมนุมพักกินข้าว มีผู้ชุมนุมบางส่วนทำกิจกรรมเผาพริกเผาเกลือในเตาอั้งโล่ที่วางบนรถตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงประกาศว่าเป็น ‘การวางเพลิง’ หลังจากนั้นมีการขว้างปาสิ่งของใส่กันทั้งจากผู้ชุมนุมและตำรวจ ตามมาด้วยการบุกเข้าสลายการชุมนุม เจ้าหน้าปาพลุแฟลร์เพื่อบดบังทัศนวิสัย แล้วจึงยิงกระสุนยางเข้าใส่ผู้ชุมนุม โดยเป็นการเล็งปืนในระดับศีรษะซึ่งผิดหลักการสลายการชุมนุม
“ตอนนั้นผมยืนสูบบุหรี่คุยกับเพื่อนอยู่ แล้วอยู่ๆ มีพลุควันกลิ้งมาตกที่พื้น เพื่อนบอกว่า ‘พี่…วิ่ง’ ผมก็วิ่ง แล้วหันไปเห็นเจ้าหน้าที่ คฝ. วิ่งมา ผมจึงบอกให้ทีมการ์ดคล้องแขนคุ้มกันชาวบ้านที่นั่งกินข้าวกันอยู่ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำร้ายคน แต่ยื้อไม่อยู่ แนวการ์ดแตกกันหมด แล้วรถเครื่องเสียงของเราก็ถอยหลัง อาจเพราะเขาเจอกระสุนยางยิงใส่หน้ารถ ผมเลยวิ่งไปบอกรถเครื่องเสียงว่าอย่าถอย ให้จอดไว้ เพราะมีชาวบ้านล้อมวงนั่งกินข้าวอยู่หลังรถ เสร็จแล้วพอหันไปมองตำรวจข้างหน้า…ผมก็โดนยิงเลย”
พายุบอกว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บ แต่หูอื้อและงุนงง เขาจึงหลบไปนั่งพักบนฟุตบาทริมถนน ก่อนเจอเจ้าหน้าที่วิ่งเข้ามาจะทุบซ้ำ
“หูอื้อ ได้ยินเสียงวิ้ง ผมรู้สึกเย็นๆ จึงจับที่หน้า ก็พบว่าเลือดออกเต็มเลย พอนั่งพักก็มีเจ้าหน้าที่ คฝ. สองคนวิ่งเข้ามาจะตีผมซ้ำ ผมเลยชูมือเปื้อนเลือดให้ดู เขาเลยยั้งมือแล้ววิ่งไปหาผู้ชุมนุมคนอื่น เจ้าหน้าที่ คฝ. อีกคนเห็นเลยเรียกผมให้ขึ้นรถไปโรงพยาบาล
“ตอนนั้นผมคิดว่าช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้แล้ว ผิดหวังว่าตัวเองอยู่ไม่จบ โดนยิงก่อน ปกติผมอยู่จนเสร็จงานตลอด”
พายุถูกกระสุนยางยิงเข้าที่ดวงตาข้างขวาจนแหลกละเอียด แต่หลังเกิดเหตุช่วงแรกเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าแผลร้ายแรงแค่ไหน ขณะอยู่บนรถพยาบาล เขาถามเพื่อนรุ่นน้องที่นั่งมาบนรถด้วยว่า “ม็อบเป็นอย่างไรบ้าง” คำตอบของเพื่อนทำให้เขาฉุกคิด “พี่ไม่ต้องห่วงหรอก พี่คิดเรื่องตัวเองเถอะ”
“ตอนอยู่บนรถพยาบาลผมรู้สึกว่ามันนานมากเลย ก็เลยคิดว่าถ้ามองไม่เห็นจะเอาอย่างไรต่อ แล้วก็คิดว่าไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เรื่องอื่นค่อยฝึกเอา พอถึงโรงพยาบาลตำรวจก็นอนรอบนรถเข็น 3-4 ชั่วโมง กว่าจะเข้าห้องผ่าตัด ผมก็นอนคิดกับตัวเองไปเรื่อยๆ ว่ามีตัวเลือกอะไรบ้าง จะบอกที่บ้านอย่างไร
“พอหมอมาตรวจ ตอนนั้นแผลน่ากลัวมาก หมอมองไม่เห็นลูกตาแล้ว เขาส่องตาผมแล้วถามว่า ‘มองเห็นไหม’ ผมบอก ‘มองไม่เห็นเลยครับหมอ’ ‘เห็นสักนิดไหม เห็นกี่เปอร์เซ็นต์’ ‘ไม่เห็นเลย’ เขาก็ผ่าตัดแล้วปิดแผล รอตรวจวันถัดมาว่าจะมีโอกาสมองเห็นไหม แต่ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้
“วันต่อมา พอหมอมาตรวจแล้วผมยังมองไม่เห็น ตอนนั้นผมก็รู้แล้วว่าจะมองไม่เห็นอีก” พายุเล่า

3
แม้ตาจะเคยขอร้องพายุว่า “ห้ามทำอะไรสุ่มเสี่ยง” แต่พายุที่ตกปากรับคำในวันนั้นคงนึกไม่ว่าถึง ‘เสี่ยง’ ที่ว่าคือการออกไปชุมนุมแล้วโดนเจ้าหน้าที่ยิงกระสุนยางใส่ตาจนบอดอย่างผิดปกติวิสัย
หลังออกจากโรงพยาบาล เขาพักอยู่ที่กรุงเทพฯ หนึ่งเดือน แล้วจึงกลับบ้านไปหาตายายที่ชัยภูมิ
“ตอนนั้นผมใส่ตาเทียมแล้ว ก็ขับรถยนต์กลับบ้านเองเลย ผมพยายามให้ตายายเห็นว่าผมใช้ชีวิตตามปกติได้ เพราะเขาเป็นห่วงว่าเราจะใช้ชีวิตปกติไม่ได้ หยิบจับอะไรไม่ได้ ต้องให้คนอื่นช่วย
“เขาเป็นห่วงผมมาก ตาผมนึกว่าคนเราสามารถเปลี่ยนดวงตาให้กันได้ เขาบอกว่า ‘ถ้าอย่างนั้นเอาตาของตาไปเปลี่ยนก็ได้ จะได้กลับมามองเห็น กลับมาทำงานได้’ ผมซึ้งมาก แต่ต้องแสดงความเข้มแข็ง ก็พูดติดตลกว่า ‘ประเทศไทยยังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก มันทำไม่ได้หรอก’” ชายหนุ่มเล่าท้ายเสียงสั่น
เหตุการณ์สลายการชุมนุมวันนั้นมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 31 คน นอกจากพายุที่ตาบอดแล้ว หลายคนเจอความรุนแรงจากตำรวจอย่างผิดปกติ เช่น จ่อยิงเข้าที่ลำตัว ใช้กระบองฟาดหน้า เล็งยิงเข้าที่ศีรษะ เยาวชนหญิงรายหนึ่งถูกตำรวจกระทืบที่ศีรษะ นอกจากนี้มีการกระทืบนักข่าวและห้ามไม่ให้บันทึกภาพ
หลังเหตุการณ์ตำรวจจึงดำเนินคดีผู้ชุมนุม 25 คน โดยศาลพิพากษาโทษปรับ ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงเกินเหตุที่เกิดขึ้น แม้ผู้ชุมนุมจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง แต่คดียังไม่มีความคืบหน้าใด
ที่ผ่านมามีการยื่นให้ กมธ.กฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมม็อบเอเปค โดยมีการเรียกตำรวจมาชี้แจง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าปฏิบัติการดังกล่าวไม่ใช่การสลายการชุมนุม แต่เป็นการจับกุมซึ่งหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีคำสั่งศาลให้สลายการชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ด้านตำรวจก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกันเองภายในองค์กร ซึ่งแน่นอนว่าไม่นำไปสู่อะไร
อีกด้านหนึ่ง พายุและแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเคยไปรายงานต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ (CAT) ที่เจนีวาว่า กรณีที่เกิดขึ้นกับพายุและม็อบต้านเอเปคเป็นการสลายการชุมนุมโดยไม่ชอบตามหลักสากล เนื่องจากคณะกรรมการฯ เคยวินิจฉัยกรณีการสลายการชุมนุมในเกาหลีใต้ว่าการควบคุมการชุมนุมโดยใช้อาวุธความรุนแรงต่ำ (อย่างกระบอง กระสุนยาง หรือแก๊สน้ำตา) โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือจงใจละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นถือเป็นการทรมานลักษณะหนึ่ง
คณะกรรมการต่อต้านการทรมานจึงเสนอให้ไทยปฏิรูปกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ให้สอบสวนกรณีพายุอย่างเป็นธรรมทันที และให้เยียวยาผู้เสียหายอย่างรอบด้าน
แม้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเรียกร้องให้ตรวจสอบว่ากรณีนี้เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ หรือไม่ รวมถึงคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง แต่สามปีที่ผ่านมาก็สะท้อนความล่าช้าในการปกป้องประชาชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง และสะท้อนว่าเหตุการณ์นี้อาจไม่สามารถฝ่าวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐไทยไปได้
สำหรับพายุเอง เขารู้ดีว่าการเรียกร้องความยุติธรรมในเรื่องนี้คาดหวังได้น้อยมาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้เพื่อยืนยันหลักการว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
“มันเป็นเรื่องที่ต้องสู้เพื่อยืนยันหลักการถึงความผิดของเจ้าหน้าที่ การลอยนวลพ้นผิดไม่ควรเกิดขึ้น ผมรู้ว่าระบบยุติธรรมไทยเป็นอย่างไร ตั้งแต่ผมทำงานกับชาวบ้าน กว่าคนที่ต่อสู้เพื่อบ้านเกิดจะได้รับความยุติธรรมนั้นมันนานมาก เราเลยไม่คาดหวังเรื่องระยะเวลา
“พอมีกรณีที่เกิดขึ้นกับผม เราก็ต้องสื่อสารว่ามันมีปัญหา ความล่าช้าของระบบยุติธรรมคือความไม่ยุติธรรม เรื่องนี้เกิดจากวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นแค่กรณีผม แต่เกิดขึ้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
พายุยืนยันว่า การใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ที่ทำให้เขาสูญเสียการมองเห็นนั้นไม่ใช่ปัญหาที่เขาเรียกร้องให้ตัวเองเพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยในการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
“เรื่องนี้ไม่ควรเป็นแค่เรื่องของผม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผมไม่ควรเกิดขึ้นอีกในการชุมนุมใดก็ตามในอนาคต การลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเป็นกรณีแรก มันเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกคนควรได้รับความยุติธรรม เจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดต้องได้รับการลงโทษ นี่คือเรื่องของทุกคนที่ผมต้องออกมาพูดผ่านเรื่องของตัวเองและมันไม่ควรเกิดขึ้นอีกในอนาคต” พายุยืนยัน
หลังเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น คำถามที่ชายหนุ่มเผชิญบ่อยครั้งคือ “หากย้อนเวลาได้ วันนั้นจะยังออกมาม็อบไหม?”
เขาตอบหนักแน่น “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็จะยังทำเหมือนเดิม แต่ต้องป้องกันตัวเองมากกว่านี้ อย่างไรผมก็คงยังยืนข้างหน้าเหมือนเดิม คุมม็อบเหมือนเดิม เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องทำและเป็นเรื่องที่เราตั้งใจทำตั้งแต่แรก”
4
ทุกวันนี้พายุทำงานด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในภาคประชาสังคมที่อีสาน การเรียกร้องความเป็นธรรมในกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเขาและม็อบเอเปคเป็นหนึ่งในหลายประเด็นที่เขาต้องต่อสู้เรียกร้อง เมื่อเส้นทางการต่อสู้ของภาคประชาชนยังอีกยาวไกล
สำหรับนักกฎหมายอย่างเขา หนึ่งในหมุดหมายที่สำคัญต่อการแก้ปัญหาหลายเรื่องคือการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
“รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุด ถ้ารัฐธรรมนูญดี ปากท้อง ชีวิต และคุณภาพชีวิตคนจะดีขึ้น พี่น้องชาวบ้านไม่ต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้แบบนี้ ถ้ารัฐธรรมนูญดี กฎหมายต่างๆ จะออกมาจะดีเอง รัฐธรรมนูญปัจจุบันเราก็รู้กันว่ามีที่มาจากไหน เราจึงยังต่อสู้ประเด็นโครงสร้างคือเรื่องรัฐธรรมนูญ”
ในฐานะคนที่คลุกคลีกับประเด็นปัญหาในพื้นที่ภาคอีสานและเผชิญอุปสรรคในการเรียกร้องให้แก้ปัญหา สิ่งที่พายุอยากเห็นต่อไปคือ ‘การกระจายอำนาจ’ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาอยากเห็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 2569 ผลักดันให้เกิดขึ้นจริง
“สิ่งที่ผมอยากเห็นคือการกระจายอำนาจ เวลาเราเคลื่อนไหวทีไรต้องไปที่ส่วนกลางตลอด ถ้ามีการกระจายอำนาจเราก็ไม่ต้องไปส่วนกลางแล้ว เราจะสามารถแก้ปัญหาได้ที่จังหวัดหรือในพื้นที่ตัวเอง ปัญหาจะไม่พันกัน ชาวบ้านก็ไม่ต้องเสี่ยงไปเคลื่อนในกรุงเทพฯ แล้วเจอสลายการชุมนุม
“สิ่งที่ผมอยากเห็นคือการที่ชุมชนหรือชาวบ้านสามารถกำหนดอนาคตตัวเองได้ จังหวัดจัดการตัวเองได้ คนหลายพื้นที่ก็อยากเลือกตั้งผู้ว่าฯ เหมือนคนกรุงเทพฯ
“ถ้าอำนาจถูกกระจายออกไป การแก้ปัญหากันในพื้นที่จะง่ายขึ้น แล้วประเทศไทยจะดีขึ้น บางพื้นที่เขาอยากแก้ไขปัญหานะ แต่ไม่มีอำนาจ เพราะส่วนกลางรวมศูนย์อำนาจ แล้วระบบราชการทำงานล่าช้า ทำให้ทุกอย่างช้าไปหมด ไม่เกิดการแก้ไขปัญหาได้จริง”
เป้าหมายการทำงานของพายุคือการเคลื่อนไหวจนเห็นคนแต่ละพื้นที่สามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้ หากเจอปัญหาก็สามารถแก้ไขกันเองในพื้นที่ได้ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริงเขาก็พร้อมทิ้งบทบาทนักเคลื่อนไหวไปไล่ตามความฝันส่วนตัว
“ที่จริงผมไม่ได้อยากทำงานนี้เพราะอยากทำ แต่มันเป็นเรื่องต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ คำพูดเช เกบาราคือ ‘ถ้าคุณเห็นความอยุติธรรมอยู่ตรงหน้าแล้วคุณโกรธจนตัวสั่น คุณคือเพื่อนเรา’ ที่จริงเราจะปล่อยผ่านก็ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่ปล่อยผ่านและเรายังทำมันอยู่”
ชายหนุ่มสรุปพร้อมหัวเราะร่วน “ผมเป็นเพื่อนเช”
เมื่อถามถึงความฝันส่วนตัวนอกเหนือจากบทบาทนักเคลื่อนไหว พายุเอนหลังแล้วนึกคำตอบ “โอ๊ย…ผมนี่มีความฝันเยอะแยะมาก”
เขาบอก “ที่จริงผมอยากเป็นนักแข่งรถ ตอนผมเป็นเด็กมันเป็นกีฬาของคนมีเงิน ยากมากที่คนชนบทจะไปเป็นนักแข่งหรือมีทรัพยากรพอจะทำรถมาซิ่งแข่งในสนามได้ ผมโตมากับหนังรถยนต์ คลั่งไคล้รถ ผมก็มีความฝันว่าโตไปอยากมีอู่ซ่อมรถเป็นของตัวเอง ให้คนแถวนั้นมาทำรถกับเรา ข้างอู่มีคาเฟ่กับบ้าน แล้วมีรถซิ่งจอดไว้ นี่คือความฝันตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ยังไม่ใกล้ความฝันนี้เลย”
ชายหนุ่มเล่าภาพฝันของเขาอย่างชัดเจน แต่ความจริงของชีวิตเบื้องหน้ายังเรียกร้องให้เขายังต้องเดินทางต่อในเส้นทางการต่อสู้ทางสังคม
“ถ้าการเรียกร้องทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย ผมก็คงกลับบ้านไปทำเรื่องพวกนี้แหละ”
เป้าหมายชีวิตของพายุอาจไม่ได้แตกต่างนักกับเป้าหมายของคนจำนวนมากในสังคมไทยที่หวังจะมองเห็นปลายทางของการต่อสู้อันยาวนานครั้งนี้ เพื่อที่ทุกคนจะได้ไปทำตามความฝันส่วนตัวโดยไม่ต้องเสี่ยงลงถนนแล้วเจอความรุนแรงเช่นนี้

https://www.the101.world/payu-boonsophon-interview/
