
สามก๊ก History Teller
18 hours ago
·
ทำไมพวกกุนซือที่ปรึกษาแบบ ขงเบ้ง ซุนฮก โลซก ถึงสำคัญมากสำหรับผู้นำที่จะก่อร่างสร้างตัว จากการประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทำให้เราเห็นกันมากขึ้นแล้ว เพราะนี่คือคนที่จะมา "กำหนดยุทธศาสตร์" ให้ชัดเจน ในการดำเนินการ แนวทาง แก้ปัญหา ไปจนถึงการวางกรอบเวลา KPI ตรวจสอบ และประเมิน ปรับปรุงเพิ่มเติม
.
ซึ่งที่จริงแล้วสิ่งที่ คุณศุภจี นำมาแถลงในรัฐสภา เกี่ยวกับแผนงานของกระทรวงพาณิชย์ บางจุดคือสิ่งที่ทางกระทรวงเขาดำเนินการและมีแผนการจะทำอยู่แล้ว เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกๆเลยที่มีการถูกนำมาพูดถึงและอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน รวมถึงยกระดับปรับปรุงเพิ่มเติมด้วย
.
ปกติแล้วถ้าใครทำธุรกิจ หรือต้องเข้าร่วมประชุม แนวทางแบบนี้จะพบเห็นกันประจำ โดยเฉพาะงานประชุมบอร์ด หรือประชุมผู้บริหาร แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นภาพแบบนี้จากการประชุมรัฐสภาเท่าไหร่นัก ต้องยอมรับว่า งานนี้ดูมีความหวังมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า ใน 4 เดือน เวลาจำกัด คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทันที แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นแผนงานและแนวทางปรับปรุงที่ถูกนำเสนอออกมาได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย
.
ในยุคสามก๊ก พวกขงเบ้ง ซุนฮก โลซก ก็ต้องทำแบบนี้ในการช่วยวางรากฐานให้ เล่าปี่ โจโฉ ซุนกวน เช่นกัน
.
เพิ่มเติม สำหรับคอนเม้นท์ในโพสนี้ ที่ใช้คำหยาบคาย ผมขอลบทิ้ง และเม้นประเภทบอกว่า ทำก่อนดิค่อยพูด คือแสดงว่าคุณกำลังไม่เข้าใจ เพราะ
.
- คุณศุภจีเพิ่งเริ่มงานวันแรกๆ ดังนั้นรัฐสภาคือ "เวทีให้พูดและพรีเซนต์ว่า เราจะทำอะไร มีแผนอะไร แล้วเรื่องนี้ทำได้ดีมากตรงที่บอกชัดเจนว่า เรากำลังจะทำอะไร ควรต้องทำอะไร มีแนวทางแก้ไขปัญหายังไง กรอบเวลาคืออะไร KPI การประเมินผลทำยังไง และจะปรับปรุงอะไร
.
- นี่คือเรื่องปกติของการทำงานในบริษัทและองค์กรทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องถึงขั้นประชุมบอร์ดหรอก เอาแค่ประชุมทีมและประชุมผู้บริหาร ระดับบริษัทขนาดกลาง ก็ยังต้องทำแบบข้างบน
.
- แผนงานคุณต้องชัดเจนก่อน ดังนั้น "ต้องพูด ต้องพรีเซนต์ ต้องสื่อสาร" โดยเน้นที่เหตุและผล จากนั้นเราคนไทยรอดูผลลัพธ์อีกที
.
ทีนี้เรามารอดูหลังจากนี้ว่า จะดำเนินการได้ขนาดไหน และถ้าทำได้ตาม KPI จะน่าเสียดายมากที่รัฐมนตรีสายเทคโนแครตจะอยู่กันแค่ 4 เดือน
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1394740488831324&set=a.586234619681919
.....
Orapin Niw Yingyongpathana
10 hours ago
·
ความเห็นไวไวต่อกระแสชื่นชมคุณศุภจี
เป็นปกติที่คนจะตื่นเต้นชื่นชมกับนักธุรกิจที่เข้ามาทำงานการเมือง ที่น่าคิดคือสิ่งนี้จะเป็นมาตรฐานความคาดหวังไปเรื่อยๆ ไหม (ลองนึกดู คนที่สังคมชอบ ล้วนต้องมีประสบการณ์ทำงานใน “ภาคธุรกิจ” กันมาเสียเป็นส่วนใหญ่) ด้านหนึ่งคืออาจเป็นอาการแก้เลี่ยนนักการเมืองมืออาชีพด้วย
อย่างไรก็ดี การแถลงนโยบายในกรอบสี่เดือน เป็นระยะเวลาที่สั้นเกินกว่าจะเห็นนโยบาย เสนอมากก็จะผิดข้อตกลงสี่เดือน เสนอน้อยก็ดูมีไม่พอ ความฉลาดหลักแหลมของคุณศุภจี ก็คงจะเป็นการเห็นช่องว่างตรงกลางนี้ ว่าจะใช้พื้นที่นี้ perform อย่างไรให้ประชาชนที่กำลังดูจดจำได้และประทับใจ
ต้องยอมรับว่า เนื้อหาในการแถลงนโยบาย 60% เป็นงานที่ทำต่อจากรัฐบาลก่อน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องยาก เป็นส่วนงานที่มีศัพท์เทคนิคเฉพาะเยอะ เพราะรัฐบาลก่อนหน้าต้องแก้ปัญหาไประหว่างการเจรจาภาษีทรัมป์ด้วย โดยเฉพาะปัญหาการปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้า ที่ไทยโดนสวมสิทธิ์จนทำให้มีปัญหาในการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ตอนอภิปราย เนื้อหาส่วนนี้ เป็นหมวดที่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ คุณศุภจีแสดงออกว่าได้ทำการบ้านมาละเอียด แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรต่างออกไปไหม อย่างไรก็ดี มันก็งานในหมวดที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็จะต้องสานต่อ ซึ่งรวมไปถึง เอฟทีเอ เพราะอยู่ในกรอบเวลาที่ต้องทำในปีนี้ สิ่งที่อาจจะแสดงวิสัยทัศน์ให้แตกต่างได้คือบอกถึงจุดยืนเนื้อในของการเจรจา ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งยังไม่ได้ถูกพูดถึงในการแถลงนโยบายครั้งนี้
อีก 30% ที่บรรยายเป็นเรื่องการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ “ของเล่นเชิงนโยบาย” ชิ้นใหม่ แต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เช่น ย้ำว่าก่อนผู้ผลิตจะตัดสินใจเน้นการลงทุนผลิตอะไร จะต้องสอนให้เรียนรู้เรื่องดีมานด์ ซัพพลาย และจะมีมาตรการใหญ่คือ “ลดค่าครองชีพ” ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานธงฟ้า การคุยกับโรงพยาบาลเอกชนว่าให้บอกราคาก่อนการรักษา และมีส่วนที่คุณศุภจีพูดถึงการช่วยเหลือผุ้ประกอบการ SME ทั้งหมดนี้ ดูจะเป็นรายละเอียดเพื่อประคองระบบที่มีอยู่เดิมให้คงตัวหรือดีขึ้นกว่าเดิม��
อีก 10% ที่เหลือถึงเป็นไอเดียที่เสนอว่า อยากให้มีอยากให้ทำ เช่น การมองหาตลาดใหม่นอกประเทศ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง (มีการพูดถึงข้าวโพด ที่ที่จริงแล้วน่าจะลงรายละเอียดได้มากขึ้นว่า ผลพวงจากภาษีทรัมป์ จะมีผลต่อตลาดข้าวโพดอย่างไร แต่ไม่ได้พูด) ในส่วนนี้ เป็นไอเดียตั้งต้นใหม่ที่รัฐบาลปัจจุบันก็ยังไม่ได้ศึกษาข้อมูล ยังไม่ได้ดูความเป็นไปได้ และอาจจะยังไม่ได้ทำ feasibility
โดยสรุป การแถลงนโยบายนี้ ทำให้เห็น “การทำการบ้าน” ของคุณศุภจี มากไปกว่าการเห็นวิสัยทัศน์ และต้องย้ำว่า เนื้อหาเกินครึ่งบอกเล่ามาตรการปัจจุบันที่ทำมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในประเด็นและทักษะการสื่อสารที่บอกเล่าออกมาได้ ด้านหนึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับงานสี่เดือน อีกด้านหนึ่งก็ต้องพึงตระหนักว่า ระยะสี่เดือน คือระยะที่เร็วพอจะสร้างโอกาสในการรับชอบ แต่ก็ไม่นานพอที่จะรับผิด
ส่วนตัวงงกับกระแสวิจารณ์ ไม่ว่าจะชื่นชมและแอนตี้ ว่าควรจะเข้าประเด็นคุยกันเรื่องเนื้อหากันมากกว่านี้
https://www.facebook.com/niwwwong/posts/4552766784950249
·
ความเห็นไวไวต่อกระแสชื่นชมคุณศุภจี
เป็นปกติที่คนจะตื่นเต้นชื่นชมกับนักธุรกิจที่เข้ามาทำงานการเมือง ที่น่าคิดคือสิ่งนี้จะเป็นมาตรฐานความคาดหวังไปเรื่อยๆ ไหม (ลองนึกดู คนที่สังคมชอบ ล้วนต้องมีประสบการณ์ทำงานใน “ภาคธุรกิจ” กันมาเสียเป็นส่วนใหญ่) ด้านหนึ่งคืออาจเป็นอาการแก้เลี่ยนนักการเมืองมืออาชีพด้วย
อย่างไรก็ดี การแถลงนโยบายในกรอบสี่เดือน เป็นระยะเวลาที่สั้นเกินกว่าจะเห็นนโยบาย เสนอมากก็จะผิดข้อตกลงสี่เดือน เสนอน้อยก็ดูมีไม่พอ ความฉลาดหลักแหลมของคุณศุภจี ก็คงจะเป็นการเห็นช่องว่างตรงกลางนี้ ว่าจะใช้พื้นที่นี้ perform อย่างไรให้ประชาชนที่กำลังดูจดจำได้และประทับใจ
ต้องยอมรับว่า เนื้อหาในการแถลงนโยบาย 60% เป็นงานที่ทำต่อจากรัฐบาลก่อน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องยาก เป็นส่วนงานที่มีศัพท์เทคนิคเฉพาะเยอะ เพราะรัฐบาลก่อนหน้าต้องแก้ปัญหาไประหว่างการเจรจาภาษีทรัมป์ด้วย โดยเฉพาะปัญหาการปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้า ที่ไทยโดนสวมสิทธิ์จนทำให้มีปัญหาในการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ตอนอภิปราย เนื้อหาส่วนนี้ เป็นหมวดที่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ คุณศุภจีแสดงออกว่าได้ทำการบ้านมาละเอียด แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรต่างออกไปไหม อย่างไรก็ดี มันก็งานในหมวดที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็จะต้องสานต่อ ซึ่งรวมไปถึง เอฟทีเอ เพราะอยู่ในกรอบเวลาที่ต้องทำในปีนี้ สิ่งที่อาจจะแสดงวิสัยทัศน์ให้แตกต่างได้คือบอกถึงจุดยืนเนื้อในของการเจรจา ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งยังไม่ได้ถูกพูดถึงในการแถลงนโยบายครั้งนี้
อีก 30% ที่บรรยายเป็นเรื่องการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ “ของเล่นเชิงนโยบาย” ชิ้นใหม่ แต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เช่น ย้ำว่าก่อนผู้ผลิตจะตัดสินใจเน้นการลงทุนผลิตอะไร จะต้องสอนให้เรียนรู้เรื่องดีมานด์ ซัพพลาย และจะมีมาตรการใหญ่คือ “ลดค่าครองชีพ” ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานธงฟ้า การคุยกับโรงพยาบาลเอกชนว่าให้บอกราคาก่อนการรักษา และมีส่วนที่คุณศุภจีพูดถึงการช่วยเหลือผุ้ประกอบการ SME ทั้งหมดนี้ ดูจะเป็นรายละเอียดเพื่อประคองระบบที่มีอยู่เดิมให้คงตัวหรือดีขึ้นกว่าเดิม��
อีก 10% ที่เหลือถึงเป็นไอเดียที่เสนอว่า อยากให้มีอยากให้ทำ เช่น การมองหาตลาดใหม่นอกประเทศ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง (มีการพูดถึงข้าวโพด ที่ที่จริงแล้วน่าจะลงรายละเอียดได้มากขึ้นว่า ผลพวงจากภาษีทรัมป์ จะมีผลต่อตลาดข้าวโพดอย่างไร แต่ไม่ได้พูด) ในส่วนนี้ เป็นไอเดียตั้งต้นใหม่ที่รัฐบาลปัจจุบันก็ยังไม่ได้ศึกษาข้อมูล ยังไม่ได้ดูความเป็นไปได้ และอาจจะยังไม่ได้ทำ feasibility
โดยสรุป การแถลงนโยบายนี้ ทำให้เห็น “การทำการบ้าน” ของคุณศุภจี มากไปกว่าการเห็นวิสัยทัศน์ และต้องย้ำว่า เนื้อหาเกินครึ่งบอกเล่ามาตรการปัจจุบันที่ทำมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในประเด็นและทักษะการสื่อสารที่บอกเล่าออกมาได้ ด้านหนึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับงานสี่เดือน อีกด้านหนึ่งก็ต้องพึงตระหนักว่า ระยะสี่เดือน คือระยะที่เร็วพอจะสร้างโอกาสในการรับชอบ แต่ก็ไม่นานพอที่จะรับผิด
ส่วนตัวงงกับกระแสวิจารณ์ ไม่ว่าจะชื่นชมและแอนตี้ ว่าควรจะเข้าประเด็นคุยกันเรื่องเนื้อหากันมากกว่านี้
https://www.facebook.com/niwwwong/posts/4552766784950249