
ภาคประชาชนที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ" (Con for All) ยื่นหนังสือต่อ 3 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรค ปชน., พรรค พท. และพรรค ภท. เมื่อ 3 ก.ย. เรียกร้องให้ "เปิดเผย TOR ประชาชน" ว่ามีแนวทางหรือจุดยืนต่อการร่างรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร
เทียบ 3 โมเดล สสร. ของ 2 พรรคฝ่ายค้าน กับพรรคร่วมรัฐบาล
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย
3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคประชาชน (ปชน.), พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้ออกมาเปิดเผยกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
พรรคอันดับ 1 ของสภาอย่างพรรค ปชน. ซึ่งมี สส. 143 เสียง คือพรรคการเมืองแรกที่ยื่นร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อประธานรัฐสภา เมื่อ 22 ก.ย.
ส่วนภายในสัปดาห์นี้ พรรค พท. ซึ่งมี สส. 141 เสียง และพรรค ภท. 69 เสียง ร่วมด้วยพรรคร่วมรัฐบาล จะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภาเช่นกัน
ในการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องอาศัยเสียง สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 99 คน จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 491 คน เข้าชื่อกันเสนอร่างกฎหมาย ส่วนการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ และวาระที่ 3 เห็นชอบทั้งฉบับ ต้องมีเสียง สว. เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือต้องได้เสียง สว. 66 คน จาก สว. ทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 198 คน
นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของบรรดานักการเมือง ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า "รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง" ส่วนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ทว่า "การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้"
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 ก.ย. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า "เป็นการตอบเกินคำถาม" และปิดกั้นกระบวนการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชน โดยตัดสิทธิการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ทั้งที่ศาลเคยวางหลักการเอาไว้เองในคำวินิจฉัยปี 2564 ว่า อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน นั่นทำให้บรรดาพรรคการเมืองต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา มีความเป็นไปได้ว่าคนไทยจะได้เข้าคูหาเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการออกเสียงประชามติรับ/ไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงปลายเดือน มี.ค. 2569
รัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้คำมั่นว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement – MOA) ระหว่างพรรค ปชน. กับพรรค ภท.
บีบีซีไทยขอสรุปและเปรียบเทียบกลไกการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เบื้องต้น ที่ 2 พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลเสนอต่อสาธารณะ

ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมาจากไหน?
3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคประชาชน (ปชน.), พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้ออกมาเปิดเผยกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
พรรคอันดับ 1 ของสภาอย่างพรรค ปชน. ซึ่งมี สส. 143 เสียง คือพรรคการเมืองแรกที่ยื่นร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อประธานรัฐสภา เมื่อ 22 ก.ย.
ส่วนภายในสัปดาห์นี้ พรรค พท. ซึ่งมี สส. 141 เสียง และพรรค ภท. 69 เสียง ร่วมด้วยพรรคร่วมรัฐบาล จะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภาเช่นกัน
ในการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องอาศัยเสียง สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 99 คน จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 491 คน เข้าชื่อกันเสนอร่างกฎหมาย ส่วนการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ และวาระที่ 3 เห็นชอบทั้งฉบับ ต้องมีเสียง สว. เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือต้องได้เสียง สว. 66 คน จาก สว. ทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 198 คน
นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของบรรดานักการเมือง ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า "รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง" ส่วนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ทว่า "การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้"
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 ก.ย. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า "เป็นการตอบเกินคำถาม" และปิดกั้นกระบวนการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชน โดยตัดสิทธิการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ทั้งที่ศาลเคยวางหลักการเอาไว้เองในคำวินิจฉัยปี 2564 ว่า อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน นั่นทำให้บรรดาพรรคการเมืองต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา มีความเป็นไปได้ว่าคนไทยจะได้เข้าคูหาเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการออกเสียงประชามติรับ/ไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงปลายเดือน มี.ค. 2569
รัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้คำมั่นว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement – MOA) ระหว่างพรรค ปชน. กับพรรค ภท.
บีบีซีไทยขอสรุปและเปรียบเทียบกลไกการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เบื้องต้น ที่ 2 พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลเสนอต่อสาธารณะ

ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมาจากไหน?
- พรรคประชาชน
ที่มา: มีคณะบุคคล 2 ชุด ทำงานคู่ขนานกันไป
1) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 70 คน โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีม และใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน แบ่งสัดส่วนตาม สส., สว. และพรรคการเมือง นั่นเท่ากับว่า หากสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 700 คน สมาชิกรัฐสภา 20 คน มีสิทธิรวมตัวกันเพื่อเสนอชื่อ กมธ. ยกร่าง 1 คน
หากนำคำอธิบายของพรรค ปชน. มาเทียบเคียงกับยอดสมาชิกรัฐสภาในปัจจุบัน บีบีซีไทย พบว่า สว. จะมีสิทธิกำหนดตัว กมธ.ยกร่างฯ มากที่สุด 10 คน ตามด้วยพรรค ปชน. และพรรค พท. ที่มีสิทธิเสนอชื่อพรรคละ 7 คน และพรรค ภท. ล็อกชื่อมือยกร่างรัฐธรรมนูญได้ 3 คน
2) สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน ทำหน้าที่รับฟังความเห็นประชาชนและสะท้อนความเห็นต่อ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยใช้ระบบแบ่งเขตที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นรายบุคคล และใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดละ 1-5 คนตามจำนวนประชากร
- พรรคเพื่อไทย
ที่มา: มีคณะบุคคลชุดเดียว แต่มาจาก 2 ประเภท
1) สสร. จังหวัด จำนวน 100 คน มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในแต่ละจังหวัดรวม 200 คน จังหวัดละ 1-2 คนตามจำนวนประชากร จากนั้นให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 100 คน
2) สสร. ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 40 คน มีที่มาจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ตัวแทนองค์กรภาคประชาชน ตัวแทนสภาวิชาชีพ
ทั้งนี้ สสร. เป็นผู้เลือกบุคคลเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
- พรรคภูมิใจไทย
ที่มา: มีคณะบุคคลชุดเดียว แต่มาจาก 2 ประเภท
1) สสร. จังหวัด จำนวน 77 คน โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดรับสมัครผู้ประสงค์จะเป็น สสร. จากนั้นให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือจังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน
2) สสร. ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 22 คน มีที่มาจากภาควิชาการ ด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มละ 7-8 คน
ทั้งนี้ สสร. เป็นผู้เลือกบุคคลเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จไปไหนต่อ?
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ พูดคุยกับวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ภายหลังยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เมื่อ 22 ก.ย.
- พรรคประชาชน
- พรรคเพื่อไทย
- พรรคภูมิใจไทย
ข้อดี-ข้อด้อยแต่ละโมเดล
ร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับได้ปรับโมเดล สสร. เป็นการเลือกทางอ้อม โดยพรรคสีส้มและพรรคสีแดงยังยืนยันหลักการ "การมีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุด" ด้วยการจัดให้มีการเลือก สสร. รอบแรก ก่อนส่งชื่อให้สมาชิกรัฐสภาเคาะขั้นสุดท้าย
ต่างจากพรรคสีน้ำเงินที่ให้ผู้สนใจมาสมัครเป็น สสร. โดยประชาชนทั่วไปไม่จำเป็นต้องเข้ามาร่วม-เข้ามารับรู้กระบวนการคัดรายชื่อของแต่ละจังหวัด ก่อนส่งต่อให้รัฐสภาคัดเลือก ทว่า ภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากพรรค ภท. ชี้ว่า เป็นโมเดลเดียวกับ สสร. ปี 2539 ผู้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และเป็นโมเดลที่ปลอดภัยจากการถูกยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความซ้ำ
อีกเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรค ปชน. ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นข้อเด่นคือการกำหนดให้ กมธ.ยกร่างฯ แบ่งตามสัดส่วนเสียงในสภา ซึ่ง พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ปชน. อธิบายว่า จะช่วยลดความเสี่ยงในการ "กินรวบ" หรือ "ผูกขาด" สสร. หรือ กมธ.ยกร่างฯ เพราะการต้องรวมกลุ่มกัน 20 คน เพื่อเสนอ กมธ. 1 คน ทำให้ไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทางการเมืองสามารถผูกขาดกระบวนการในการคัดเลือกได้ ขณะที่โมเดลของพรรค ภท. คือ การใช้วิธีการคัดเลือกโดยใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา
"หากมีพรรคการเมืองหนึ่งมี สส. 200 คนจากการเลือกตั้งครั้งถัดไป แล้วมี สว. คิดคล้าย ๆ 160 คน รวมเป็น 360 คน ก็เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา นั่นหมายความว่าสามารถผูกขาดเลือกคนที่ไปทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น สสร. หรือ คณะกรรมการยกร่าง" พริษฐ์ตั้งข้อสังเกต
อย่างไรก็ตาม โมเดล กมธ.ยกร่างฯ ของพรรค ปชน. ถูกวิจารณ์ว่าสลับซับซ้อนเกินไป
ไทม์ไลน์ประชามติ
ในระหว่างการหารืออย่างไม่เป็นทางการของ 3 พรรคการเมือง มีการระบุถึงกรอบเวลาในการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เอาไว้ ดังนี้
- ภายในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.ย. 3 พรรคเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15 ต่อประธานรัฐสภา
- เดือน ต.ค. รัฐสภาพิจารณาและผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1
- เดือน พ.ย.-ธ.ค. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาร่าง (ช่วงปิดสมัยประชุมสภา)
- เดือน ธ.ค. รัฐสภาพิจารณาและผ่านความเห็นชอบในวาระ 2 และวาระ 3
- ปลายเดือน ม.ค. 2569 ยุบสภาตามเงื่อนไขที่ระบุใน MOA (ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน)
- ปลายเดือน มี.ค. 2569 จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป พ่วงกับการออกเสียงประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ