
นางแอน-มารี ลิม ภรรยาชาวฝรั่งเศสของลิม กิมยา ที่เดินทางเข้าร่วมการสืบพยานในครั้งนี้ด้วย
ศาลอาญาสืบพยานโจทก์คดี ลิม กิมยา เสร็จสิ้นแล้ว นัดอ่านคำพิพากษา 3 ต.ค. นี้
วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว
ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดีการลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีตนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในวันที่ 3 ต.ค. นี้ เวลา 9.00 น. หลังจากการสืบพยานโจทก์ พยานโจทก์ร่วม และจำเลยแล้วเสร็จสิ้นในวันนี้ (1 ต.ค.)
นางณัฐาศิริ เบิร์กแมน ทนายฝ่ายโจทก์เปิดเผยบีบีซีไทย ถึงกำหนดการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานระหว่างวันที่ 30 ก.ย. - 1 ต.ค. โดยในวันแรกประกอบด้วย พยานฝ่ายโจทก์ 2 ปาก ส่วนในวันที่สองประกอบด้วยพยานฝ่ายโจทก์อีก 4 ปาก และนางแอน-มารี ลิม ในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ร่วม และยังมีการเบิกตัวจำเลยในคดีอีก 1 คน อีกด้วย ส่วนนายเอกลักษณ์ แพรน้อย อดีตทหารเรือ หรือ "จ่าเอ็ม" ได้ให้การรับสารภาพไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ได้รับการจ้างวานเพื่อสังหารนายลิม กิมยา
"เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่จำเลยสารภาพ พยานหลักฐานที่นำมาสืบเป็นไปเพื่อยืนยันตัวตนจำเลย ยืนยันสถานที่เกิดเหตุ จะไม่ได้ลงลึกไปถึงแรงจูงใจ ใครเกี่ยวข้อง คนที่อยู่ต่างประเทศพูดถึงไม่ได้เลย" เธออธิบายหลังจากการสืบพยานเสร็จสิ้น
ส่วนผู้ต้องหาอีกสองรายที่เป็นชาวกัมพูชาซึ่งเชื่อว่า ในขณะนี้ยังพำนักอยู่ในกัมพูชา ทนายความฝ่ายโจทก์บอกว่า ครอบครัวของนายลิม กิมยา มีความประสงค์ดำเนินการอย่างถึงที่สุดเพื่อให้มีช่องทางในการส่งคำร้องเพื่อประสานให้มีการจับกุมและส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
นางณัฐาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า "น่าเสียดายที่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้มองอะไรที่นอกเหนือหรือเกินเลยไปจากสำนวนคดีนี้ ทำให้เราไม่ได้เห็นถึงความเกี่ยวข้องหรือพยานหลักฐานอื่นที่จะเอาความผิดจากคนที่เป็นจ้างวานหรือคนชี้เป้าได้จริง ๆ"
"ครอบครัวเขาก็ติดใจ อยากรู้ว่า ทำไม ใครใช้ ยังไงเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบช่องทางทั้งหมด" เธอให้สัมภาษณ์ที่ศาลอาญา
ด้านนางแอน-มารี ลิม ภรรยาชาวฝรั่งเศสของนายลิม กิมยา ที่เดินทางเข้าร่วมการสืบพยานในครั้งนี้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีในวันที่ 30 ก.ย. ว่า "ฉันต้องการทราบเหตุผลของอาชญากรรมนี้ และใครคือคนสั่งการ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการทราบมากที่สุด"
เธอกล่าวว่า สามีของเธอคิดเพียงแต่จะทำความดีและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชาวกัมพูชา "นั่นคือสาเหตุที่เขาอยู่ฝ่ายค้าน"
ย้อนที่มาของคดี
ศาลอาญาสืบพยานโจทก์คดี ลิม กิมยา เสร็จสิ้นแล้ว นัดอ่านคำพิพากษา 3 ต.ค. นี้
วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว
ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดีการลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีตนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในวันที่ 3 ต.ค. นี้ เวลา 9.00 น. หลังจากการสืบพยานโจทก์ พยานโจทก์ร่วม และจำเลยแล้วเสร็จสิ้นในวันนี้ (1 ต.ค.)
นางณัฐาศิริ เบิร์กแมน ทนายฝ่ายโจทก์เปิดเผยบีบีซีไทย ถึงกำหนดการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานระหว่างวันที่ 30 ก.ย. - 1 ต.ค. โดยในวันแรกประกอบด้วย พยานฝ่ายโจทก์ 2 ปาก ส่วนในวันที่สองประกอบด้วยพยานฝ่ายโจทก์อีก 4 ปาก และนางแอน-มารี ลิม ในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ร่วม และยังมีการเบิกตัวจำเลยในคดีอีก 1 คน อีกด้วย ส่วนนายเอกลักษณ์ แพรน้อย อดีตทหารเรือ หรือ "จ่าเอ็ม" ได้ให้การรับสารภาพไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ได้รับการจ้างวานเพื่อสังหารนายลิม กิมยา
"เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่จำเลยสารภาพ พยานหลักฐานที่นำมาสืบเป็นไปเพื่อยืนยันตัวตนจำเลย ยืนยันสถานที่เกิดเหตุ จะไม่ได้ลงลึกไปถึงแรงจูงใจ ใครเกี่ยวข้อง คนที่อยู่ต่างประเทศพูดถึงไม่ได้เลย" เธออธิบายหลังจากการสืบพยานเสร็จสิ้น
ส่วนผู้ต้องหาอีกสองรายที่เป็นชาวกัมพูชาซึ่งเชื่อว่า ในขณะนี้ยังพำนักอยู่ในกัมพูชา ทนายความฝ่ายโจทก์บอกว่า ครอบครัวของนายลิม กิมยา มีความประสงค์ดำเนินการอย่างถึงที่สุดเพื่อให้มีช่องทางในการส่งคำร้องเพื่อประสานให้มีการจับกุมและส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
นางณัฐาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า "น่าเสียดายที่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้มองอะไรที่นอกเหนือหรือเกินเลยไปจากสำนวนคดีนี้ ทำให้เราไม่ได้เห็นถึงความเกี่ยวข้องหรือพยานหลักฐานอื่นที่จะเอาความผิดจากคนที่เป็นจ้างวานหรือคนชี้เป้าได้จริง ๆ"
"ครอบครัวเขาก็ติดใจ อยากรู้ว่า ทำไม ใครใช้ ยังไงเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบช่องทางทั้งหมด" เธอให้สัมภาษณ์ที่ศาลอาญา
ด้านนางแอน-มารี ลิม ภรรยาชาวฝรั่งเศสของนายลิม กิมยา ที่เดินทางเข้าร่วมการสืบพยานในครั้งนี้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีในวันที่ 30 ก.ย. ว่า "ฉันต้องการทราบเหตุผลของอาชญากรรมนี้ และใครคือคนสั่งการ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการทราบมากที่สุด"
เธอกล่าวว่า สามีของเธอคิดเพียงแต่จะทำความดีและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชาวกัมพูชา "นั่นคือสาเหตุที่เขาอยู่ฝ่ายค้าน"
ย้อนที่มาของคดี
จุดเกิดเหตุลอบสังหารนายลิม กิมยา
พ.ต.ท.พัชรภณ สุขประดิษฐ์ สว.สอบสวน สน.ชนะสงคราม ที่แจ้งให้สื่อมวลชนในวันที่ 7 ม.ค. ปีนี้ ว่า ในวันนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. นายลิม กิมยา อายุ 74 ปี ชาวกัมพูชา สัญชาติฝรั่งเศส สวมเสื้อโปโลสีดำ กางเกงขาสั้นครีม ถูกยิงด้วยอาวุธปืนบาดเจ็บสาหัส กระสุนเข้าที่ชายโครงขวาและหัวไหล่ขวาอย่างละนัด แม้ว่าจะมีหน่วยกู้ชีพปฐมพยาบาลปั๊มหัวใจ แต่ผู้บาดเจ็บอาการสาหัสเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เบื้องต้นคนร้ายเป็นชายขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ 100 สีแดง ทะเบียน 845 คนร้ายสวมเสื้อสีเทาแขนสั้น สะพายกระเป๋าคาดหน้าอก กางเกงยีนส์ สวมหมวกกันน็อก คาดว่าซุกซ่อนอาวุธปืนไว้ในกระเป๋า
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุเบื้องต้นว่า ผู้เสียชีวิตเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางมาจากเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัสมาพร้อมกับภรรยาชาวฝรั่งเศส และลุงชาวกัมพูชา ได้มาลงตรงบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์ จอดรถแล้วก็ลงมายิงผู้ตาย ก่อนจะขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี เส้นทางใช้ถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรฯ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำภรรยาของเขาเพื่อหาสาเหตุปมสังหารนักเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้
ต่อมาในวันที่ 8 ม.ค. พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้ออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุยิง นายลิม กิมยา โดยผู้ก่อเหตุที่ถูกออกหมายจับ ชื่อ นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ "จ่าเอ็ม" อายุ 41 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร ในข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ประวัติของ นายเอกลักษณ์ เคยรับราชการเป็นทหารเรือ สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน มีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน นอกจากนี้ยังเป็นนักกีฬาสนุกเกอร์ ฉายา "เอ็ม กองเรือ" มีผลงานเคยเข้าร่วมการแข่งขันสนุกเกอร์อาชีพเก็บสะสมคะแนน ดิวิชั่น 2 จำนวน 4 รายการ
พ.ต.ท.พัชรภณ สุขประดิษฐ์ สว.สอบสวน สน.ชนะสงคราม ที่แจ้งให้สื่อมวลชนในวันที่ 7 ม.ค. ปีนี้ ว่า ในวันนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. นายลิม กิมยา อายุ 74 ปี ชาวกัมพูชา สัญชาติฝรั่งเศส สวมเสื้อโปโลสีดำ กางเกงขาสั้นครีม ถูกยิงด้วยอาวุธปืนบาดเจ็บสาหัส กระสุนเข้าที่ชายโครงขวาและหัวไหล่ขวาอย่างละนัด แม้ว่าจะมีหน่วยกู้ชีพปฐมพยาบาลปั๊มหัวใจ แต่ผู้บาดเจ็บอาการสาหัสเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เบื้องต้นคนร้ายเป็นชายขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ 100 สีแดง ทะเบียน 845 คนร้ายสวมเสื้อสีเทาแขนสั้น สะพายกระเป๋าคาดหน้าอก กางเกงยีนส์ สวมหมวกกันน็อก คาดว่าซุกซ่อนอาวุธปืนไว้ในกระเป๋า
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุเบื้องต้นว่า ผู้เสียชีวิตเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางมาจากเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัสมาพร้อมกับภรรยาชาวฝรั่งเศส และลุงชาวกัมพูชา ได้มาลงตรงบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์ จอดรถแล้วก็ลงมายิงผู้ตาย ก่อนจะขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี เส้นทางใช้ถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรฯ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำภรรยาของเขาเพื่อหาสาเหตุปมสังหารนักเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้
ต่อมาในวันที่ 8 ม.ค. พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้ออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุยิง นายลิม กิมยา โดยผู้ก่อเหตุที่ถูกออกหมายจับ ชื่อ นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ "จ่าเอ็ม" อายุ 41 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร ในข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ประวัติของ นายเอกลักษณ์ เคยรับราชการเป็นทหารเรือ สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน มีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน นอกจากนี้ยังเป็นนักกีฬาสนุกเกอร์ ฉายา "เอ็ม กองเรือ" มีผลงานเคยเข้าร่วมการแข่งขันสนุกเกอร์อาชีพเก็บสะสมคะแนน ดิวิชั่น 2 จำนวน 4 รายการ
นายเอกลักษณ์ แพรน้อยให้การรับสารภาพว่าได้รับการจ้างวานเพื่อสังหารนายลิม กิมยา
ต่อมาโซเชียลมีเดียของกองบังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. ที่ใช้ชื่อว่า "สืบนครบาล IDMB" เปิดเผยถึงปฏิบัติการล่าตัวผู้ก่อเหตุว่า ตำรวจชุดสืบสวนของนครบาลได้ไล่ล่าผู้ต้องสงสัยไปถึงบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา (เขาดิน-สำเภารูน) เขตรอยต่อ อ.คลองหาด จ.สระแก้ว และพื้นที่ จ.พระตะบองของกัมพูชา เมื่อเวลาประมาณ เที่ยงคืนของวันที่ 8 ม.ค. แต่ชุดสืบสวนคลาดกับคนร้ายโดยสามารถหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติไปได้อย่างฉิวเฉียด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดทางประสานงานกับ ผกก.สถานีตำรวจ สำเภารูน ประเทศกัมพูชา ก่อนส่งชุดสืบนครบาลข้ามแดนไปร่วมไล่ล่าติดตามผู้ก่อเหตุ
สืบนครบาล ระบุต่อไปว่า ได้สืบทราบว่า ผู้ต้องสงสัย(ในขณะนั้น)ได้แลกเงินจำนวน 4,000 บาท ที่ร้านรับแลกเงินริมชายแดน จากนั้นได้เดินทางขึ้นรถโดยสารเพื่อเข้าไปใจกลางประเทศกัมพูชา แต่เจ้าหน้าที่สืบทราบก่อนจึงไล่ล่าติดตามไปจนกระทั่งจับได้ขณะที่ผู้ก่อเหตุแวะพักรับประทานอาหารใน ต.ปเรยสวย อ.โมงรึไทร จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2568 เวลา 16.30 น.
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา และชุดสืบนครบาล ได้นำตัวผู้ต้องหาไปที่ กองบังคับการจังหวัดพระตะบอง ก่อนจะส่งตัวไปที่ กองบัญชาการความมั่นคงภายในที่กรุงพนมเปญ เพื่อซักถามเพิ่มเติม และต่อมาถูกส่งตัวกลับไทยแล้วในวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ม.ค. สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่า หลังจากการสืบสวนสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้พบว่า นายเอกลักษณ์ได้ระบุถึง ผู้มีพระคุณที่จ้างวานให้นายเอกลักษณ์ก่อเหตุยิง นายลิม กิมยา เสียชีวิต ซึ่งบุคคลนั้นคือ นายลี รัตนรัศมี หรือชื่อไทย นายสมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วจึงขออำนาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับ นายสมหวัง ใน 3 ข้อหา เป็นผู้ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
ในคดีนี้ยังมีผู้ต้องหาชาวกัมพูชาตามหมายจับอีก
ผู้ต้องหารายหนึ่งคือ นายพิช กิมสริน ชาวกัมพูชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็นผู้ชี้เป้า เขาถูกพบในกล้องวงจรปิดว่าโดยสารเข้าประเทศไทยสู่ที่เกิดเหตุด้วยรถโดยสารคันเดียวกับนายลิม กิมยา ก่อนลงจากรถในเวลาใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุและเดินทางกลับกัมพูชาในวันเดียวกัน
ส่วนผู้ต้องหาชาวกัมพูชาอีกรายหนึ่ง เจ้าหน้าที่ระบุตัวผู้จ้างวานเป็นชาวกัมพูชาชื่อนายลี รัตนรัศมี ซึ่งในระหว่างการสืบพยานในคดี พยานฝ่ายโจทก์ระบุว่า พบเส้นทางการเงินของเขาเชื่อมโยงกับนายเอกลักษณ์ โดยพบการโอนเงิน 60,000 บาทและพบการโอนเงิน 22,000 บาท ซึ่งพยานระบุว่าเป็นเป็นค่าไถ่ปืน
จากการแถลงข่าวของ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2568 ระบุว่า ชายชาวกัมพูชารายนี้เข้าออกประเทศไทยกว่า 100 ครั้ง ในระยะเวลาสองปี ก่อนเกิดเหตุได้เข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค อยู่ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และเดินทางออกนอกประเทศไปในเช้าวันที่ 8 ม.ค. หลังเกิดเหตุหนึ่งวัน ตามช่องทางปกติ
พล.ต.ต.อัฏธพร ยังระบุว่า นายเอกลักษณ์ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมว่า นายลีมีความโกรธแค้นส่วนตัวกับผู้เสียชีวิตจึงขอให้ตนดำเนินการ พร้อมยืนยันว่า เขาในฐานะมือปืนไม่ทราบภูมิหลังของผู้เสียชีวิตโดยรู้เพียงลักษณะภายนอกจากคนชี้เป้าเท่านั้น
ในการแถลงข่าวครั้งนั้นยังระบุว่าจะมีการประสานไปยังองค์การตำรวจสากล (Interpol) เพื่อยื่นขอหมายแดง (Red Notice) ต่อไป
ลิม กิมยา คือใคร
ต่อมาโซเชียลมีเดียของกองบังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. ที่ใช้ชื่อว่า "สืบนครบาล IDMB" เปิดเผยถึงปฏิบัติการล่าตัวผู้ก่อเหตุว่า ตำรวจชุดสืบสวนของนครบาลได้ไล่ล่าผู้ต้องสงสัยไปถึงบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา (เขาดิน-สำเภารูน) เขตรอยต่อ อ.คลองหาด จ.สระแก้ว และพื้นที่ จ.พระตะบองของกัมพูชา เมื่อเวลาประมาณ เที่ยงคืนของวันที่ 8 ม.ค. แต่ชุดสืบสวนคลาดกับคนร้ายโดยสามารถหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติไปได้อย่างฉิวเฉียด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดทางประสานงานกับ ผกก.สถานีตำรวจ สำเภารูน ประเทศกัมพูชา ก่อนส่งชุดสืบนครบาลข้ามแดนไปร่วมไล่ล่าติดตามผู้ก่อเหตุ
สืบนครบาล ระบุต่อไปว่า ได้สืบทราบว่า ผู้ต้องสงสัย(ในขณะนั้น)ได้แลกเงินจำนวน 4,000 บาท ที่ร้านรับแลกเงินริมชายแดน จากนั้นได้เดินทางขึ้นรถโดยสารเพื่อเข้าไปใจกลางประเทศกัมพูชา แต่เจ้าหน้าที่สืบทราบก่อนจึงไล่ล่าติดตามไปจนกระทั่งจับได้ขณะที่ผู้ก่อเหตุแวะพักรับประทานอาหารใน ต.ปเรยสวย อ.โมงรึไทร จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2568 เวลา 16.30 น.
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา และชุดสืบนครบาล ได้นำตัวผู้ต้องหาไปที่ กองบังคับการจังหวัดพระตะบอง ก่อนจะส่งตัวไปที่ กองบัญชาการความมั่นคงภายในที่กรุงพนมเปญ เพื่อซักถามเพิ่มเติม และต่อมาถูกส่งตัวกลับไทยแล้วในวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ม.ค. สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่า หลังจากการสืบสวนสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้พบว่า นายเอกลักษณ์ได้ระบุถึง ผู้มีพระคุณที่จ้างวานให้นายเอกลักษณ์ก่อเหตุยิง นายลิม กิมยา เสียชีวิต ซึ่งบุคคลนั้นคือ นายลี รัตนรัศมี หรือชื่อไทย นายสมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วจึงขออำนาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับ นายสมหวัง ใน 3 ข้อหา เป็นผู้ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
ในคดีนี้ยังมีผู้ต้องหาชาวกัมพูชาตามหมายจับอีก
ผู้ต้องหารายหนึ่งคือ นายพิช กิมสริน ชาวกัมพูชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็นผู้ชี้เป้า เขาถูกพบในกล้องวงจรปิดว่าโดยสารเข้าประเทศไทยสู่ที่เกิดเหตุด้วยรถโดยสารคันเดียวกับนายลิม กิมยา ก่อนลงจากรถในเวลาใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุและเดินทางกลับกัมพูชาในวันเดียวกัน
ส่วนผู้ต้องหาชาวกัมพูชาอีกรายหนึ่ง เจ้าหน้าที่ระบุตัวผู้จ้างวานเป็นชาวกัมพูชาชื่อนายลี รัตนรัศมี ซึ่งในระหว่างการสืบพยานในคดี พยานฝ่ายโจทก์ระบุว่า พบเส้นทางการเงินของเขาเชื่อมโยงกับนายเอกลักษณ์ โดยพบการโอนเงิน 60,000 บาทและพบการโอนเงิน 22,000 บาท ซึ่งพยานระบุว่าเป็นเป็นค่าไถ่ปืน
จากการแถลงข่าวของ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2568 ระบุว่า ชายชาวกัมพูชารายนี้เข้าออกประเทศไทยกว่า 100 ครั้ง ในระยะเวลาสองปี ก่อนเกิดเหตุได้เข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค อยู่ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และเดินทางออกนอกประเทศไปในเช้าวันที่ 8 ม.ค. หลังเกิดเหตุหนึ่งวัน ตามช่องทางปกติ
พล.ต.ต.อัฏธพร ยังระบุว่า นายเอกลักษณ์ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมว่า นายลีมีความโกรธแค้นส่วนตัวกับผู้เสียชีวิตจึงขอให้ตนดำเนินการ พร้อมยืนยันว่า เขาในฐานะมือปืนไม่ทราบภูมิหลังของผู้เสียชีวิตโดยรู้เพียงลักษณะภายนอกจากคนชี้เป้าเท่านั้น
ในการแถลงข่าวครั้งนั้นยังระบุว่าจะมีการประสานไปยังองค์การตำรวจสากล (Interpol) เพื่อยื่นขอหมายแดง (Red Notice) ต่อไป
ลิม กิมยา คือใคร

หลังเกิดเหตุการลอบสังหารดังกล่าว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเกี่ยวกับนายลิม กิมยา ว่า เขาเป็นสมาชิกของพรรคซีเอ็นอาร์พี ซึ่งถือเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เคยได้รับความนิยมในอดีต แต่กลับถูกศาลในกัมพูชาสั่งยุบพรรคในปี 2560 ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปีถัดมา ด้วยข้อหาสมคบกับสหรัฐฯ เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งในขณะนั้นพรรคซีเอ็นอาร์พีกล่าวว่า ข้อหาดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายโดยพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุน เซน
ตลอดระยะเวลากว่าสี่ทศวรรษที่กัมพูชาถูกปกครองโดยพรรคประชาชนกัมพูชา ได้มีการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างต่อเนื่องและรุนแรง มีนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนมากต้องถูกจำคุก มีจำนวนมากที่สูญหาย และหลายร้อบคนต้องลี้ภัยในต่างประเทศ แต่รัฐบาลออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยข่มเหงฝ่ายค้านแต่อย่างใด

นายลิม กิมยา เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกำปงธมของพรรคซีเอ็นอาร์พี
สำนักข่าวรอยเตอร์ในขณะนั้นยังรายงานด้วยว่า นายลิม กิมยา ไม่ได้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาที่โดดเด่นนัก
แต่ก่อนหน้านี้ เขาเคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศหลายครั้ง อย่างเมื่อเดือน พ.ย. 2560 เขาเคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพีว่า เขาจะ "ไม่มีทางเลิกเล่นการเมือง" และยังคงมีแผนจะอยู่ในกัมพูชาต่อไป แม้ว่าในขณะนั้นจะมีคำสั่งศาลฎีกาสั่งยุบพรรคซีเอ็นอาร์พีก็ตาม
https://www.bbc.com/thai/articles/czdj2v50688o