วันอังคาร, กันยายน 02, 2568

พันธมิตรต่อต้านสหรัฐฯ จะกลับมาผงาดอีกครั้งหรือไม่ ในการประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงของจีนที่รัสเซีย-เกาหลีเหนือ เข้าร่วม



พันธมิตรต่อต้านสหรัฐฯ จะกลับมาผงาดอีกครั้งหรือไม่ ในการประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงของจีนที่รัสเซีย-เกาหลีเหนือ เข้าร่วม

อเล็กเซย์ คาลมีคอฟ
บีบีซี นิวส์ รัสเซีย
1 กันยายน 2025

หนึ่งเดือนอาจดูเหมือนช่วงเวลาที่ยาวนานในเวทีการเมืองโลก

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เดินทางเยือนประเทศจีนอีกครั้งในช่วงเดือนนี้ ทว่าการเยือนครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้นำรัสเซียไม่ได้เดินทางในฐานะผู้พึ่งพาประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ท่ามกลางสถานะที่เขาถูกกดดันด้วยมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครน

ทว่าการเดินทางไปจีนครั้งนี้ เป็นการเดินทางเยือนพันธมิตรคนหลักโดยที่ปูตินมีสถานะเป็นผู้นำโลกที่สามารถเจรจาในระดับเท่าเทียมกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารสูงสุดของโลก และเป็นคู่แข่งสำคัญของจีนในเวทีระหว่างประเทศ

การเยือนจีนครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะทางการทูตของปูติน หลังจากเขาเดินทางกลับจากรัฐอะแลสกาในสหรัฐฯ โดยมีอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการบนแผ่นดินสหรัฐฯ โดยปูตินสามารถโน้มน้าวให้ทรัมป์ยกเลิกข้อเรียกร้องที่ไม่ให้รัสเซียโจมตียูเครน ทั้งยังสามารถโน้มน้าวให้ผู้นำสหรัฐฯ ยุติการข่มขู่ที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อรัสเซีย

รัฐบาลจีนเตรียมต้อนรับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน อย่างอบอุ่นในการเยือนครั้งนี้ ผู้นำประเทศในภูมิภาคอีกว่า 10 คนจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (The Shanghai Cooperation Organisation - SCO) ที่เมืองเทียนจิน ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน

ผู้นำหลายประเทศเข้าร่วมประชุมสุดยอด SCO ที่จีน ซึ่งรวมไปถึงนายคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นที่รู้จักถึงวาทะวิพากษ์วิจารณ์ชาติตะวันตกอย่างรุนแรง และนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งความสัมพันธ์กับทั้งจีนและสหรัฐฯ ที่ผ่านมาดำเนินไปอย่างซับซ้อน

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

ในวันพุธ (3 ก.ย.) ที่กรุงปักกิ่ง รัฐบาลจีนจะจัดขบวนพาเหรดเพื่อรำลึกครบรอบ 80 ปีของการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้นำหลายประเทศจะเข้าร่วมขบวนพาเหรดดังกล่าวเพื่อเฉลิมฉลอง "ชัยชนะของประชาชนจีนในสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น และชัยชนะในสงครามต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ของโลก"

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในจีนสัปดาห์นี้สะท้อนถึงการรวมตัวของพันธมิตรฝ่ายต่อต้านสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งขึ้นหรือไม่

กลุ่มประเทศรัสเซีย-อินเดีย-จีน (Russia-India-China - RIC) เคยมีบทบาทในการถ่วงดุลอิทธิพลของชาติตะวันตกในเวทีโลก ก่อนที่จะเงียบหายไปจากเวทีระหว่างประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มประเทศกลุ่มนี้อาจกลับมามีบทบาทอีกครั้งหรือไม่ ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ทรัมป์ไม่สามารถทำให้ปูตินและสี จิ้นผิง แตกคอกันได้

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าการเยือนจีนที่ยาวนานผิดปกติของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน มีเป้าหมายเพื่อส่งสัญญาณถึงชาติตะวันตกว่า "มิตรภาพไร้ขอบเขต" ระหว่างรัสเซียกับจีนยังคงแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดจนทำให้เห็นว่าความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างรัสเซียกับจีนไม่มีทางประสบความสำเร็จ

ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ด้วยว่า แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยอมสละยูเครนให้กับรัสเซียและยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร รัสเซียก็จะไม่หันหลังให้กับจีน

นักวิเคราะห์ชี้ให้เปรียบเทียบกับกรณีที่เฮนรี คิสซินเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่สามารถดึงจีนออกจากอิทธิพลของสหภาพโซเวียตได้ในช่วงทศวรรษ 1970 แต่ในขณะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับมอสโกตึงเครียดอยู่แล้ว ซึ่งต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้ว

"ยิ่งรัฐบาลทรัมป์เพิ่มแรงกดดันทางการค้าต่อจีนเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้แกนความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับจีนแข็งแกร่งขึ้น เรายังไม่เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากความพยายามที่จะลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และการดำเนินยุทธศาสตร์แบบ 'การสวนทางกับนโยบายของคิสซินเจอร์ (reverse Kissinger)' แต่อย่างใด" ปิแอร์ อ็องดรีเยอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์จีน-รัสเซียจากสถาบันนโยบายเอเชีย (Asia Society Policy Institute) และอดีตนักการทูตฝรั่งเศสประจำรัสเซีย ทาจิกิสถาน และมอลโดวา กล่าว

"หากยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ คือการสร้างความแตกแยกระหว่างมอสโกกับปักกิ่งด้วยการยุติสงครามในยูเครนและยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียบางส่วนแล้ว วอชิงตันกำลังประเมินความลึกซึ้งและความซับซ้อนของความร่วมมือครั้งนี้ต่ำเกินไป" ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย ที่ไม่ระบุชื่อ เขียนไว้ในบทความของศูนย์วิเคราะห์นโยบายยุโรป (Center for European Policy Analysis)


ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากสายสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ

จีนกลายเป็นผู้ซื้อทรัพยากรพลังงานหลักจากรัสเซียหลังจากที่บริษัทตะวันตกถอนตัวออกจากตลาด และยังส่งออกรถยนต์และสินค้าหลากหลายประเภทให้รัสเซียอย่างต่อเนื่อง ซ้ำแล้วการรุกรานยูเครนกลับยิ่งส่งผลให้สายสัมพันธ์ทางอุดมการณ์ระหว่างรัสเซียกับจีนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

อ็องดรีเยออธิบายว่า "รัสเซียและจีนต่อต้านลัทธิเสรีนิยมแบบตะวันตก ท้าทาย 'อำนาจนำ' ของสหรัฐอเมริกา ทั้งสองเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศมีความสอดคล้องกันอย่างชัดเจน"

เขายังเขียนไว้อีกด้วยว่า "ในเชิงเศรษฐกิจ รัสเซียและจีนสามารถเสริมบทบาทกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัสเซียเป็นมหาอำนาจด้านวัตถุดิบ ขณะที่จีนเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี"

ทว่าอ็องดรีเยอเชื่อว่า ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นส่วนตัวระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ

ปูติน และสี จิ้นผิง มีหลายสิ่งที่คล้ายกัน ทั้งสองมีอายุเท่ากันคือ 72 ปี ทั้งคู่เติบโตภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ยุคโซเวียตและครองอำนาจมาเป็นเวลานาน ผู้นำทั้งสองสร้างโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ และไม่ปรากฏว่าเปิดพื้นที่ให้กับความเห็นต่าง

ก่อนการรุกรานยูเครนในปี 2022 เพียงไม่นานนัก ปูตินได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับสี จิ้นผิง แถลงการณ์ดังกล่าวเน้นย้ำ "มิตรภาพไร้ขอบเขต และความร่วมมือที่ไม่มีข้อจำกัด" ระหว่างสองประเทศ สี จิ้นผิง เรียกปูตินว่า "เพื่อนที่รัก" และพบกับเขารวมแล้วกว่า 40 ครั้ง มากกว่าผู้นำของประเทศอื่น ๆ

กระนั้นแล้ว การเยือนในครั้งนี้มีความพิเศษกว่าครั้งก่อน

แพทริเซีย คิม ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศของจีนและความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ จากสถาบันบรูกกิงส์ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่าจีนเองก็ได้รับประโยชน์จากการรักษาปูตินไว้ใน "สายบังคับบัญชาระยะสั้น" เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหันกลับไปหาตะวันตกอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม จีนไม่ต้องการให้รัสเซียแข็งแกร่งเกินไปเช่นกัน

"ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับปักกิ่ง คือการที่รัสเซียแข็งแกร่งพอจะเผชิญหน้ากับตะวันตก แต่ยังอ่อนแอพอที่จะอยู่ในวงโคจรของจีน"

ด้านอ็องดรีเยอแสดงทัศนะว่า "รัสเซียเป็นพันธมิตรที่จีนใช้ประโยชน์ในหลายมิติ กล่าวคือ รัสเซียช่วยให้สี จิ้นผิง รักษาเสถียรภาพทั้งภายในประเทศและในภูมิภาคเอเชียกลาง ขณะเดียวกันก็ช่วยให้จีนสามารถระดมการสนับสนุนจากประเทศในซีกโลกใต้ (Global South) และส่งเสริมทางเลือกใหม่ให้กับการจัดระเบียบโลกแบบตะวันตก"

นเรนทรา โมดี ร่วมด้วย


นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี (ในภาพขณะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ที่บราซิลเมื่อ ก.ค. ที่ผ่านมา) ต้องดำเนินยุทธศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนในการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศอย่างจีนและรัสเซีย

อินเดีย ซึ่งเป็นสมาชิกประเทศที่สามของกลุ่มประเทศรัสเซีย-อินเดีย-จีน หรือ RIC อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความหวังในการฟื้นฟูความร่วมมือของกลุ่มต้องสะดุด เนื่องจากความสัมพันธ์ของอินเดียกับจีนและสหรัฐฯ ยังคงไม่แน่นอน

สี จิ้นผิง และนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้พบกันนอกรอบระหว่างการประชุมสุดยอด SCO ที่เมืองเทียนจินระหว่างการเยือนจีนครั้งแรกในรอบ 7 ปีของผู้นำอินเดีย การพบกันของผู้นำทั้งสองมีความหมายอย่างยิ่งเนื่องจากจีนและอินเดียแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยนับตั้งแต่เหตุปะทะบริเวณพรมแดนในหุบเขากัลวานเมื่อปี 2020

อย่างไรก็ตาม เมฆหมอกทางเศรษฐกิจที่ปกคลุมอินเดียในขณะนี้ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ภาคพื้นอย่างเห็นได้ชัด หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียอย่างหนักเป็นมาตรการลงโทษที่รัฐบาลเดลียังคงซื้อพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งดูคล้ายว่าสถานการณ์นี้จะผลักดันให้อดีตคู่ขัดแย้งอย่างจีนและอินเดียใกล้ชิดกันมากขึ้น

สี จิ้นผิง บอกกับโมดีว่า จีนและอินเดียควรเป็นพันธมิตร ไม่ใช่คู่แข่ง ขณะที่โมดีตอบว่า ขณะนี้มี "บรรยากาศแห่งสันติภาพและเสถียรภาพ" ระหว่างทั้งสองประเทศ

ทั้งจีนและอินเดียไม่เพียงแต่เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แต่ยังเป็นสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกด้วย

โมดีประกาศว่า เที่ยวบินระหว่างอินเดียกับจีนที่ถูกระงับตั้งแต่เกิดข้อพิพาทบริเวณชายแดนเมื่อกว่า 5 ปีก่อน จะกลับมาให้บริการอีกครั้ง แม้ยังไม่มีการระบุกรอบเวลา

ส่วนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า "ทั้งสองฝ่ายควรเข้าหากันและจัดการความสัมพันธ์ของเราด้วยมุมมองแบบยุทธศาสตร์และมองไปสู่ระยะยาว" พร้อมบอกว่า "การเป็นมิตรต่อกันคือทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับทั้งสองฝ่าย"

ทั้งหมดนี้มีความหมายอย่างไรต่ออนาคตของพันธมิตรระหว่างประเทศเหล่านี้

นักวิเคราะห์ระบุว่า หากกลุ่มประเทศรัสเซีย-อินเดีย-จีน (RIC) สามารถฟื้นฟูความร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่รัสเซียและจีนวาดหวังจะได้เห็น ย่อมจะหมายถึงการรวมประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกไว้ด้วยกัน และอาจกลายเป็นพลังถ่วงดุลอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ โดยกลุ่มประเทศ RIC อาจมีบทบาทเทียบเคียงกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดยมีบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ เป็นสมาชิก

อย่างไรก็ตาม อินเดียต้องดำเนินยุทธศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าอินเดียจะเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากมาตรการขึ้นภาษีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาที่ลึกซึ้งเรื่องความไว้วางใจต่อจีน

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อินเดียต้องการรักษานโยบายต่างประเทศที่มีความเป็นอิสระและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับเหตุปะทะบริเวณชายแดนกับจีนที่มีผู้เสียชีวิตยังคงสดใหม่ในสังคมอินเดีย ทั้งยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างจีนกับปากีสถาน ซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าในภูมิภาค

นอกจากนั้น อินเดียยังต้องพิจารณาว่าจะย้อนกลับความสัมพันธ์ทางการทูตแบบซับซ้อนซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาหลายทศวรรษหรือไม่ ความสัมพันธ์เช่นนี้เคยนำพาอินเดียเข้าใกล้สหรัฐฯ ในหลายด้าน หากอินเดียตัดสินใจเข้าร่วมพันธมิตรต่อต้านวอชิงตันอย่างเต็มตัว อาจต้องแลกด้วยต้นทุนทางยุทธศาสตร์ที่สูงเป็นอย่างยิ่ง


การแสดงออกถึงมิตรภาพในที่สาธารณะระหว่างคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เป็นเครื่องเตือนใจถึงมิตรภาพที่ส่งสัญญาณอย่างทรงพลังในเวทีระหว่างประเทศ

ในแง่เวทีการเมืองระหว่างประเทศ ภาพที่ปรากฏในสัปดาห์นี้เป็นสิ่งที่ยากจะมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง

ปูตินของรัสเซีย และคิมจะอยู่ในกลุ่มผู้นำประเทศอีก 26 คน ที่คาดว่าจะเข้าร่วมขบวนพาเหรดทางทหารที่กรุงปักกิ่ง อีกทั้งประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน แห่งอิหร่าน ก็จะเข้าร่วมในงานนี้เช่นกัน

รัฐบาลจีนจะจัดงานขบวนพาเหรดทางทหารอย่างพิถีพิถันที่จตุรัสเทียนอันเหมินอันเก่าแก่ โดยมีทหารหลายหมื่นนายเดินสวนสนามผ่านจตุรัส พร้อมด้วยกองกำลังจาก 45 หน่วยกองทัพจีนรวมทั้งทหารผ่านศึก

นีล โธมัส ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจากสถาบันนโยบายเอเชีย (Asia Society Policy Institute) ระบุว่า "จะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำจีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ มารวมกันเพื่อชมขบวนพาเหรดทางทหารสวนสนามที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 3 ก.ย."

เขาตั้งคำถามว่า "การรวมตัวครั้งนี้จะถือเป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรกของ 'แกนเผด็จการ ('axis of autocracies)' หรือไม่"

อย่างไรก็ดี โธมัสเชื่อว่าการรวมกลุ่มของผู้นำประเทศเหล่านี้ไม่น่าจะยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากแต่ละประเทศมีเป้าหมายที่แตกต่างกันและยังคงไม่ไว้วางใจกัน

เขาสรุปว่า "แต่การปรากฏตัวของปูติน เปเซชเคียน และคิม สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของจีนในฐานะมหาอำนาจเผด็จการชั้นนำของโลก"

ดังนั้น เหตุการณ์ที่จีนในสัปดาห์นี้อาจไม่ใช่การแสดงพลังของพันธมิตรอย่างองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO), กลุ่มประเทศรัสเซีย-อินเดีย-จีน (RIC) หรือกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ในการถ่วงดุลอิทธิพลของสหรัฐฯ โดยตรง หากแต่เป็นการตอกย้ำตำแหน่งของจีนในฐานะศูนย์กลางของพันธมิตรเหล่านี้ในอนาคตอันใกล้

รายงานเพิ่มเติมโดย บีบีซี โกลบอล เจอร์นอลิสม์ (BBC Global Journalism) และบีบีซีนิวส์

https://www.bbc.com/thai/articles/c78m2kd0554o