วันเสาร์, กันยายน 20, 2568

ทวนความจำพวกเรา วิถีเผชิญหน้ากับมาตรา 112 ของทนายประเวศ จำเลยในคดี 112 ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำนวน 10 กรรม ต่อมา ศาลยกฟ้องข้อหา แต่จำคุกข้อหาอื่น


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 
September 18, 2017
·
+++ไม่ใช้ทนาย ไม่ให้การ ไม่ยอมรับอำนาจศาล : ทนายประเวศแถลงคดี 112+++
ทนายประเวศ ประภานุกูล ขอถอนทนายก่อนยื่นหนังสือแถลงต่อศาล ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมเนื่องจากเห็นว่าศาลมีส่วนได้เสียในการพิจารณาคดีมาตรา 112 และไม่ได้รับความเป็นธรรมในการขอปล่อยตัวชั่วคราว ชี้เท่ากับการพิพากษาล่วงหน้าก่อนการฟ้องคดี
วันนี้ (18 ก.ย. 60) เวลาประมาณ 09.00 น. ศาลอาญาเบิกตัวนายประเวศ จำเลยในคดี 112 ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำนวน 10 กรรม, ยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 จำนวน 3 กรรม, และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อนัดพร้อมและตรวจพยานหลักฐาน
โดย คำร้องระบุว่า ศาลไทยประกาศตนว่ากระทำในพระปรมาภิไธย ศาลจึงมีส่วนได้เสียในการพิจารณาคดี ทำให้ขาดความเป็นกลางและขาดความชอบธรรมในการพิจารณาคดี ประเวศจึง “ขอประกาศไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาคดีนี้ของศาลไทย โดยศาลอาญา และข้าพเจ้าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีนี้ โดยไม่ให้การ ไม่แต่งทนายความเข้าดำเนินคดี ไม่ถามค้านพยานโจทก์ ไม่นำสืบพยานจำเลย ไม่ลงชื่อในเอกสารใดๆของศาล”
.....

ไม่ใช้ทนาย ไม่ให้การ ไม่ยอมรับอำนาจศาล : ทนายประเวศแถลงคดี 112



18/09/2560 
 TLHR

ทนายประเวศ ประภานุกูล ขอถอนทนายก่อนยื่นหนังสือแถลงต่อศาล ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมเนื่องจากเห็นว่าศาลมีส่วนได้เสียในการพิจารณาคดีมาตรา 112 และไม่ได้รับความเป็นธรรมในการขอปล่อยตัวชั่วคราว ชี้เท่ากับการพิพากษาล่วงหน้าก่อนการฟ้องคดี

วันนี้ (18 ก.ย. 60) เวลาประมาณ 09.00 น. ศาลอาญาเบิกตัวนายประเวศ จำเลยในคดี 112 ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำนวน 10 กรรม, ยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 จำนวน 3 กรรม, และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อนัดพร้อมและตรวจพยานหลักฐาน

ต่อมาประเวศได้ยื่นคำร้องขอถอนทนายความทั้งสามราย พร้อมกับยื่นหนังสือแถลงต่อศาล 2 ฉบับ ที่เขียนด้วยลายมือของตนเองมาจากเรือนจำ โดย คำร้องระบุว่า ศาลไทยประกาศตนว่ากระทำในพระปรมาภิไธย ศาลจึงมีส่วนได้เสียในการพิจารณาคดี ทำให้ขาดความเป็นกลางและขาดความชอบธรรมในการพิจารณาคดี ประเวศจึง “ขอประกาศไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาคดีนี้ของศาลไทย โดยศาลอาญา และข้าพเจ้าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีนี้ โดยไม่ให้การ ไม่แต่งทนายความเข้าดำเนินคดี ไม่ถามค้านพยานโจทก์ ไม่นำสืบพยานจำเลย ไม่ลงชื่อในเอกสารใดๆของศาล”
.

ส่วนคำร้องฉบับที่ 2 ระบุว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากศาลอาญา ในกรณีที่เคยยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 60 ในนัดไต่สวนฝากขัง(อ่านข่าวเพิ่มเติมที่นี่ ) และศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดย คำสั่งคำร้องขอปล่อยตัวของศาลอาญาดังกล่าว เป็นคำสั่งเฉกเช่นเดียวกับคำพิพากษาไปแล้ว โดยถ้อยคำในคำสั่งของศาลที่ว่า “พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กรณีเป็นการกระทำที่ร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์” โดยประเวศระบุว่าข้อความดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงความคิดเห็นของศาลอาญาว่าตนได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และการกระทำนั้นเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายทั้งที่ยังไม่ได้มีการสืบสวนและยังไม่ได้มีการตัดสินว่าตนได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ เป็นการพิพากษาล่วงหน้าก่อนการฟ้องคดีด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ประเวศยังได้เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้เตรียมแถลงการณ์ฉบับที่สามเพื่อยื่นต่อศาลและหนังสือที่จะยื่นถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่หนังสือทั้งสองเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นำออกมาจากเรือนจำได้

จากนั้นศาลได้อนุญาตให้ประเวศถอนทนายความและได้แจ้งให้ทนายความทราบ หลังจากนั้นฝ่ายโจทก์ได้แถลงว่ามีพยานเอกสาร 20 ฉบับ (เอกสารหมาย จ.1-จ.20) และประสงค์สืบพยานบุคคลรวม 11 ปาก โดยปากที่ 1.เป็นผู้กล่าวหา 2.เป็นผู้สืบสวนหาข้อมูลโปรแกรมเฟสบุ๊คของจำเลย 3.เป็นผู้จับกุมจำเลยตามหมายจับ 4.เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมและการใช้โปรแกรมเฟสบุ๊ค ส่วนพยานปากที่ 5 และที่ 7 เป็นพยานที่จะเบิกความให้ความเห็นเกี่ยวกับถ้อยคำที่จำเลยโพสต์ลงในโปรแกรมเฟสบุ๊ค พยานปากที่ 8.เป็นผู้ตรวจพิสูจน์คอมพิวเตอร์ และพยานปากที่ 9-11เป็นพนักงานสอบสวน ศาลได้ระบุในรายงานกระบวนพิจารณาแต่ละขั้นตอน ว่าจำเลยไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมและได้นัดสืบพยานโจทก์ทั้งหมด 11 ปาก ในวันที่ 8-10 พ.ค. 61

ทั้งนี้ ประเวศถูกเจ้าหน้าที่ทหารหลายนายเข้าจับกุมจากบ้านพักไปที่มทบ.11 ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 60 โดยไม่ได้มีการแจ้งหมายจับของศาลแต่อย่างใดและได้ยึดคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและทรัพย์สินอย่างอื่นไปด้วย ระหว่างการควบคุมตัวที่ค่ายทหารไม่ได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาหรือแจ้งสิทธิและไม่สามารถแจ้งญาติหรือบุคคลอื่นว่าตนเองถูกควบคุมตัวที่ค่ายทหารได้ เป็นเวลา 4วัน จนได้พบพนักงานสอบสวนในวันที่ 3พ.ค. จึงได้รับแจ้งข้อกล่าวหาและทราบว่ามีหมายจับ
.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลสั่งไม่ปล่อยทนายประเวศ อ้างเป็นการกระทำที่ร้ายเเรงต่อสถาบันฯ
ทนายเตรียมค้านฝากขังทนายประเวศ คดี 112 พฤหัสฯ นี้
ศาลให้ฝากขังทนายประเวศ คดี 112 ต่อครั้งที่ 6 หลังยื่นค้านว่าคุมขังเกินจำเป็น
ทนายประเวศอดข้าวประท้วงใน มทบ.11 – ศาลไม่ให้ประกันสองผู้ต้องหาเพราะกลัวหลบหนี
เปิดรายชื่อเจ้าหน้าที่คุมตัวทนายประเวศ

https://tlhr2014.com/archives/5191
.....

ศาลยกฟ้องทนายประเวศข้อหา ม.112 แต่จำคุกข้อหายุยง-พรบ.คอมพ์


นายประเวศ ประภานุกูล ขณะลงจากรถของกรมราชทัณฑ์ เพื่อขึ้นฟังการอ่านคำพิพากษาคดีของตนเองที่ศาลอาญา ในวันที่ 27 มิถุนายน 2561 (นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์ )

นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2018.06.27

ในวันพุธนี้ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้พิจารณายกฟ้องนายประเวศ ประภานุกูล อดีตทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่สั่งให้จำคุกจำเลยในข้อหายุยงปลุกปั่น และข้อหาละเมิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เป็นเวลา 16 เดือน

ศาลขึ้นอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 ฟ้องในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ความผิดฐานยุยงปลุกปั่น ม.116 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่อนายประเวศ ประภานุกูล อดีตทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง โดยตัดสินว่า มีความผิดตาม ม.116 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ รวมทั้งขัดคำสั่งเจ้าพนักงานในการพิมพ์นิ้วมือ แต่ยกฟ้องความผิด ม.112 ให้รับโทษจำคุกรวม 16 เดือน

ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2368/60 ในห้องพิจารณาคดีที่ 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยอนุญาตให้ญาติของนายประเวศ ประชาชนที่สนใจ ผู้สังเกตการณ์ และสื่อมวลชนร่วมฟังคำพิพากษากว่า 10 คน แม้ว่าการพิจารณาที่ผ่านมาจะเป็นการทำทางลับโดยตลอดก็ตาม ซึ่งศาลระบุว่า นายประเวศได้เขียนข้อความที่มีใจความส่งเสริมให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบสาธาณรัฐ จึงถือเป็นความผิด

“จำเลยไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมเท่ากับปฏิเสธสิทธิที่จะสู้คดี การโพสต์เฟสบุ๊คของจำเลยตั้งค่าเป็นสาธารณะ ข้อความดังกล่าวจึงมีความผิดตามมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แต่เนื่องจากเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จึงให้ลงโทษจำคุกในความผิดมาตรา 116 จำนวน 3 กรรม กรรมละ 5 เดือน รวม 15 เดือน... ข้อหาอื่นยก” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุ

ทั้งนี้ ได้สั่งให้ลงโทษนายประเวศ จากการไม่ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งขัดต่อประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่ 25/2549 ให้จำคุก 1 เดือน รวมโทษทั้งหมดจำคุก 16 เดือน

ทั้งนี้ นายประเวศ ถูกฝากขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาแล้วตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2560 หรือราว 14 เดือน ดังนั้น นายประเวศจะเหลือโทษอีกราว 2 เดือน

หลังฟังคำพิพากษา นายประเวศกล่าวต่อผู้สังเกตการณ์และสื่อมวลชนว่า เขาได้รับการปฎิบัติอย่างไม่ชอบธรรม

“ไม่ว่ายังไงจะไม่ยอมจำนน วันนี้ เขาอาจจะกระหยิ่ม แต่วันหน้าทั่วโลกจะต้องเห็นว่าการกระทำนี้ เป็นกระบวนการไล่ล่าคนเห็นต่างของ คสช.” นายประเวศกล่าว และบอกว่าจะไม่อุทธรณ์คดี

นายประเวศ ประภานุกูล อายุ 58 ปี ทนายความซึ่งในอดีตเคยช่วยเหลือด้านกฎหมายให้กับสมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ในคดีที่เป็นผลมาจากการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเกิดการปะทะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อปี 2553 ถูกเจ้าหน้าที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมตัวจากบ้านพักในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2560 ก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งฟ้องที่ศาลอาญาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการเผยแพร่ข้อความวิจารณ์สถาบันเบื้องสูงต่อจากเฟสบุ๊คของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คดีนี้ นายประเวศถูกกล่าวหาตามความผิดของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวม 10 กรรม ถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความเข้าข่ายปลุกระดม มาตรา 116 อีก 3 กรรม และถูกแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ถูกคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวน และระหว่างการพิจารณาคดี จึงถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตลอด ซึ่งการอ่านคำพิพากษาวันนี้เป็นการเลื่อนจากกำหนดเดิมคือวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ซึ่งในวันนั้นศาลให้เหตุผลการเลื่อนว่า ทำคำพิพากษาไม่ทัน

โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) สรุปสถิติทางเสรีภาพ หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 ว่า ผู้ถูกตั้งข้อหามาตรา 112 หมิ่นเบื้องสูง อย่างน้อย 94 คน และในคดียุยงปลุกปั่นอีกอย่างน้อย 75 ราย

จากสถิติที่เก็บโดยสหประชาชาติระบุว่า ระหว่างปี 2554-56 มีผู้ถูกสอบสวนในคดีหมิ่นเบื้องสูง กฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวน 119 คน ในนั้นมีคดีที่ได้รับการยกฟ้องเพียง 24 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในช่วงปี 2557-59 มีผู้ถูกสอบสวนคดีหมิ่นฯ ถึง 285 คน แต่กลับถูกพิพากษายกฟ้องเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

https://www.benarnews.org/thai/news/TH-lesemajeste-06272018120333.html