
วันสุดท้ายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ภายนอกเรือนจำเมื่อ 9 ก.ย. ก่อนฟังคำสั่งศาลฎีกาฯ "คดีชั้น 14" ที่ให้บังคับโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี
วิเคราะห์ผลกระทบ 2 คดีทักษิณ ทำเพื่อไทยถูกตัด "กระแส-กระสุน"
หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
พรรคเพื่อไทย (พท.) ต้องเผชิญกับปัจจัยลบอย่างต่อเนื่อง เมื่อ "ผู้นำทางจิตวิญญาณ" นาม ทักษิณ ชินวัตร ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 1.76 หมื่นล้านบาทตามคำพิพากษาศาลฎีกา "คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป" และยังปรากฏกระแสข่าวอัยการสูงสุด (อสส.) เตรียมยื่นอุทธรณ์ "คดี ม.112" ซึ่งอาจส่งกระทบต่อการขอพักโทษของอดีตนายกฯ ผู้ถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำมากว่า 2 เดือน
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์วิเคราะห์ผลที่ตามมาจาก 2 คดีนี้ว่า จะทำให้พรรค พท. อ่อนแอลง เพราะถูกตัดทั้ง "กระแส" และ "กระสุน" ในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง 2569 และมีโอกาสกลายเป็น "พรรคต่ำร้อย"
ขณะที่บรรดานักการเมือง นักวิเคราะห์การเมือง รวมถึงทนายความของอดีตนายกฯ เชื่อว่ามี "แผนสกัด" ไม่ให้ ทักษิณ ออกจากเรือนจำก่อนการเลือกตั้ง
ทักษิณ วัย 76 ปี ต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปีตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง "คดีชั้น 14" เมื่อ 9 ก.ย.
ถึงวันนี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ภายในเรือนจำกลางคลองเปรมมาแล้ว 71 วัน และจะมีสิทธิได้รับการพักการลงโทษเป็นกรณีพิเศษตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ เมื่อรับโทษครบ 1 ใน 3 แต่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มี.ค. 2569
หากอดีตนายกฯ คนที่ 23 ได้รับการพักโทษ เขาจะได้ออกจากเรือนจำ 3 สัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งแกนนำรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น 29 มี.ค. 2569
แต่ถ้า อสส. ยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 ก็จะทำให้ผลของคดียังไม่ถึงที่สุดแม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปแล้ว ซึ่งนักกฎหมายบางส่วนชี้ว่าอาจส่งผลต่อดุลพินิจของคณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษ ซึ่งอาจไม่อนุมัติ/ไม่เห็นชอบได้ เพราะถือว่านักโทษเด็ดขาดชาย (น.ช.) รายนี้ยังมี "คดีต่อ" หรือ คดีอื่น"
ทักษิณ "เสียใจ-เจ็บช้ำ" แต่ "ต้องสู้ต่อ"
กรุงเทพธุรกิจรายงานเมื่อ 17 พ.ย. ว่า อิทธิพร แก้วทิพย์ อสส. มีความเห็นให้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าคณะกรรมการกลั่นกรองคดี ม.112 ของอัยการ มีความเห็นไม่อุทธรณ์ก็ตาม
สำนักงานอัยการสูงสุดยังไม่ได้ชี้แจงหรือยืนยันรายงานข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด แต่บรรดาผู้เกี่ยวข้องกับจำเลยคดี ม.112 ได้ออกมาให้ความเห็นอย่างกว้างขวาง
"คุณพ่อก็เสียใจจริง ๆ ท่านรู้สึกเจ็บช้ำ" พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ "เอม" บุตรสาวคนกลางของ ทักษิณ เปิดเผยความรู้สึกของบิดาภายหลังทราบกระแสข่าว อสส. เตรียมยื่นอุทธรณ์คดี
"ก็ต้องสู้ เพราะถ้าเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อค่ะ" เอม-พินทองทา ลั่นวาจาเอาไว้เมื่อ 17 พ.ย.

ผู้สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ไปรอให้กำลังใจอดีตนายกฯ เมื่อ 22 ส.ค. ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของอดีตนายกฯ ทักษิณ ใช้คำว่า "ท่านเองก็ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านมีความเสียใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น" แต่อดีตนายกฯ เป็นนักสู้ ไม่ได้เจตนาจะกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ก็จะสู้ให้ถึงที่สุด
เขายังตั้งข้อสังเกตต่อกรณีที่ อสส. คนปัจจุบันมีความเห็นแย้งกับมติของคณะทำงานที่ตั้งโดย อสส. คนก่อน ซึ่งได้ยินว่ามติ 7:2 หรือ 8:2 มีความเห็นว่าไม่สมควรอุทธรณ์ แต่มตินั้นหายไป 1 มติ เป็นประธานคณะทำงานหรือไม่ เพราะหลังจากนั้นก็มาดำรงตำแหน่งเป็น อสส. ต่อ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าควรจะพลิกฝืนจากมติเดิมหรือไม่
ทนายความของทักษิณกล่าวต่อไปว่า หากอัยการจะยื่นอุทธรณ์คงต้องดำเนินการภายใน 21 พ.ย. ซึ่งถ้ายื่นและส่งหมายมา ก็จะแก้อุทธรณ์ต่อไป ซึ่งตนจะใช้สิทธิยื่นขอข้อมูลและความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองคดี ม.112 เพื่อนำไปใช้ประกอบในการยื่นอุทธรณ์ ก็อยากรู้ว่าที่ อสส. ที่มีความเห็นให้อุทธรณ์ มีความเห็นอย่างไร
ในมุมมองของวิญญัติ การอุทธรณ์คดี ม.112 ของ อสส. น่าจะไม่มีผลต่อการพิจารณาพักการลงโทษของทักษิณ เพราะการอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องของกระบวนการ แต่การพักโทษเป็นระยะเวลาที่มีตามกฎหมาย ซึ่งผู้ต้องขังทุกคนได้รับสิทธิเท่าเทียมเสมอภาคกัน
ทว่าในเวลาต่อมา วิญญัติได้แสดงความเห็นผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของเขา โดยสนับสนุนข้อวิเคราะห์ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและอดีตผู้ต้องขัง โดยระบุว่า "ที่คุณชูวิทย์พูด โดยส่วนตัวผมก็เชื่อว่ามีแผนสกัดแน่นอน ซึ่งมีการแทรกแซงที่ทำเป็นขบวนการด้วย"
สำหรับข้อวิเคราะห์ของชูวิทย์คือ หากอัยการยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 ทักษิณจะไม่ได้รับการพิจารณาพักโทษ เพราะถือว่ามี "คดีต่อ"
"นี่คือ 'แผนสกัด' ไม่ให้ทักษิณออกจากคุกก่อนเลือกตั้ง ต้องตีตั๋วอยู่ยาวชนป้ายครบ 1 ปี" ชูวิทย์ระบุ
จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท. ไม่อยากให้เอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ข้อสังเกตของชูวิทย์ "เป็นข้อสังเกตที่สังคมคิดและสงสัยได้" และ "เป็นข้อสังเกตที่มีนัย" เพราะเหตุการณ์ประจวบเหมาะ 2 คดีในวันเดียวกัน เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรู้ว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง
สส.เชียงใหม่รายนี้ขึ้นทำหน้าที่ผู้นำพรรคสีแดงได้ไม่ถึงเดือน หลังจาก แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 31 และบุตรสาวคนสุดท้องของทักษิณ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค พท.
จุลพันธ์ยอมรับว่า พรรค พท. มีความสนิทสนม และมีหัวใจที่เชื่อมต่อกับครอบครัวของ ทักษิณ-แพทองธาร จึงมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ และรู้อยู่เต็มอกว่ากระบวนการเริ่มจากการรัฐประหาร มีการรื้อฟื้นคดีในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เชื่อว่าทักษิณและครอบครัวยังมีกำลังใจดี ก็คงหาช่องทางในการต่อสู้คดีต่อไป
"ทักษิณถูกกระทำ" สิ่งที่เพื่อไทยใช้หาเสียงได้
ด้าน ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินว่า วิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับทักษิณใน 2 คดีล่าสุด (คดี ม.112 และคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท) ส่งผลชัดเจนต่อพรรค พท. ทั้งในการแง่การถูกตัด "กระแส" และ "กระสุน" เนื่องจาก "ชีวิตของเพื่อไทยผูกติดอยู่กับทักษิณ" และมีคำถามตลอดว่าตระกูลชินวัตรจะเอาอย่างไรกับพรรค พท. ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามทำให้เห็นว่ายังอยู่กับพรรค ยังมุ่งมั่นต่อสู้ทางการเมือง
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณในวันนี้ ทำให้ภาพของการเป็นผู้ถูกกระทำมันชัดเจนขึ้นไปอีก แปลว่าเพื่อไทยเอาเรื่องนี้ไปหาเสียงได้ เพราะมันไปกระทบใจกลุ่มคนที่ผูกพันกับพรรคมาดั้งเดิม แต่สำหรับกลุ่มเสรีนิยมประชาธิปไตย ถ้าเพื่อไทยอ่อนแอลง หรือมีพฤติกรรมผิดไปจากที่คาดหวัง เขาก็หันไปเลือกพรรคประชาชน ผู้มีอำนาจจึงอยากให้กระแสแบบนี้ (ทักษิณถูกกระทำ) อยู่กับเพื่อไทย คะแนนจะได้ไม่ไหลไปพรรคประชาชนมากนัก" ดร.สติธร กล่าวกับบีบีซีไทย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเชื่อว่าทักษิณจะยังไม่ถึงขั้นหายไปจากกระดานการเมืองไทย แต่จะถูกเก็บไว้ในฐานะ "ตัวแปร" ในการดึงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 2569 ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคน้ำเงินกับพรรคส้ม
วิเคราะห์ผลกระทบ 2 คดีทักษิณ ทำเพื่อไทยถูกตัด "กระแส-กระสุน"
หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
พรรคเพื่อไทย (พท.) ต้องเผชิญกับปัจจัยลบอย่างต่อเนื่อง เมื่อ "ผู้นำทางจิตวิญญาณ" นาม ทักษิณ ชินวัตร ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 1.76 หมื่นล้านบาทตามคำพิพากษาศาลฎีกา "คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป" และยังปรากฏกระแสข่าวอัยการสูงสุด (อสส.) เตรียมยื่นอุทธรณ์ "คดี ม.112" ซึ่งอาจส่งกระทบต่อการขอพักโทษของอดีตนายกฯ ผู้ถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำมากว่า 2 เดือน
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์วิเคราะห์ผลที่ตามมาจาก 2 คดีนี้ว่า จะทำให้พรรค พท. อ่อนแอลง เพราะถูกตัดทั้ง "กระแส" และ "กระสุน" ในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง 2569 และมีโอกาสกลายเป็น "พรรคต่ำร้อย"
ขณะที่บรรดานักการเมือง นักวิเคราะห์การเมือง รวมถึงทนายความของอดีตนายกฯ เชื่อว่ามี "แผนสกัด" ไม่ให้ ทักษิณ ออกจากเรือนจำก่อนการเลือกตั้ง
ทักษิณ วัย 76 ปี ต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปีตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง "คดีชั้น 14" เมื่อ 9 ก.ย.
ถึงวันนี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ภายในเรือนจำกลางคลองเปรมมาแล้ว 71 วัน และจะมีสิทธิได้รับการพักการลงโทษเป็นกรณีพิเศษตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ เมื่อรับโทษครบ 1 ใน 3 แต่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มี.ค. 2569
หากอดีตนายกฯ คนที่ 23 ได้รับการพักโทษ เขาจะได้ออกจากเรือนจำ 3 สัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งแกนนำรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น 29 มี.ค. 2569
แต่ถ้า อสส. ยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 ก็จะทำให้ผลของคดียังไม่ถึงที่สุดแม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปแล้ว ซึ่งนักกฎหมายบางส่วนชี้ว่าอาจส่งผลต่อดุลพินิจของคณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษ ซึ่งอาจไม่อนุมัติ/ไม่เห็นชอบได้ เพราะถือว่านักโทษเด็ดขาดชาย (น.ช.) รายนี้ยังมี "คดีต่อ" หรือ คดีอื่น"
ทักษิณ "เสียใจ-เจ็บช้ำ" แต่ "ต้องสู้ต่อ"
กรุงเทพธุรกิจรายงานเมื่อ 17 พ.ย. ว่า อิทธิพร แก้วทิพย์ อสส. มีความเห็นให้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าคณะกรรมการกลั่นกรองคดี ม.112 ของอัยการ มีความเห็นไม่อุทธรณ์ก็ตาม
สำนักงานอัยการสูงสุดยังไม่ได้ชี้แจงหรือยืนยันรายงานข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด แต่บรรดาผู้เกี่ยวข้องกับจำเลยคดี ม.112 ได้ออกมาให้ความเห็นอย่างกว้างขวาง
"คุณพ่อก็เสียใจจริง ๆ ท่านรู้สึกเจ็บช้ำ" พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ "เอม" บุตรสาวคนกลางของ ทักษิณ เปิดเผยความรู้สึกของบิดาภายหลังทราบกระแสข่าว อสส. เตรียมยื่นอุทธรณ์คดี
"ก็ต้องสู้ เพราะถ้าเรายังไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องสู้ต่อค่ะ" เอม-พินทองทา ลั่นวาจาเอาไว้เมื่อ 17 พ.ย.

ผู้สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ไปรอให้กำลังใจอดีตนายกฯ เมื่อ 22 ส.ค. ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของอดีตนายกฯ ทักษิณ ใช้คำว่า "ท่านเองก็ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านมีความเสียใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น" แต่อดีตนายกฯ เป็นนักสู้ ไม่ได้เจตนาจะกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ก็จะสู้ให้ถึงที่สุด
เขายังตั้งข้อสังเกตต่อกรณีที่ อสส. คนปัจจุบันมีความเห็นแย้งกับมติของคณะทำงานที่ตั้งโดย อสส. คนก่อน ซึ่งได้ยินว่ามติ 7:2 หรือ 8:2 มีความเห็นว่าไม่สมควรอุทธรณ์ แต่มตินั้นหายไป 1 มติ เป็นประธานคณะทำงานหรือไม่ เพราะหลังจากนั้นก็มาดำรงตำแหน่งเป็น อสส. ต่อ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าควรจะพลิกฝืนจากมติเดิมหรือไม่
ทนายความของทักษิณกล่าวต่อไปว่า หากอัยการจะยื่นอุทธรณ์คงต้องดำเนินการภายใน 21 พ.ย. ซึ่งถ้ายื่นและส่งหมายมา ก็จะแก้อุทธรณ์ต่อไป ซึ่งตนจะใช้สิทธิยื่นขอข้อมูลและความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองคดี ม.112 เพื่อนำไปใช้ประกอบในการยื่นอุทธรณ์ ก็อยากรู้ว่าที่ อสส. ที่มีความเห็นให้อุทธรณ์ มีความเห็นอย่างไร
ในมุมมองของวิญญัติ การอุทธรณ์คดี ม.112 ของ อสส. น่าจะไม่มีผลต่อการพิจารณาพักการลงโทษของทักษิณ เพราะการอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องของกระบวนการ แต่การพักโทษเป็นระยะเวลาที่มีตามกฎหมาย ซึ่งผู้ต้องขังทุกคนได้รับสิทธิเท่าเทียมเสมอภาคกัน
ทว่าในเวลาต่อมา วิญญัติได้แสดงความเห็นผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของเขา โดยสนับสนุนข้อวิเคราะห์ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและอดีตผู้ต้องขัง โดยระบุว่า "ที่คุณชูวิทย์พูด โดยส่วนตัวผมก็เชื่อว่ามีแผนสกัดแน่นอน ซึ่งมีการแทรกแซงที่ทำเป็นขบวนการด้วย"
สำหรับข้อวิเคราะห์ของชูวิทย์คือ หากอัยการยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 ทักษิณจะไม่ได้รับการพิจารณาพักโทษ เพราะถือว่ามี "คดีต่อ"
"นี่คือ 'แผนสกัด' ไม่ให้ทักษิณออกจากคุกก่อนเลือกตั้ง ต้องตีตั๋วอยู่ยาวชนป้ายครบ 1 ปี" ชูวิทย์ระบุ
จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท. ไม่อยากให้เอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ข้อสังเกตของชูวิทย์ "เป็นข้อสังเกตที่สังคมคิดและสงสัยได้" และ "เป็นข้อสังเกตที่มีนัย" เพราะเหตุการณ์ประจวบเหมาะ 2 คดีในวันเดียวกัน เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรู้ว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง
สส.เชียงใหม่รายนี้ขึ้นทำหน้าที่ผู้นำพรรคสีแดงได้ไม่ถึงเดือน หลังจาก แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 31 และบุตรสาวคนสุดท้องของทักษิณ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค พท.
จุลพันธ์ยอมรับว่า พรรค พท. มีความสนิทสนม และมีหัวใจที่เชื่อมต่อกับครอบครัวของ ทักษิณ-แพทองธาร จึงมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ และรู้อยู่เต็มอกว่ากระบวนการเริ่มจากการรัฐประหาร มีการรื้อฟื้นคดีในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เชื่อว่าทักษิณและครอบครัวยังมีกำลังใจดี ก็คงหาช่องทางในการต่อสู้คดีต่อไป
"ทักษิณถูกกระทำ" สิ่งที่เพื่อไทยใช้หาเสียงได้
ด้าน ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินว่า วิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับทักษิณใน 2 คดีล่าสุด (คดี ม.112 และคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท) ส่งผลชัดเจนต่อพรรค พท. ทั้งในการแง่การถูกตัด "กระแส" และ "กระสุน" เนื่องจาก "ชีวิตของเพื่อไทยผูกติดอยู่กับทักษิณ" และมีคำถามตลอดว่าตระกูลชินวัตรจะเอาอย่างไรกับพรรค พท. ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามทำให้เห็นว่ายังอยู่กับพรรค ยังมุ่งมั่นต่อสู้ทางการเมือง
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณในวันนี้ ทำให้ภาพของการเป็นผู้ถูกกระทำมันชัดเจนขึ้นไปอีก แปลว่าเพื่อไทยเอาเรื่องนี้ไปหาเสียงได้ เพราะมันไปกระทบใจกลุ่มคนที่ผูกพันกับพรรคมาดั้งเดิม แต่สำหรับกลุ่มเสรีนิยมประชาธิปไตย ถ้าเพื่อไทยอ่อนแอลง หรือมีพฤติกรรมผิดไปจากที่คาดหวัง เขาก็หันไปเลือกพรรคประชาชน ผู้มีอำนาจจึงอยากให้กระแสแบบนี้ (ทักษิณถูกกระทำ) อยู่กับเพื่อไทย คะแนนจะได้ไม่ไหลไปพรรคประชาชนมากนัก" ดร.สติธร กล่าวกับบีบีซีไทย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเชื่อว่าทักษิณจะยังไม่ถึงขั้นหายไปจากกระดานการเมืองไทย แต่จะถูกเก็บไว้ในฐานะ "ตัวแปร" ในการดึงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 2569 ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคน้ำเงินกับพรรคส้ม

ครอบครัวชินวัตร นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, แพทองธาร ชินวัตร, พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงษ์ เข้าเยี่ยมทักษิณที่เรือนจำคลองเปรม เมื่อ 15 ก.ย. ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมได้
นักรัฐศาสตร์จากสำนักจามจุรีอธิบายว่า กระแสทักษิณมี 2 กระแสหลักคือ อุดมการณ์ กับ นโยบาย
- กระแสอุดมการณ์: คะแนนสงสารจะอยู่ในก้อนนี้ "เลือกเพื่อไทย เพราะสงสารทักษิณโดนอีกแล้ว" ซึ่งคะแนนตรงนี้ถ้าจะย้าย ก็ย้ายจากพรรคแดงไปพรรคส้ม
- กระแสนโยบาย: ผู้มีอำนาจต้องการให้ย้ายจากพรรคแดงไปพรรคน้ำเงิน อยากเอาภาพนี้ไปแปะให้พรรคภูมิใจไทย (ภท.) แทน "ในเมื่อไม่มีทักษิณแล้ว เลือกภูมิใจไทยซึ่งตอนนี้เป็นรัฐบาลอยู่ และมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลอีกสิ"
ดร.สติธรชี้ว่า คนที่ผิดหวังกับรัฐบาลเพื่อไทยเป็นเพราะมองกระแสภาพใหญ่ มองไปที่นโยบายเศรษฐกิจมหภาคแล้วเห็นว่ารัฐบาลทำไม่ได้ แต่สำหรับนโยบายที่ยิงตรงลงพื้นที่ยังพอไปได้ ซึ่งก่อนทักษิณจะกลับเข้าเรือนจำ ก็พยายามผลักดันนโยบายแก้หนี้สิน, ปราบยาเสพติด ดังนั้นภาพ "เก่งนโยบาย" ของผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค พท. อาจยังพอขายได้กับกลุ่มรากหญ้า
อนาคตพรรค 50-70 เสียง ?
แต่ถึงกระนั้น ความไม่มั่นคงทั้งในแง่กระแสและกระสุน ทำให้พรรค พท. อ่อนแอลงในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง 2569 ซึ่ง ดร.สติธรระบุว่า นักการเมืองที่ยังลังเลว่าจะอยู่หรือไปก็จะตัดสินใจย้ายพรรคได้ง่ายขึ้น ส่วนนักเมืองที่ย้ายออกไปแล้วก็เหมือนได้รับการยืนยันว่าคิดถูกแล้ว
"เดิมมันมี สส. ที่หวังพึ่งกระแสทักษิณ 'คิดเก่ง ทำเก่ง' ยังผูกใจคนอีสานได้ พวกนี้ยังลังเลที่จะย้ายพรรค โดยเฉพาะถ้าทักษิณไปขึ้นเวที ออกแอคชั่น สส. ก็ไม่กล้าย้ายออก ยังเอากระแสทักษิณไปบวกกับกระแสในพื้นที่ตัวเองได้ ยังพอสู้น้ำเงินไหว แต่ถ้าทักษิณออกมาไม่ได้ พักโทษไม่ได้ พรรคก็ถูกตัดกระแสตรงนี้ไป" ดร.สติธรกล่าว
ย้อนไปช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่พรรค พท. เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. ล็อตแรก สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรค พท. ประกาศเป้าหมายนำ สส. เข้าสภาไม่น้อยกว่า 200 เสียง บวกลบ 10% จากเดิมที่เป็นพรรคอันดับ 2 ของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ด้วยยอด สส. 141 เสียง น้อยกว่าพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้ง 2566 อยู่ 10 เสียง

แพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังประกาศ "ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย" ในงานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. ล็อตแรกเมื่อ 7 ต.ค. ก่อนที่เธอจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคหลังจากนั้น
แต่ในมุมวิเคราะห์ของนักรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อไทยมีโอกาสสูงที่จะตกที่นั่ง "พรรคต่ำร้อย" โดยคาดว่าจะได้ สส. ราว 50-70 เสียง
ดร.สติธรย้อนทบทวนว่า ตัวเลข 200 เสียงของสุริยะที่ประกาศพร้อม "หลุดความในใจมาเล็กน้อย" ประเมินบนฐานความคิดที่ว่าพรรค ปชน. กำลังอ่อนแอ "เขาไปหวังว่าถ้าพรรคส้มยวบ เพื่อไทยจะขึ้นมาได้ ไม่ได้ประเมินว่าจะไปตัดแต้มมาจากพรรคน้ำเงิน" แต่วันนี้พรรค ปชน. กลับมาได้แล้วจากการเกาะติดกรณีทุนเทา-สแกมเมอร์ ขณะที่พรรค พท. อ่อนแอลงเรื่อย ๆ จากการถูกดูด สส. อย่างหนักหน่วงโดยพลังน้ำเงินและเขียว คนที่ถูกดูดไปสำเร็จแล้วก็ทยอยเปิดตัว ส่วนที่ยังดูดไม่สำเร็จก็เริ่มแพลม ๆ เอาภาพถ่ายตอนเจอแกนนำมาปล่อย แสดงว่าเป้าหมายยังพร้อมดูดเต็มที่
"โจทย์ของน้ำเงินคือต้องการเป็นที่ 1 เพราะฉะนั้นเขาต้องสูบจากแดงเต็มที่ ถึงไปขยี้ส้มต่อได้ ดังนั้นตัวเลข 200 เสียง อย่าไปฝัน ผมประเมินว่าน่าจะอยู่ช่วง 50-70 เสียง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ให้เพิ่มขึ้นมาแล้วนะหลังคุณทักษิณถูกกระทำ" ดร.สติธรระบุ
ในการคาดการณ์ของนักรัฐศาสตร์รายนี้ ไม่ได้เกิดจากโจทย์ที่ว่าพรรค พท. "จะได้เท่าไร" แต่ตั้งต้นจากความเป็นจริงทางการเมือง ณ วันนี้ว่า "จะเหลืออยู่เท่าไร" ก่อนถึงวันเลือกตั้ง โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือกลุ่มของ 2 ส. (สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับ สมศักดิ์ เทพสุทิน) จะยังอยู่กับพรรค พท. ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ หรือถ้ายังอยู่จะอยู่ในลักษณะไหน อยู่ทั้งกลุ่มที่ระบุว่ามี 40 คน หรืออยู่เฉพาะตัวเองที่ลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) แต่ส่งลูกน้องบางส่วนกระจายไป "ฝากเลี้ยง" ที่พรรคอื่น และเก็บบางส่วนไว้ที่พรรค พท.
สำหรับตัวเลข 50-70 เสียงตามการประเมินของ ดร.สติธร มาจากโอกาสชนะการเลือกตั้งในภาคอีสานราว 20-30 เสียง, ภาคเหนือตอนบนราว 10 เสียง, ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางของกลุ่ม 2 ส. ที่อาจเก็บคนไว้ที่พรรค พท. ราว 10 เสียง, ปาร์ตี้ลิสต์ 10-15 เสียง โดยขึ้นกับคะแนนสงสารว่าจะมามากน้อยแค่ไหน
นักรัฐศาสตร์รายนี้ระบุว่า จำนวน สส.ปาร์ตี้ลิสต์มีความสำคัญต่อการกำหนดขนาดของพรรค และเป็นตัวตัดสินใจของกลุ่ม 2 ส. ว่าจะอยู่พรรคไหน หากได้ สส. 70-80 เสียงก็มีโอกาสร่วมรัฐบาลสูง แต่ถ้าได้ 50 เสียงก็ต้องกังวลแล้วว่าอาจแทงหวยผิด
"หากยุทธศาสตร์เพื่อไทยคือเรียกคะแนนสงสาร เราก็จะมีโอกาสได้คนในครอบครัวชินวัตรมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนต่อไป" ดร.สติธรกล่าวทิ้งท้าย
https://www.bbc.com/thai/articles/cd9k1j7ex2po