
หนุ่มสาวชาวเนปาลหลายพันคน เข้าร่วมการประท้วงเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันที่กรุงกาฐมาณฑุ เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา
การลุกฮือของผู้ประท้วงรุ่น "เจนซี" ทั่วเอเชีย ชี้ว่าสื่อโซเชียลเป็นดาบสองคมจริงหรือไม่ ?
เทสซา หว่อง
ผู้สื่อข่าวดิจิทัลภูมิภาคเอเชีย
บีบีซี
26 กันยายน 2025
พิธีสมรสที่หรูหราอลังการของลูกสาวนักการเมือง คือสิ่งแรกที่จุดชนวนความโกรธเคืองขึ้นในใจของ "อาทิตยา" หนุ่มนักเคลื่อนไหวรณรงค์ชาวเนปาลวัย 23 ปี หลังจากได้เห็นข่าวนี้ทางสื่อสังคมออนไลน์เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา โดยข่าวรายงานว่าพิธีสมรสของชนชั้นสูงดังกล่าว ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนักในเมืองภักตาปูร์ (Bhaktapur) ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงกาฐมาณฑุที่เป็นเมืองหลวง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจมากที่สุดคือกระแสข่าวเล่าลือที่ว่า มีการปิดกั้นถนนสายหลักนานหลายชั่วโมง เพื่อให้ขบวนรถของบรรดาแขกคนสำคัญระดับวีไอพีผ่านไปก่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายกรัฐมนตรีของเนปาลรวมอยู่ด้วย
แม้จะไม่มีการพิสูจน์ยืนยันว่าข่าวเล่าลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ และนักการเมืองคนที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็ได้ออกมาแถลงปฏิเสธข่าวดังกล่าวแล้ว แต่อาทิตยาได้ตัดสินใจตามวิจารณญาณของตนเองว่า เรื่องนี้มีมูลความจริง และ "ไม่อาจยอมรับได้อย่างเด็ดขาด"
ในช่วงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น อาทิตยายังได้เห็นโพสต์ข้อความและรูปภาพจำนวนมากในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นของบรรดานักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลและลูกหลานของพวกเขา โดยคนเหล่านี้พากันอวดภาพถ่ายของคฤหาสน์ที่โอ่อ่า, รถยนต์ซูเปอร์คาร์, กระเป๋าถือแบรนด์เนม, และวันหยุดพักผ่อนที่สุดแสนจะหรูหราไม่ธรรมดา
มีภาพถ่ายหนึ่งของซอกัต ธาปา ลูกชายของผู้ว่าการเขตปกครองระดับจังหวัด ถูกเผยแพร่ต่อกันไปในวงกว้างจนกลายเป็นกระแสฮือฮาหรือ "ไวรัล" เพราะเป็นภาพที่เขายืนอยู่ข้างกล่องของขวัญจำนวนมากที่เรียงสูงเป็นกองพะเนิน และมีการตกแต่งประดับประดาด้วยไฟ, ลูกบอล, และหมวกซานตาคลอส จนดูเหมือนกับต้นคริสต์มาส ภายในกล่องของขวัญล้วนเป็นสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง อย่างเช่นกุชชี, คาร์เทียร์, หลุยส์ วิตตอง, และคริสเตียน ลูบูแตง
26 กันยายน 2025
พิธีสมรสที่หรูหราอลังการของลูกสาวนักการเมือง คือสิ่งแรกที่จุดชนวนความโกรธเคืองขึ้นในใจของ "อาทิตยา" หนุ่มนักเคลื่อนไหวรณรงค์ชาวเนปาลวัย 23 ปี หลังจากได้เห็นข่าวนี้ทางสื่อสังคมออนไลน์เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา โดยข่าวรายงานว่าพิธีสมรสของชนชั้นสูงดังกล่าว ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนักในเมืองภักตาปูร์ (Bhaktapur) ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงกาฐมาณฑุที่เป็นเมืองหลวง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจมากที่สุดคือกระแสข่าวเล่าลือที่ว่า มีการปิดกั้นถนนสายหลักนานหลายชั่วโมง เพื่อให้ขบวนรถของบรรดาแขกคนสำคัญระดับวีไอพีผ่านไปก่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายกรัฐมนตรีของเนปาลรวมอยู่ด้วย
แม้จะไม่มีการพิสูจน์ยืนยันว่าข่าวเล่าลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ และนักการเมืองคนที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็ได้ออกมาแถลงปฏิเสธข่าวดังกล่าวแล้ว แต่อาทิตยาได้ตัดสินใจตามวิจารณญาณของตนเองว่า เรื่องนี้มีมูลความจริง และ "ไม่อาจยอมรับได้อย่างเด็ดขาด"
ในช่วงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น อาทิตยายังได้เห็นโพสต์ข้อความและรูปภาพจำนวนมากในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นของบรรดานักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลและลูกหลานของพวกเขา โดยคนเหล่านี้พากันอวดภาพถ่ายของคฤหาสน์ที่โอ่อ่า, รถยนต์ซูเปอร์คาร์, กระเป๋าถือแบรนด์เนม, และวันหยุดพักผ่อนที่สุดแสนจะหรูหราไม่ธรรมดา
มีภาพถ่ายหนึ่งของซอกัต ธาปา ลูกชายของผู้ว่าการเขตปกครองระดับจังหวัด ถูกเผยแพร่ต่อกันไปในวงกว้างจนกลายเป็นกระแสฮือฮาหรือ "ไวรัล" เพราะเป็นภาพที่เขายืนอยู่ข้างกล่องของขวัญจำนวนมากที่เรียงสูงเป็นกองพะเนิน และมีการตกแต่งประดับประดาด้วยไฟ, ลูกบอล, และหมวกซานตาคลอส จนดูเหมือนกับต้นคริสต์มาส ภายในกล่องของขวัญล้วนเป็นสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง อย่างเช่นกุชชี, คาร์เทียร์, หลุยส์ วิตตอง, และคริสเตียน ลูบูแตง

หนุ่มสาวชาวเนปาลที่ไม่พอใจกับความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม ต่างเรียกบรรดาลูกหลานของนักการเมืองว่า "เด็กเส้น"
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา อาทิตยาและเพื่อน ๆ ซึ่งรู้สึกโกรธแค้นต่อสิ่งที่ได้รับรู้มาทางสื่อสังคมออนไลน์ ต่างเข้าร่วมการชุมนุมและเดินขบวนประท้วงไปตามถนนสายต่าง ๆ ของกรุงกาฐมาณฑุ โดยมีคนหนุ่มสาวจำนวนหลายพันคนออกมาแสดงพลังต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันด้วย จนเกิดการปะทะกับตำรวจและเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง
ในวันต่อมากลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปในรัฐสภา ทั้งยังเผาทำลายอาคารที่ทำการของรัฐบาลหลายแห่ง เหตุจลาจลที่เกิดขึ้นทำให้นายกรัฐมนตรี เคพี ชาร์มา โอลี ต้องลาออกจากตำแหน่ง และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุวุ่นวายครั้งนี้ราว 70 คน
การประท้วงที่เนปาลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระแสเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง ที่แพร่สะพัดไปทั่วภูมิภาคเอเชียในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คนหนุ่มสาวชาวอินโดนีเซียได้ออกมาประท้วงบนท้องถนน เช่นเดียวกับคนฟิลิปปินส์อายุน้อยนับหมื่นคน ที่ออกมาประท้วงในกรุงมะนิลา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา การประท้วงเหล่านี้มีบางสิ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือมันถูกขับเคลื่อนด้วยคนหนุ่มสาวรุ่น "เจนซี" (Generation Z) ซึ่งต่างก็รู้สึกโกรธแค้นต่อการทุจริตคอร์รัปชันแบบเรื้อรัง ที่พบได้บ่อยครั้งและมีมายาวนานในประเทศของตน
รัฐบาลของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียบอกว่า มีความเสี่ยงสูงที่การประท้วงแบบนี้ อาจจะลุกลามบานปลายไปเป็นเหตุจลาจลที่ใช้ความรุนแรง แต่อาทิตยาและเพื่อน ๆ ของเขากลับมองว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการแสดงพลังของผู้ประท้วง
อาทิตยาบอกว่า คนหนุ่มสาวชาวเนปาลได้รับแรงบันดาลใจมาจากการประท้วงในอินโดนีเซีย รวมทั้งการปฏิวัติในบังกลาเทศที่นำโดยเหล่านักศึกษาเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้การประท้วง "อารกาลยะ" (Aragalaya) ที่โค่นล้มประธานาธิบดีศรีลังกาในปี 2022 ยังเป็นแบบอย่างให้กับพวกเขาด้วย ซึ่งการประท้วงทั้งหมดนี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือ "เพื่อสวัสดิภาพและการพัฒนาของชาติ"
"พวกเราได้เรียนรู้แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดที่คนหนุ่มสาวและนักเรียนนักศึกษาในรุ่นของเราจะทำไม่ได้" อาทิตยากล่าว
กระแสต่อต้าน "เด็กเส้น"
ความโกรธแค้นของคนเจนซีส่วนใหญ่ มุ่งเป้าไปที่ "เด็กเส้น" (nepo kids) ซึ่งก็คือกลุ่มเยาวชนที่ถูกมองว่า ได้รับสิทธิพิเศษจากชื่อเสียงและอำนาจบารมีของพ่อแม่ ผู้มักจะเป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาล หรือมีสายสัมพันธ์อันดีกับชนชั้นปกครอง
ในสายตาของหนุ่มสาวผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อย "เด็กเส้น" คือสัญลักษณ์ของการทุจริตคอร์รัปชันที่ฝังรากลึก แม้ผู้ที่ถูกกล่าวหาบางคนอย่างซอกัต ธาปา ได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่า ทัศนคติดังกล่าวคือ "ความเข้าใจผิดที่ไม่เป็นธรรม" ต่อครอบครัวของเขา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีลูกหลานของนักการเมืองคนอื่น ๆ ออกมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมแต่อย่างใด
อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความไม่พอใจของคนเจนซีคือความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการขาดโอกาสแสวงหาความเจริญก้าวหน้า ผู้คนในประเทศเหล่านี้เผชิญกับปัญหาความยากจนมายาวนาน โดยคนชั้นล่างหรือรากหญ้า ไม่สามารถยกระดับฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจให้ตนเองได้โดยง่าย

เนปาลมีอัตราการทุจริตคอร์รัปชันสูงมาก และถูกประเมินว่ามีคะแนนความโปร่งใสต่ำ ตามผลการสำรวจขององค์กร Transparency
ผลการศึกษาวิจัยจำนวนมากชี้ว่า การทุจริตคอร์รัปชันเป็นตัวถ่วงที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมเพิ่มสูงขึ้น สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ยังเคยออกมาระบุว่า การทุจริตคอร์รัปชันเป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการพัฒนาของประเทศอินโดนีเซีย
นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 เป็นต้นมา มีการประท้วงเกิดขึ้นในอินโดนีเซียหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุประท้วงคัดค้านการตัดลดงบประมาณของรัฐบาล หรือเหตุประท้วงเนื่องจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการกดค่าจ้างแรงงาน จนกระทั่งในเดือนส.ค. มีการประท้วงใหญ่เพื่อคัดค้านเงินอุดหนุนพิเศษเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งรัฐบาลเตรียมจ่ายให้กับบรรดาสมาชิกรัฐสภา

คนหนุ่มสาวชาวเนปาล ไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียชีวิตในเหตุประท้วง
กระแสความไม่พอใจในสื่อสังคมออนไลน์ แสดงออกด้วยการใช้แฮชแท็ก #IndonesiaGelap (อินโดนีเซียมืด) และแฮชแท็ก #KaburAjaDulu (รีบเผ่นก่อนเลย) ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้ชาวอินโดนีเซีย ออกไปแสวงหาโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าในต่างประเทศ
ซีครี อัฟดีเนล สิเรการ์ นักศึกษาวัย 22 ปี จากจังหวัดสุมาตราเหนือของอินโดนีเซีย เข้าร่วมการประท้วงเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา เขาไม่พอใจที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้รับสวัสดิการพิเศษ ในรูปของเงินอุดหนุนค่าที่พักอาศัยก้อนใหญ่ มูลค่า 60 ล้านรูเปียห์ (ราว 115,000 บาท) ต่อเดือน ซึ่งมากกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั่วไปถึง 20 เท่า
พ่อแม่ของซีครีประกอบอาชีพทำสวนยางขนาดเล็กในจังหวัดรีเยา (Riau) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา นอกจากนี้ยังเป็นแรงงานรับจ้างในภาคเกษตรกรรม ซึ่งต้องไปทำงานในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่นด้วย ทั้งสองมีรายได้รวมกันเพียง 4 ล้านรูเปียห์ (ราว 7,700 บาท) ต่อเดือนเท่านั้น
ในขณะที่ชาวอินโดนีเซียชุมนุมประท้วงในหลายเมือง คนหนุ่มสาวในฟิลิปปินส์นับหมื่น ก็ออกมาแสดงพลังที่กรุงมะนิลาเช่นเดียวกัน
ตัวของซีครีเองก็ต้องดิ้นรนหารายได้พิเศษ ด้วยการออกไปขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อหาเงินมาเป็นค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายจิปาถะในเมืองใหญ่ "ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่มีเงินพอจะซื้อหาปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีราคาแพงขึ้นทุกวัน" ซีครีกล่าว "แต่ในขณะเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่รัฐกลับพากันร่ำรวย ได้รับทั้งเงินเดือนและสวัสดิการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ"
ส่วนคนหนุ่มสาวชาวเนปาล ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้แสดงความไม่พอใจและเสื่อมศรัทธาในระบบที่อยุติธรรมอย่างยิ่งเช่นกัน เมื่อสองปีก่อนได้เกิดเหตุที่สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ เมื่อนักธุรกิจหนุ่มผู้หนึ่งจุดไฟเผาตัวเองจนเสียชีวิตที่หน้ารัฐสภา เพื่อประท้วงต่อสังคมที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งปิดกั้นโอกาสแสวงหาความเจริญก้าวหน้าของคนธรรมดาสามัญ
ใช้ติ๊กตอกและเอไอก่อการประท้วง
หลายวันก่อนเกิดเหตุประท้วงใหญ่ที่เนปาล รัฐบาลได้ประกาศแบนสื่อโซเชียล หรือสั่งปิดสื่อสังคมออนไลน์หลายช่องทางด้วยกัน โดยอ้างว่าละเมิดข้อบังคับเรื่องการลงทะเบียนตามเส้นตายที่ทางการกำหนดไว้
รัฐบาลเนปาลยังอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นเพื่อขจัดการเผยแพร่ข่าวเท็จ และยับยั้งการใช้ประทุษวาจาแสดงความเกลียดชังมุ่งร้าย (hate speech) แต่ชาวเนปาลส่วนใหญ่รวมทั้งอาทิตยากลับเห็นว่า รัฐบาลพยายามจะปิดปากพวกเขา เพื่อให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบลง
อาทิตยากับเพื่อนสี่คน พากันไปหลบซ่อนตัวในห้องสมุดแห่งหนึ่งในกรุงกาฐมาณฑุ โดยขนเอาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปและโทรศัพท์มือถือหลายเครื่องไปด้วย พวกเขาใช้โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์หรือเอไออย่าง ChatGPT, Grok, DeepSeek, และ Veed ผลิตคลิปวิดีโอ 50 ชิ้น ออกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่ถูกแบนอย่างติ๊กตอก เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ "เด็กเส้น" และการทุจริตคอร์รัปชัน
ในช่วงสองสามวันต่อมา มีการโพสต์และแชร์คลิปดังกล่าวกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในชื่อบัญชีผู้ใช้งานติ๊กตอกจำนวนหลายบัญชี และเผยแพร่ผ่านเครือข่ายโลกเสมือนจริงส่วนบุคคล เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและปิดกั้นของทางการ กลุ่มของอาทิตยาที่เป็นผู้เผยแพร่คลิปดังกล่าวเรียกตนเองว่า "กบฏเจนซี" (Gen Z Rebels)
คลิปวิดีโอชิ้นแรกที่ทำขึ้นและเผยแพร่ออกไป ใช้ดนตรีประกอบเป็นเพลงดังของวงแอบบา (Abba) ซึ่งก็คือเพลง "ผู้ชนะกินรวบ" หรือ The Winner Takes It All คลิปความยาว 25 วินาทีนี้ ประกอบด้วยภาพจากงานแต่งสุดหรูของลูกสาวนักการเมือง ที่ทำให้อาทิตยารู้สึกโกรธแค้นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
คลิปนี้จบด้วยข้อความเรียกร้องให้ผู้คนออกมาร่วมชุมนุมประท้วง "ผมจะเข้าร่วมด้วย ผมจะต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชัน และการเล่นพรรคเล่นพวกทางการเมือง แล้วคุณล่ะ ?"
ตัวของซีครีเองก็ต้องดิ้นรนหารายได้พิเศษ ด้วยการออกไปขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อหาเงินมาเป็นค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายจิปาถะในเมืองใหญ่ "ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่มีเงินพอจะซื้อหาปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีราคาแพงขึ้นทุกวัน" ซีครีกล่าว "แต่ในขณะเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่รัฐกลับพากันร่ำรวย ได้รับทั้งเงินเดือนและสวัสดิการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ"
ส่วนคนหนุ่มสาวชาวเนปาล ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้แสดงความไม่พอใจและเสื่อมศรัทธาในระบบที่อยุติธรรมอย่างยิ่งเช่นกัน เมื่อสองปีก่อนได้เกิดเหตุที่สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ เมื่อนักธุรกิจหนุ่มผู้หนึ่งจุดไฟเผาตัวเองจนเสียชีวิตที่หน้ารัฐสภา เพื่อประท้วงต่อสังคมที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งปิดกั้นโอกาสแสวงหาความเจริญก้าวหน้าของคนธรรมดาสามัญ
ใช้ติ๊กตอกและเอไอก่อการประท้วง
หลายวันก่อนเกิดเหตุประท้วงใหญ่ที่เนปาล รัฐบาลได้ประกาศแบนสื่อโซเชียล หรือสั่งปิดสื่อสังคมออนไลน์หลายช่องทางด้วยกัน โดยอ้างว่าละเมิดข้อบังคับเรื่องการลงทะเบียนตามเส้นตายที่ทางการกำหนดไว้
รัฐบาลเนปาลยังอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นเพื่อขจัดการเผยแพร่ข่าวเท็จ และยับยั้งการใช้ประทุษวาจาแสดงความเกลียดชังมุ่งร้าย (hate speech) แต่ชาวเนปาลส่วนใหญ่รวมทั้งอาทิตยากลับเห็นว่า รัฐบาลพยายามจะปิดปากพวกเขา เพื่อให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบลง
อาทิตยากับเพื่อนสี่คน พากันไปหลบซ่อนตัวในห้องสมุดแห่งหนึ่งในกรุงกาฐมาณฑุ โดยขนเอาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปและโทรศัพท์มือถือหลายเครื่องไปด้วย พวกเขาใช้โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์หรือเอไออย่าง ChatGPT, Grok, DeepSeek, และ Veed ผลิตคลิปวิดีโอ 50 ชิ้น ออกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่ถูกแบนอย่างติ๊กตอก เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ "เด็กเส้น" และการทุจริตคอร์รัปชัน
ในช่วงสองสามวันต่อมา มีการโพสต์และแชร์คลิปดังกล่าวกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในชื่อบัญชีผู้ใช้งานติ๊กตอกจำนวนหลายบัญชี และเผยแพร่ผ่านเครือข่ายโลกเสมือนจริงส่วนบุคคล เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและปิดกั้นของทางการ กลุ่มของอาทิตยาที่เป็นผู้เผยแพร่คลิปดังกล่าวเรียกตนเองว่า "กบฏเจนซี" (Gen Z Rebels)
คลิปวิดีโอชิ้นแรกที่ทำขึ้นและเผยแพร่ออกไป ใช้ดนตรีประกอบเป็นเพลงดังของวงแอบบา (Abba) ซึ่งก็คือเพลง "ผู้ชนะกินรวบ" หรือ The Winner Takes It All คลิปความยาว 25 วินาทีนี้ ประกอบด้วยภาพจากงานแต่งสุดหรูของลูกสาวนักการเมือง ที่ทำให้อาทิตยารู้สึกโกรธแค้นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
คลิปนี้จบด้วยข้อความเรียกร้องให้ผู้คนออกมาร่วมชุมนุมประท้วง "ผมจะเข้าร่วมด้วย ผมจะต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชัน และการเล่นพรรคเล่นพวกทางการเมือง แล้วคุณล่ะ ?"

ผู้ประท้วงหลายพันคนในเนปาล ใช้กระดานสนทนาของเกมออนไลน์สื่อสารกัน
มีผู้เข้าชมคลิปดังกล่าวถึง 135,000 ครั้ง ภายในวันเดียว ยอดการเข้าชมยังถูกกระตุ้นให้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยช่องทางของอินฟลูเอนเซอร์ที่ช่วยเผยแพร่คลิปดังกล่าว ส่วนกลุ่มผู้ประท้วงอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ในเนปาลและในต่างประเทศ ก็ช่วยกันทำคลิปวิดีโอ และนำออกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ Discord
ผู้ประท้วงหลายพันคนในเนปาล ยังใช้เครือข่ายสนทนาของผู้เล่นเกมออนไลน์สื่อสารกัน เพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่ชุมนุมและหารือถึงความเคลื่อนไหวครั้งต่อไป รวมทั้งใช้เป็นช่องทางในการซาวเสียง เพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีรักษาการและผู้นำชั่วคราวสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
ส่วนที่ฟิลิปปินส์ คนหนุ่มสาวกว่า 30,000 คน ใช้กระดานสนทนา Reddit เดินหน้าการรณรงค์ "ตรวจสอบไลฟ์สไตล์" ของเหล่าผู้ทรงอิทธิพลและคนที่ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีการลงภาพและเรื่องราวชีวิตอันหรูหราเกินคนสามัญของพวกเขาอย่างละเอียด
คนหนุ่มสาวใช้เทคโนโลยีจัดการชุมนุมประท้วงมานานแล้ว
การที่คนหนุ่มสาวใช้เทคโนโลยีสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่เลย เพราะในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ก็มีการส่งข้อความตัวอักษรทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อขับเคลื่อน "การปฏิวัติพลังประชาชนครั้งที่สอง" ในประเทศฟิลิปปินส์มาแล้ว ส่วนการลุกฮือขึ้นประท้วงทั่วภูมิภาคอาหรับ (Arab Spring) และ "การยึดครองวอลสตรีต" (Occupy Wall Street) ในสหรัฐฯ เมื่อช่วงทศวรรษ 2010 ก็อาศัยการสื่อสารทางทวิตเตอร์เป็นหลัก
สิ่งที่แตกต่างออกไปในยุคนี้ คือการใช้เทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัยและซับซ้อนยิ่งขึ้น ประกอบกับการเข้าถึงโทรศัพท์สมาร์ตโฟน, แอปพลิเคชันสนทนา, สื่อสังคมออนไลน์, และโปรแกรมเอไอ มีความแพร่หลายในวงกว้างยิ่งกว่าสมัยก่อน ทำให้การระดมมวลชนเพื่อก่อการประท้วงทำได้ง่ายขึ้น
สตีเวน เฟลด์สไตน์ นักวิจัยอาวุโสของมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ (CEIP) บอกว่า "เทคโนโลยีเหล่านี้คือสิ่งที่อยู่คู่กับเจนซีมาตลอด พวกเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการสื่อสารแบบนี้ ดังนั้นวิธีจัดตั้งขบวนการมวลชนดังกล่าว จึงเผยแสดงออกมาเองตามธรรมชาติของคนรุ่นเจนซี"
เอกภาพทางการเมืองข้ามชาติ
เทคโนโลยียังทำให้เกิดเอกภาพข้ามพรมแดน หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันทางการเมือง ระหว่างหนุ่มสาวผู้ประท้วงชาติต่าง ๆ เช่นมีการใช้ภาพการ์ตูนรูปหัวกะโหลกบนธงสีดำ มาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านผู้มีอำนาจ ซึ่งภาพการ์ตูนนี้กลุ่มผู้ประท้วงในเนปาลและฟิลิปปินส์ นำมาใช้ตามแบบอย่างของผู้ประท้วงในอินโดนีเซีย โดยจะเห็นปรากฏอยู่ในคลิปวิดีโอของฝ่ายต่อต้าน และเป็นภาพโปรไฟล์ในบัญชีสื่อโซเชียลต่าง ๆ อีกด้วย
ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการใช้แฮชแท็ก #SEAblings ซึ่งหมายถึงความเป็นพี่น้องระหว่างคนหนุ่มสาวในประเทศภาคพื้นสมุทรของภูมิภาคนี้ อย่างเช่นฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งต่างก็ออกมาแสดงพลังต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเหมือนกัน และยังช่วยสนับสนุนให้กำลังใจแก่พี่น้องร่วมอุดมการณ์ในต่างประเทศด้วย
ในอดีตภูมิภาคเอเชียได้เคยผ่านกระแสความเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มีความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวทั่วทั้งภูมิภาคมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลุกฮือของประชาชนในเมียนมาและฟิลิปปินส์ เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1980 รวมทั้ง "พันธมิตรชานม" ที่เริ่มขึ้นในปี 2019 ด้วยการประท้วงในฮ่องกง
การที่คนหนุ่มสาวใช้เทคโนโลยีสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่เลย เพราะในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ก็มีการส่งข้อความตัวอักษรทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อขับเคลื่อน "การปฏิวัติพลังประชาชนครั้งที่สอง" ในประเทศฟิลิปปินส์มาแล้ว ส่วนการลุกฮือขึ้นประท้วงทั่วภูมิภาคอาหรับ (Arab Spring) และ "การยึดครองวอลสตรีต" (Occupy Wall Street) ในสหรัฐฯ เมื่อช่วงทศวรรษ 2010 ก็อาศัยการสื่อสารทางทวิตเตอร์เป็นหลัก
สิ่งที่แตกต่างออกไปในยุคนี้ คือการใช้เทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัยและซับซ้อนยิ่งขึ้น ประกอบกับการเข้าถึงโทรศัพท์สมาร์ตโฟน, แอปพลิเคชันสนทนา, สื่อสังคมออนไลน์, และโปรแกรมเอไอ มีความแพร่หลายในวงกว้างยิ่งกว่าสมัยก่อน ทำให้การระดมมวลชนเพื่อก่อการประท้วงทำได้ง่ายขึ้น
สตีเวน เฟลด์สไตน์ นักวิจัยอาวุโสของมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ (CEIP) บอกว่า "เทคโนโลยีเหล่านี้คือสิ่งที่อยู่คู่กับเจนซีมาตลอด พวกเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการสื่อสารแบบนี้ ดังนั้นวิธีจัดตั้งขบวนการมวลชนดังกล่าว จึงเผยแสดงออกมาเองตามธรรมชาติของคนรุ่นเจนซี"
เอกภาพทางการเมืองข้ามชาติ
เทคโนโลยียังทำให้เกิดเอกภาพข้ามพรมแดน หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันทางการเมือง ระหว่างหนุ่มสาวผู้ประท้วงชาติต่าง ๆ เช่นมีการใช้ภาพการ์ตูนรูปหัวกะโหลกบนธงสีดำ มาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านผู้มีอำนาจ ซึ่งภาพการ์ตูนนี้กลุ่มผู้ประท้วงในเนปาลและฟิลิปปินส์ นำมาใช้ตามแบบอย่างของผู้ประท้วงในอินโดนีเซีย โดยจะเห็นปรากฏอยู่ในคลิปวิดีโอของฝ่ายต่อต้าน และเป็นภาพโปรไฟล์ในบัญชีสื่อโซเชียลต่าง ๆ อีกด้วย
ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการใช้แฮชแท็ก #SEAblings ซึ่งหมายถึงความเป็นพี่น้องระหว่างคนหนุ่มสาวในประเทศภาคพื้นสมุทรของภูมิภาคนี้ อย่างเช่นฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งต่างก็ออกมาแสดงพลังต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเหมือนกัน และยังช่วยสนับสนุนให้กำลังใจแก่พี่น้องร่วมอุดมการณ์ในต่างประเทศด้วย
ในอดีตภูมิภาคเอเชียได้เคยผ่านกระแสความเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มีความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวทั่วทั้งภูมิภาคมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลุกฮือของประชาชนในเมียนมาและฟิลิปปินส์ เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1980 รวมทั้ง "พันธมิตรชานม" ที่เริ่มขึ้นในปี 2019 ด้วยการประท้วงในฮ่องกง

ตราสัญลักษณ์ที่เป็นภาพการ์ตูนรูปหัวกะโหลก ซึ่งริเริ่มใช้โดยกลุ่มผู้ประท้วงชาวอินโดนีเซีย ถูกนำไปใช้ในการประท้วงของคนหนุ่มสาวที่ประเทศอื่นด้วย ต้นกำเนิดของสัญลักษณ์นี้มาจากแอนิเมชันญี่ปุ่นยอดนิยมเรื่อง "วันพีซ" โดยเป็นธงสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
เจฟฟ์ วาสเซอร์สตรอม นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเออร์ไวน์ของสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า กาประท้วงต่อต้านโดยใช้เทคโนโลยีของคนหนุ่มสาวสมัยนี้ มีความแตกต่างจากในอดีตตรงที่ "ภาพการประท้วงถูกเผยแพร่ออกไปได้กว้างไกลและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน ทำให้การรับรู้ภาพเหตุการณ์จากต่างประเทศของคุณ ปรากฏแจ่มชัดและหนักแน่นสมจริงยิ่งกว่าเดิม"
แอช เพรสโต ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาของประเทศฟิลิปปินส์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) บอกว่าเทคโนโลยีสามารถปลุกเร้าอารมณ์ร่วมได้มากขึ้นด้วย "เมื่อคุณได้เห็นภาพจริงของคฤหาสน์หรู หรือรถสปอร์ตความเร็วสูงของเหล่าผู้มีอิทธิพล มันทำให้ข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน มีความหนักแน่นน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ประชากรชาวฟิลิปปินส์ ที่มีอัตราการใช้สื่อโซเชียลสูงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก"
ความเปลี่ยนแปลงหลังการทำลายล้าง
ความเคลื่อนไหวทางออนไลน์เหล่านี้ นำไปสู่ความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างหนักในโลกของความเป็นจริง ผลของการประท้วงจลาจล ทำให้อาคารสำนักงานและบ้านเรือนหลายหลังถูกเผาทำลาย หลายแห่งยังถูกปล้นสะดม และบรรดานักการเมืองถูกลากออกมาทุบตีตามท้องถนน มูลค่าความเสียหายเฉพาะตัวอาคารและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องนั้น คิดเป็นเงินได้ถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
มีผู้เสียชีวิตกว่า 70 รายที่เนปาล ส่วนที่อินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตจากการประท้วงรวม 10 คน ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย กล่าวประณามพฤติกรรมของกลุ่มผู้ประท้วงว่า "ค่อนไปทางการก่อกบฏและก่อการร้าย และยังทำลายระบบสาธารณูปโภค รวมทั้งเป็นโจรปล้นสะดมตามบ้านเรือนของผู้คน"

เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากอาคาร Singha Durbar ที่ทำการของรัฐบาลเนปาล
ส่วนประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ บอกว่ากลุ่มผู้ประท้วงทำถูกแล้ว ที่มีความห่วงกังวลต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน แต่อยากจะขอร้องให้พวกเขาชุมนุมด้วยความสงบสันติ ส่วนแคลร์ คาสโตร รัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาลของมาร์กอส จูเนียร์ ออกมาเตือนว่า "ผู้มีเจตนามุ่งร้ายที่ต้องการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล อาจกำลังฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากความโกรธแค้นของประชาชนอยู่"
ด้านกลุ่มผู้ประท้วงตอบโต้กลับมาว่า มีมือที่สามแทรกซึมเข้ามาก่อการจลาจลและใช้ความรุนแรง ส่วนกลุ่มผู้ประท้วงชาวเนปาลกล่าวหาว่า การปราบปรามอย่างไร้ความปราณีของตำรวจปราบจลาจล คือสาเหตุหลักที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลเนปาลบอกว่าจะทำการสอบสวนในเรื่องนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของหลายประเทศได้ยอมรับฟังปัญหาความคับข้องใจของกลุ่มผู้ประท้วง และยินยอมตกลงตามข้อเรียกร้องบางกรณีในระดับหนึ่งด้วย เช่น อินโดนีเซียยอมล้มเลิกแผนมอบเงินอุดหนุนบางอย่างแก่พนักงานของรัฐ ซึ่งรวมถึงค่าที่อยู่อาศัยและค่าเดินทางไปดูงานต่างประเทศ
ส่วนที่ฟิลิปปินส์ มีการตั้งคณะกรรมการอิสระชุดหนึ่งขึ้น เพื่อสอบสวนการทุจริตเงินกองทุนป้องกันอุทกภัย ซึ่งประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ให้คำมั่นว่าจะไม่มี "บุคคลที่แตะต้องไม่ได้" ในการตรวจสอบครั้งนี้อย่างแน่นอน

ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย กล่าวประณามพฤติกรรมของกลุ่มผู้ประท้วงว่า "ค่อนไปทางการก่อกบฏและก่อการร้าย"
แต่ถึงกระนั้น การประท้วงที่ขับเคลื่อนด้วยสื่อดิจิทัล ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างแท้จริง กลับมีอยู่น้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่การทุจริตคอร์รัปชันฝังรากลึก สาเหตุส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ มาจากปัญหาที่ขบวนการออนไลน์มักขาดผู้นำที่มีตัวตนชัดเจน ในแง่หนึ่งการไม่มีผู้นำช่วยให้หลีกเลี่ยงการปราบปราม และการไล่ล่าจับกุมตัวของทางการได้ แต่ก็เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเรื่องสำคัญและแผนการต่อสู้ในระยะยาว

ผู้สังเกตการณ์บางรายบอกว่า การประท้วงต่อต้านที่ขับเคลื่อนด้วยการสื่อสารยุคดิจิทัล ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเสมอไป
"สื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้ถูกออกแบบมา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว คุณต้องพึ่งพาอาศัยอัลกอริทึม รวมทั้งแฮชแท็กและกระแสความโกรธแค้น เพื่อที่จะคงสภาพของขบวนการต่อต้านเอาไว้ได้" เฟลด์สไตน์กล่าว
"หากต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง คุณต้องหาทางเปลี่ยนขบวนการออนไลน์ที่แตกแยกกระจัดกระจาย ให้กลายเป็นกลุ่มก้อนที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว ซึ่งมีพันธะผูกพันกันทางกายภาพและทางออนไลน์ไปพร้อมกัน คนในกลุ่มต้องคิดแผนยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่ปฏิบัติได้จริง แทนที่จะใช้วิธีเผาทุกอย่างให้ราบแบบเกมผลรวมเป็นศูนย์ทุกครั้ง"

เมื่อปี 2006 คนรุ่นมิลเลนเนียลของเนปาล ได้ช่วยโค่นล้มระบอบกษัตริย์เพื่อปฏิรูปประเทศมาแล้ว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเนปาล ซึ่งคนรุ่นมิลเลนเนียลได้เคยช่วยโค่นล้มระบอบกษัตริย์เพื่อปฏิรูปประเทศมาแล้ว เมื่อปี 2006 หลังจากนั้นเนปาลมีรัฐบาลพลเรือนสืบต่อมาอีกถึง 17 ชุด แต่สภาพเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนก็ยังไม่ดีขึ้น
"คนรุ่นมิลเลนเนียลกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบ และสูญเสียอุดมการณ์ทางศีลธรรมของตนเองไป" นารายัน อธิการี ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มต่อต้านคอร์รัปชัน Accountability Lab กล่าว "พวกเขาเลิกยึดมั่นในคุณค่าของประชาธิปไตย และละทิ้งพันธกิจของตนเอง"
แต่ถึงกระนั้น อาทิตยาก็ยังให้คำมั่นสัญญาว่า "เรายังคงเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนรุ่นก่อนอย่างไม่หยุดยั้ง คนพวกนั้นบูชาผู้นำเหมือนพระเจ้า แต่คนในรุ่นของเรา ไม่ยอมเชื่อฟังหรือบูชาใครจนเหมือนกับพระเจ้าอย่างนั้น"
รายงานเพิ่มเติมโดย อัสตูเดสตรา อาเจงรัสตี และ อาโยมี อามินโดนี จากบีบีซีแผนกภาษาอินโดนีเซีย และพนินทรา ดาฮาล จากบีบีซีแผนกภาษาเนปาล
https://www.bbc.com/thai/articles/cz7ry0egr9eo