วันศุกร์, ตุลาคม 31, 2568

เมื่อ 30 ปีก่อน เคยมีการสกัดแร่หายากจากโมนาไซต์ในประเทศไทยที่จังหวัดปทุมธานี และปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวกลายเป็น “เขตสังเวยกากกัมมันตรังสี“ หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554...จนถึงปัจจุบัน ยังมีกากของเสียกัมมันตรังสีจำนวนมากบรรจุอยู่ในถังภายในพื้นที่ศูนย์

https://www.facebook.com/taragraphies/posts/pfbid025x1GSEdB4g8wNidUf5Jwcu6FSCuwWAsE5MBER3W4DtMaBUHpGen5PNKyUX71RR8Zl

Tara Buakamsri 
Yesterday
·
เขตสังเวยกากกัมมันตรังสีจากการสกัดแร่หายาก ยูเรเนียมและทอเรียมจากทรายโมนาไซต์ในประเทศไทย
***MoU ระหว่างสหรัฐอเมริกา-ไทยที่ลงนามกันไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ได้สร้างปรากฎการณ์ “ตื่นแร่ critical minerals/rare earth” และคำว่า ”แร์เอิร์ธ“ ได้กลายเป็น viral ไปทั่วทุกบทสนทนาในขณะนี้
***แต่น้อยคนรู้ว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เคยมีการสกัดแร่หายากจากโมนาไซต์ในประเทศไทยที่จังหวัดปทุมธานี และปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวกลายเป็น “เขตสังเวยกากกัมมันตรังสี“ จากกระบวนการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554
***ศูนย์วิจัยและพัฒนาแร่หายาก (RE R&D Center) ตั้งอยู่ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ศูนย์แห่งนี้เคยดำเนินการโดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (OAP) ระหว่างปี พ.ศ. 2538 – 2548 เพื่อดำเนินการสกัดธาตุแร่หายากจากทรายโมนาไซต์รวมถึงกิจกรรมการสกัดยูเรเนียม (U) และทอเรียม (Th) ต่อมาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 หลังจากการปรับโครงสร้างองค์กร ศูนย์ดังกล่าวได้ถูกโอนย้ายมาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (TINT)
***อย่างไรก็ตาม กระบวนการแปรรูปแร่หายากและโมนาไซต์ รวมถึงโรงสกัดยูเรเนียมและทอเรียมหยุดดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ประเทศไทยประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ โรงงานนำร่องและบริเวณโดยรอบถูกน้ำท่วม ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนของวัสดุกัมมันตรังสีธรรมชาติ (Naturally Occurring Radioactive Material – NORM)
วัสดุกัมมันตรังสีธรรมชาติ (Naturally Occurring Radioactive Material – NORM) คืออะไร?
***NORM ย่อมาจาก “Naturally Occurring Radioactive Material” หรือ “วัสดุกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ” กล่าวคือ เป็นสารที่มีไอโซโทปกัมมันตรังสี (radionuclides) อยู่โดยธรรมชาติ
***ของเสียประเภท NORM มักเกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรม การทำเหมือง หรือการผลิตที่มีการใช้วัสดุซึ่งมี NORM อยู่แล้ว
***ในกรณีนี้ ของเสีย NORM เกิดจากกระบวนการแปรรูปโมนาไซต์ (monazite processing) และการสกัดยูเรเนียม–ทอเรียม (U-Th extraction) ในโครงการนำร่องของศูนย์วิจัยและพัฒนาแร่หายาก (Rare-Earth Research and Development Center) สังกัดสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (TINT) ประเทศไทย
***ในประเทศไทย แร่โมนาไซต์ (Ce, La, Nd, Y, Th) พบในแหล่งทรายแร่หนัก (heavy-mineral sand deposits) และแหล่งสายแร่ในแร่ดีบุกเกรดต่ำทางภาคใต้ของประเทศโดยมีปริมาณแร่ธาตุหายากรวมประมาณ 60.20 % REO
***แร่หายากเข้มข้น (rare earth concentrates) จะถูกนำไปผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อสกัดสารประกอบแร่หายากชนิดผสมออกมา ในกรณีทั่วไป การแปรรูปทางเคมีของแร่จากหินแข็งเริ่มจากการเผา (calcining) เพื่อขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และทำให้ซีเรียม (cerium) ถูกออกซิไดซ์ไปอยู่ในสถานะวาเลนซ์ จากนั้นจะผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การบด การชะด้วยด่าง (caustic leach) แล้วตามด้วยการชะด้วยกรดไฮโดรคลอริก (hydrochloric acid) เพื่อทำให้แร่หายากชนิดที่ไม่ใช่ซีเรียมละลายออกไปได้เป็น สารเข้มข้นซีเรียม(cerium concentrate) ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าต่ำได้โดยตรง หรือแยกต่อให้ได้ธาตุหายากบริสุทธิ์แต่ละชนิด
ศูนย์วิจัยและพัฒนาแร่หายาก
***พื้นที่ศูนย์ประกอบด้วยอาคารประมาณ 18 หลัง สำหรับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาคารหมายเลข 8 (B8) เป็นอาคารหลักสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับรังสีประกอบด้วยโรงแปรรูปโมนาไซต์และโรงสกัดยูเรเนียม–ทอเรียม อาคารหมายเลข 9 (B9) เป็นโรงแปรรูปแร่หายากสำหรับสกัดธาตุแร่หายาก อาคารหมายเลข 14(B14) เป็นสถานที่เก็บกักยูเรเนียมและทอเรียมในรูป “เค้ก” (uranium/thorium cake) อาคารหมายเลข 18(B18) ใช้เก็บทรายโมนาไซต์ซึ่งมีปริมาณจำนวนมาก
***จนถึงช่วงที่มีการทำการศึกษาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางรังสี เพื่อรองรับการจัดการของเสียที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปแร่ ซึ่งมีวัสดุกัมมันตรังสีธรรมชาติหรือ NORM (Naturally Occurring Radioactive Material) รวมถึงการ ติดตามตรวจสอบการปนเปื้อน (Contamination Monitoring) ในพื้นที่ที่เคยใช้ดำเนินการสกัดและแปรรูปแร่หายากในปี พ.ศ.2559 หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ.2554 อาคารเหล่านี้ยังคงมีเครื่องมือและวัสดุเดิมอยู่ แต่มาตรการความปลอดภัยยังไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ของเสียยังไม่ได้ถูกจำแนกประเภทอย่างเป็นทางการ โดยภายในอาคารมีการปะปนกันของเครื่องมือ สารเคมี ตะกอน NORM และของเสียอื่นๆ รวมถึงมูลนกที่สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก
***การศึกษาครั้งนี้ยังได้ทำการเก็บข้อมูล ความเข้มข้นของเรดอน (Radon Activity Concentration) ภายในอาคารแต่ละหลัง
ข้อค้นพบหลักจากการศึกษาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางรังสีเพื่อรองรับการจัดการของเสียที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปแร่ซึ่งมีวัสดุกัมมันตรังสีธรรมชาติหรือ NORM (Naturally Occurring Radioactive Material) รวมถึงการติดตามตรวจสอบการปนเปื้อน (Contamination Monitoring)
***ผลการตรวจวัดที่ผนังของอาคารหมายเลข 18 พบว่า ค่าอัตราปริมาณรังสีสูงสุด (maximum dose rate) บริเวณผนังอยู่ที่ 62.2 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง (µSv/hr) ค่าเฉลี่ยของอัตราปริมาณรังสีรอบผนังอยู่ระหว่าง 30–60 µSv/hr ซึ่งสูงกว่า ระดับพื้นหลัง (1 µSv/hr) ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาแร่หายาก (RE R&D Center) ถึง ประมาณ 30–60 เท่า (อาคารหมายเลข 18 เต็มไปด้วยทรายโมนาไซต์ (monazite sand) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกัมมันตรังสีสูง) เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี (Radiation Safety Officer) ไม่อนุญาตให้ทีมสำรวจศึกษาเข้าไปภายในอาคารเนื่องจากมีความเสี่ยงจากก๊าซเรดอน (radon gas) ที่อาจสะสมอยู่ในพื้นที่ซึ่งถูกปิดไว้นานเป็นเวลาหลายปี
***ผลการตรวจวัดอัตราปริมาณรังสีภายใน อาคารหมายเลข 9 ซึ่งเคยใช้เป็นโรงงานแปรรูปแร่หายาก พบว่าค่าอัตราปริมาณรังสี (dose rate) โดยรวมอยู่ในระดับพื้นหลังปกติ (background level) ประมาณ 1 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง (µSv/hr) ไม่พบการปนเปื้อนของรังสี (no contamination) ภายในพื้นที่ดังกล่าว
***อาคารหมายเลข 8 ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนการสกัดยูเรเนียมและทอเรียม (Uranium and Thorium Processing Section) ส่วนการแปรรูปโมนาไซต์ (Monazite Processing Section) ได้ใช้วิธีการแบ่งตาราง (Grid Method) เพื่อประเมินค่าอัตราปริมาณรังสี (dose rate) และระดับการปนเปื้อน (contamination level) รวมถึงปริมาตรวัสดุ(ในถังขนาด 80 ลิตร) ผลการสำรวจพบว่าใน อาคารหมายเลข 8 มีพื้นที่กว้างที่เกิดการปนเปื้อนของรังสีในระดับสูงโดยเฉพาะในส่วนการสกัดยูเรเนียมและทอเรียม ซึ่งเป็นจุดที่ให้ค่ารังสีสูงที่สุดในอาคาร นอกจากนี้ ยังพบว่าภายในส่วนสกัดยูเรเนียมและทอเรียม (U/Th processing section) มีภาชนะบรรจุของเสียประมาณ 185 ถัง ซึ่งภายในประกอบด้วยตะกอน NORM และตัวทำละลายเคมี (chemical solvents) ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อความปลอดภัยทางรังสี
***ในการติดตามตรวจสอบตัวอย่างสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ (Monitoring Environmental Sample Onsite) ทีมสำรวจศึกษาได้วิเคราะห์ค่ากัมมันตภาพรังสีรวมของรังสีแอลฟาและเบตา (Gross Alpha – Gross Beta) ในน้ำที่เก็บจากบ่อต่าง ๆ ภายในพื้นที่ จากผลการวิเคราะห์ พบว่าค่ารังสีแอลฟารวมของตัวอย่างน้ำทั้งหมด ต่ำกว่าค่าขีดจำกัดการตรวจวัด (DL) ส่วนค่ารังสีเบตารวมมีค่าระหว่าง 0.426 – 0.922 Bq/L ซึ่ง สูงกว่าค่าพื้นฐานของน้ำผิวดินก่อนเริ่มดำเนินการในปี 1991 (0.274 Bq/L) ผลการวิเคราะห์ยังแสดงให้เห็นว่าค่าความเข้มข้นของ Ra-226, Th-232 และ K-40 ในน้ำจากบ่อต่าง ๆ มีค่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าพื้นฐานในปี พ.ศ.2534 ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการสะสมของวัสดุกัมมันตรังสีธรรมชาติ (NORM) จากกิจกรรมในพื้นที่
***ผลการวิเคราะห์ยังพบว่า ของเสียเหลวส่วนใหญ่มีค่ากัมมันตภาพรังสีของ Ra-226, Th-232 และ K-40 อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจเกิดจากสารละลายที่ปนเปื้อนจากกระบวนการแปรรูปแร่โมนาไซต์ ความแตกต่างขององค์ประกอบของธาตุเหล่านี้ในของเสียแต่ละตัวอย่างขึ้นอยู่กับ ลักษณะของกระบวนการสกัดยูเรเนียม–ทอเรียมจากทรายโมนาไซต์
***จนถึงปัจจุบัน(พ.ศ.2568) จากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คาดว่ายังมีกากของเสียกัมมันตรังสีจำนวนมากบรรจุอยู่ในถังภายในพื้นที่ศูนย์ นำไปสู่คำถามเรื่องการให้ความสำคัญต่อการจัดการและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางรังสีสำหรับการจัดการของเสียเหล่านี้ ของเสียกัมมันตรังสีทั้งแบบของแข็งและของเหลวยังคงรอการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักมาตรฐาน